- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 01 October 2018 13:30
- Hits: 2396
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ไต่ขึ้น เล็งแรงหนุนจากราคาน้ำมันพุ่ง-เศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้จะไต่ระดับขึ้น หลังจากราคาน้ำมันปรับขึ้นทะลุ 73 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และเศรษฐกิจไทยก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี สะท้อนอุปสงค์ที่แข็งแกร่งสามารถชดเชยปัจจัยนอกประเทศที่มีความไม่แน่นอนได้บ้าง ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบ โดยยังต้องติดตามประเด็นสงครามการค้า และตัวเลขดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ย. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ในวันนี้
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการเมืองในอิตาลี หลังจากที่รัฐบาลอิตาลีจะเสนอเป้าหมายขาดดุลงบประมาณปี 62 มากกว่าที่สหภาพยุโรป (อียู)จะรับได้ ซึ่งประเด็นนี้อาจมีผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) และค่าเงินยูโรอาจอ่อนค่า
พร้อมให้แนวรับ 1,750-1,745 จุด ส่วนแนวต้าน 1,760-1,765 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (28 ก.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,458.31 จุด เพิ่มขึ้น 18.38 จุด (+0.07%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,913.98 จุด ลดลง 0.02 จุด (-0.00%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,046.35 จุด เพิ่มขึ้น 4.38 จุด (+0.05%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 53.33 จุด,ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 7.85 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 6.57 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 5.38 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.84 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 20.28 จุด
ส่วนตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันชาติ
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (28 ก.ย.61) 1,756.41 จุด เพิ่มขึ้น 3.46 จุด (+0.20%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,224.80 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 ก.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (28 ก.ย.61) ปิดที่ 73.25 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.13 ดอลลาร์ หรือ 1.6%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (28 ก.ย.61) ที่ 5.82 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.29 แข็งค่ารับเม็ดเงินไหลเข้าต่อเนื่อง มองกรอบวันนี้ 32.25-32.35
- นายกฯ สั่งเร่งโครงสร้างพื้นฐานอีอีซี โดยการประชุมบอร์ดบีโอไอล่าสุดเมื่อ 28 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้พิจารณาอนุมัติในหลักการให้ส่งเสริมทั้ง 5 โครงการเรียบร้อยแล้ว เพื่อรองรับการออกทีโออาร์ไม่เกิน พ.ย.นี้
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 4.6% จากเดิม 4.5% แรงขับเคลื่อนหลักยังมาจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวแม้จะผ่อนแรงในครึ่งปีหลังบ้าง แต่จะเริ่มปรับดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ขณะที่การใช้จ่ายในประเทศได้แรงหนุนทั้งจากการบริโภคภาคเอกชนที่เติบโตดี และการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มปรับดีขึ้นด้วย โดยในไตรมาส 3 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 4.2% และครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้ 4.4%
- "คมนาคม" จัดกลุ่มลงทุนรถไฟทางคู่เฟส 2 กว่า 3.5 แสนล้าน ดันเติมเต็มโครงข่ายเส้นทางภาคอีสานชง สศช. ก่อน ส่วนชุด 2 เป็นโครงข่ายสายเหนือ "วรวุฒิ" คาด ครม.อนุมัติปลายปี 61 เริ่มทยอยเปิดประมูล และลงนามก่อสร้างในต้นปี 62 หวังเส้นทาง "ขอนแก่น-หนองคาย" เชื่อมแหลมฉบัง และ EEC กับลาวเพิ่มขีดการขนส่งสินค้าตามยุทธศาสตร์ชาติ
- รฟท.เดินหน้าเปิดทีโออาร์รถไฟไทย-จีน ช่วงสีคิ้ว-กุดจิก ระยะทาง 11 กม. เป็นการก่อสร้างระดับดิน และยกระดับ คาดใช้เวลาไม่เกิน 15 เดือนแล้วเสร็จ
- กรมสรรพากรได้ประกาศรายชื่อบริษัทที่ผ่านคุณสมบัติเป็นตัวแทนคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรในเมืองแล้ว โดยมีผู้ผ่านการคัดเลือกเพียง 1 ราย คือ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด จากบริษัทที่ยื่นสมัครมาทั้งหมด 3 ราย และจะเริ่มให้บริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่นักท่องเที่ยวได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 61 นี้เป็นต้นไป เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นการใช้จ่ายจากชาวต่างชาติ
*หุ้นเด่นวันนี้
- KWM (บมจ. เค. ดับบลิว. เม็ททัล เวิร์ค) เทรดวันนี้วันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยราคาเสนอขาย IPO 1.30 บาท/หุ้น บล.โกลเบล็ก ระบุว่า ราคา IPO คิดเป็น Current PER ที่ 22.95 เท่า น้อยกว่าหมวดสินค้าอุตสาหกรรมในตลาด MAI ที่มีค่า PER เฉลี่ยเท่ากับ 28.76 เท่า
บริษัทดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับใช้ในการเกษตร โดยผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทแบ่งเป็น 4 ประเภทได้แก่ 1)ใบผาล ใบจักร ใบคัดท้าย ใช้ต่อพวงกับรถแทรกเตอร์ใช้สำหรับขั้นตอนการเตรียมดินเพาะปลูก มีสัดส่วนรายได้ 61% 2)โครงผาล ใช้สำหรับยึดกับใบผาล มีสัดส่วนรายได้ 16% 3)ใบเกลียวลำเลียง ใช้ในการลำเลียงสิ่งของ เช่น ข้าวเปลือก เม็ดพลาสติก ผงแป้ง เป็นต้น มีสัดส่วนรายได้ 9% 4)ใบดันดิน ใช้ยึดกับรถแทรกเตอร์ เพื่อดันเกลี่ยหน้าดินให้เรียบ มีสัดส่วนรายได้ 12%
- TGPRO-W3 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ. ไทย-เยอรมัน โปรดักส์ (TGPRO)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 1,944,509,396 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 0.50 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 5 ปี นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (21 กันยายน 61) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 28 ธ.ค. 2561 และวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 20 ก.ย. 2566
- META-W3 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.เมตะ คอร์ปอเรชั่น (META)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 150,012,985 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 2.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 9 เดือน นับตั้งแต่วันออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (21 กันยายน 2561) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 29 พ.ย. 2561 และวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 20 มิ.ย. 2562
- TKN (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 21.5 บาท คาดกำไร H2/61 จะโตทั้ง yoy และ hoh จากการเข้าสู่ช่วง High season, กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากการเริ่มผลิตของโรงงานใหม่ (เฟส3) และได้ประโยชน์จากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลง
ตลาดหุ้นเอเชียบวกเช้านี้ ขณะจับตาข้อพิพาทการค้าสหรัฐ-จีน, การเมืองอิตาลี
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน รวมถึงสถานการณ์การเมืองในอิตาลี
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 24,173.37 จุด เพิ่มขึ้น 53.33 จุด, +0.22% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 11,014.19 จุด เพิ่มขึ้น 7.85 จุด, +0.07% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,349.64 จุด เพิ่มขึ้น 6.57 จุด, +0.28% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,262.43 จุด เพิ่มขึ้น 5.38 จุด, +0.17% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,795.99 จุด เพิ่มขึ้น 2.84 จุด, +0.16% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,256.54 จุด ลดลง 20.28 จุด, -0.28% ส่วนตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกงปิดทำการวันนี้เนื่องในวันชาติ
นักลงทุนกลับมาวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน โดยหวั่นว่าสงครามการค้าจะลุกลามบานปลาย หลังจากล่าสุดสหรัฐกล่าวหาว่าจีนพยายามแทรกแซงการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐที่จะจัดขึ้นในเดือนพ.ย.นี้ ซึ่งจีนก็ได้ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐยุติการใช้ถ้อยคำและการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งผลประโยชน์พื้นฐานของประชาชนทั้งสองประเทศ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาสถานการณ์ด้านงบประมาณของอิตาลีอย่างใกล้ชิด หลังจากรัฐบาลอิตาลีภายใต้การนำของพรรคไฟว์ สตาร์ และพรรคเดอะ ลีก เห็นพ้องให้มีการกำหนดเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปีหน้าไว้ที่ 2.4% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลชุดก่อนถึง 3 เท่า และคาดว่าจะทำให้สหภาพยุโรป (EU) แสดงความไม่เห็นด้วย
รัฐบาลอิตาลีได้ขยายเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปี 2562 เพื่อหนุนนโยบายจากแคมเปญการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกับ EU
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 35.24 จุด เหตุกังวลสถานการณ์ในอิตาลี
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (28 ก.ย.) หลังจากปิดแดนบวกมาสามวันติดต่อกัน โดยความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลี รวมทั้งงบประมาณขาดดุลที่เพิ่มสูงขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นลอนดอน รวมถึงตลาดอื่นๆทั่วยุโรป โดยหุ้นกลุ่มการเงินถูกกดดันหนักสุด ขณะที่หุ้นกลุ่มประกันภัยร่วงลงเช่นกัน หลังสภาพอากาศที่แปรปรวนทำยอดเคลมประกันพุ่ง
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,510.20 จุด ลดลง 35.24 จุด หรือ -0.47% อย่างไรก็ดี ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีขยับขึ้นราว 0.26% และปรับตัวขึ้น 1% ในรอบเดือนที่ผ่านมา
นักลงทุนจับตาสถานการณ์ด้านงบประมาณของอิตาลีอย่างใกล้ชิด หลังมีรายงานว่า รัฐบาลอิตาลีภายใต้การนำของพรรคไฟว์ สตาร์ และพรรคเดอะ ลีก เห็นพ้องให้มีการกำหนดเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปีหน้าไว้ที่ 2.4% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลชุดก่อนถึง 3 เท่า และคาดว่าจะทำให้สหภาพยุโรป (EU) แสดงความไม่เห็นด้วย
รัฐบาลอิตาลีได้ขยายเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปี 2562 เพื่อหนุนนโยบายจากแคมเปญการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกับ EU
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วยุโรปร่วงหนักในช่วงบ่าย เนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีที่พุ่งสูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลอิตาลีพุ่งขึ้น สืบเนื่องจากนโยบายใหม่ของรัฐบาลผสมชุดใหม่
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นลอนดอนสามารถพยุงตัวในชั่วโมงสุดท้ายของการซื้อขาย และลดช่วงลบเมื่อปิดตลาด
หุ้นแรนโกลด์ รีซอร์สเซส ทะยาน 3.61% เป็นแกนนำหุ้นบวก ตามด้วยหุ้นไมโคร โฟกัส อินเตอร์เนชั่นแนล และ เนกซ์ ปรับตัวขึ้น 3.10% และ 3.04% ตามลำดับ หุ้นโรล-รอยซ์ บวก 2.8%
หุ้นกลุ่มการเงินถูกเทขายจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในอิตาลี นำโดยหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป และรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ ที่ต่างร่วงลง 2.5%
ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มประกันภัยได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวน จนทำให้ยอดเคลมประกันพุ่งสูง โดยหุ้นอาร์เอสเอ อินชัวรันซ์ กรุ๊ป ร่วงนำตลาด 9.31% หลังบริษัทเผยว่ามียอดขาดทุนจากการรับประกันภัยประมาณ 70 ล้านปอนด์ในไตรมาสสาม เนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้ายที่ส่งผลให้การเรียกร้องค่าสินไหม หรือการเคลมประกันพุ่งสูง
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดร่วงหนัก นลท.วิตกปัญหาในอิตาลีกระทบภูมิภาค
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (28 ก.ย.) ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในอิตาลี โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีพุ่งสูงขึ้น สืบเนื่องจากปัญหาการเมืองในประเทศ หลังรัฐบาลผสมชุดใหม่ได้กำหนดเป้าหมายขาดดุลงบประมาณปีหน้าสูงขึ้นมาก ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในอิตาลีได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วทั้งภูมิภาค ทำให้เกิดแรงเทขาย โดยเฉพาะหุ้นธนาคารของประเทศต่างๆในยุโรปที่ต่างได้รับแรงกดดันจนร่วงหนัก
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 3.20 จุด หรือ -0.83% ปิดที่ 383.18 จุด ขณะที่ทั้งสัปดาห์ ดัชนีปรับตัวลง 0.3% ส่วนในเดือนก.ย. ดัชนีปรับตัวขึ้น 0.2%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,246.73 จุด ลดลง 188.86 จุด หรือ -1.52% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,493.49 จุด ลดลง 46.92 จุด หรือ -0.85% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,510.20 จุด ลดลง 35.24 จุด หรือ -0.47%
ขณะที่ดัชนี FTSE MIB ตลาดหุ้นอิตาลี ปิดที่ 20,711.70 จุด ร่วงลง 799.37 จุด หรือ -3.72% และดิ่งลง 4.8% ตลอดทั้งสัปดาห์
นักลงทุนจับตาสถานการณ์ด้านงบประมาณของอิตาลีอย่างใกล้ชิด หลังมีรายงานว่า รัฐบาลอิตาลีภายใต้การนำของพรรคไฟว์ สตาร์ และพรรคเดอะ ลีก เห็นพ้องให้มีการกำหนดเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปีหน้าไว้ที่ 2.4% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลชุดก่อนถึง 3 เท่า และคาดว่าจะทำให้สหภาพยุโรป (EU) แสดงความไม่เห็นด้วย
รัฐบาลอิตาลีได้ขยายเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปี 2562 เพื่อหนุนนโยบายจากแคมเปญการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกับ EU
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วยุโรปร่วงหนักในช่วงบ่าย เนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีที่พุ่งสูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลอิตาลีพุ่งขึ้น สืบเนื่องจากนโยบายใหม่ของรัฐบาลผสมชุดใหม่
โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีอายุ 10 ปีพุ่งสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3.124% ในวันศุกร์
นอกจากสถานการณ์ในอิตาลีแล้ว ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าวิตก โดยอัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนในเดือนก.ย. ปรับตัวขึ้นแตะ 2.1% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรปที่ 2%
ทั้งนี้ นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยหุ้นแบงก์อิตาลีร่วงลงกว่า 4% ต่อเนื่องจากวันพฤหัสบดีที่ร่วงลงอย่างหนักเช่นกัน หุ้นยูนิเครดิตร่วง 8% หุ้นบังโค บีเอ็มพี ดิ่ง 9% และหุ้นอูนิโอเน เด บังเค อิตาเลียนา ร่วงราว 8%
ขณะที่หุ้นธนาคารในตลาดอื่นๆของยุโรปร่วงลงเช่นกัน หุ้นนอร์เดีย แบงก์ ลบ 0.9% หุ้นเอชเอสบีซี ลบ 1.8% หุ้นบังโค ซานตานเดร์ ของสเปน ลดลงกว่า 3%
สำหรับในตลาดหุ้นเยอรมันนั้น ดอยซ์แบงก์ลบ 3.58% ตามด้วยบริษัทประกัน อลิอันซ์ ลดลง 2.66% และบีเอเอสเอฟ กลุ่มบริษัทเคมีภัณฑ์ ลดลง 2.33%
ส่วนในตลาดหุ้นฝรั่งเศส หุ้นเครดิต อากริโคล ดิ่ง 4.34% ตามด้วยบีเอนพี พาริบาส์ ลบ 3.23% และโซซิเอเต เจเนราล ลดลง 2.81%
ด้านหุ้นบวกนั้น หุ้นบริษัทสินค้าหรู แอร์เมส บวก 0.85% หุ้นกลุ่มโรงแรม แอคคอร์ บวก 0.59% ในตลาดหุ้นฝรั่งเศส ขณะที่หุ้นบริษัทยา เมอร์ค และเฮงเค็ล บริษัทเคมีและสินค้าอุปโภคบริโภคของเยอรมนี บวก 0.74% และ 0.20% ตามลำดับในตลาดหุ้นเยอรมัน
นอกจากนี้ หุ้นซาบ พุ่งกว่า 8% และหุ้นโบอิ้ง บวก 1.23% หลังมีรายงานว่าโบอิ้งคว้าสัญญาจัดหาเครื่องบินให้กองทัพอากาศสหรัฐ ขณะที่ซาบเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนสำหรับเครื่องบินเหล่านี้
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวกบาง 18.38 จุด ขณะพุ่งแข็งแกร่งในรอบไตรมาส
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อวันศุกร์ (28 ก.ย.) เช่นเดียวกับ Nasdaq ที่บวกเล็กน้อย ส่วน S&P 500 ปิดทรงตัว ขณะที่นักลงทุนจับตาสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน รวมทั้งติดตามสถานการณ์การเมืองในอิตาลี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,458.31 จุด เพิ่มขึ้น 18.38 จุด หรือ +0.07% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,913.98 จุด ลดลง 0.02 จุด หรือ -0.00% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,046.35 จุด เพิ่มขึ้น 4.38 จุด หรือ +0.05%
ขณะที่ตลอดเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ดาวโจนส์บวก 1.9%, S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.4% ส่วน Nasdaq ลดลง 0.8%
สำหรับทั้งไตรมาส ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 9.3%, S&P เพิ่มขึ้น 7.2% ดีที่สุดในรอบห้าปี และ Nasdaq บวก 7.1% โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน และความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ
ส่วนในการซื้อขายวันศุกร์นั้น หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลดลง ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น
ทั้งนี้ นักลงทุนกลับมาวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน โดยหวั่นว่าสงครามการค้าจะลุกลามบานปลาย หลังจากล่าสุดสหรัฐกล่าวหาว่าจีนพยายามแทรกแซงการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐที่จะจัดขึ้นในเดือนพ.ย.นี้ ซึ่งจีนก็ได้ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐยุติการใช้ถ้อยคำและการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งผลประโยชน์พื้นฐานของประชาชนทั้งสองประเทศ
นายเกิง ฉวง โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน ได้ร้องขอในเรื่องดังกล่าวระหว่างการแถลงข่าวรายวัน ภายหลังจากที่มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่สหรัฐได้กล่าวหาจีนว่า พยายามที่จะแทรกแซงการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาสถานการณ์ด้านงบประมาณของอิตาลีอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดมีรายงานว่า รัฐบาลอิตาลีภายใต้การนำของพรรคไฟว์ สตาร์ และพรรคเดอะ ลีก เห็นพ้องให้มีการกำหนดเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปีหน้าไว้ที่ 2.4% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลชุดก่อนถึง 3 เท่า และคาดว่าจะทำให้สหภาพยุโรป (EU) แสดงความไม่เห็นด้วย
รัฐบาลอิตาลีได้ขยายเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปี 2562 เพื่อหนุนนโยบายจากแคมเปญการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกับ EU
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยวานนี้ ได้แก่ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 100.1 ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบกับตัวเลขเบื้องต้นที่ 100.8 หลังจากแตะระดับ 96.2 ในเดือนส.ค.
ผลการสำรวจพบว่า ผู้บริโภคมีมุมมองเชิงบวกต่อรายได้และการจ้างงานในอนาคต
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน หลังจากที่ขยายตัว 0.4% ในเดือนก.ค.
ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งเข้ามาชดเชยยอดซื้อรถยนต์ที่ปรับตัวลดลง
ส่วนดัชนี PCE พื้นฐานเดือนส.ค. ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า หลังจากที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค.
ในส่วนของข่าวคราวความเคลื่อนไหวภาคธุรกิจ หุ้นเทสลา ดิ่งลงเกือบ 14% หลังจากที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ได้ยื่นฟ้องนายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลา จากกรณีที่นายมัสก์ได้ทวีตข้อความก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการนำเทสลาออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด
ทั้งนี้ นายมัสก์ได้ทวีตข้อความในวันที่ 7 ส.ค.ว่า เขามีแผนที่จะนำบริษัทเทสลาออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด โดยเขามีแหล่งเงินทุนที่จะเข้าซื้อหุ้นที่ระดับราคา 420 ดอลลาร์ ซึ่งข่าวนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นเทสลาพุ่งขึ้นแตะ 387.46 ดอลลาร์ในวันดังกล่าว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
หุ้นเฟซบุ๊กลดลงเกือบ 2% หลังบริษัทเผยว่า ปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนตัวนั้นได้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานราว 50 ล้านคน
หุ้นอินเทลพุ่ง 3.1% หลังซีอีโอรักษาการเผยว่า บริษัทน่าจะสามารถทำรายได้ทั้งปีได้ตามที่คาดการณ์
หุ้นโบอิ้งบวก 1.23% หลังจากบริษัทคว้าสัญญาสร้างเครื่องบินฝึกให้กับกองทัพอากาศสหรัฐ
--อินโฟเควสท์
OO14452