WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

5 ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ ทิศทางเดียวกับตลาดภูมิภาค รอลุ้นผลประชุมเฟดคืนนี้
 
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าแกว่งไซด์เวย์ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เคลื่อนไหวไซด์เวย์อิงในทางบวกเล็กน้อยราว 0.4% โดยคาดว่าหุ้นในกลุ่มพลังงานจะเด่นและช่วยประคองตลาดฯได้ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบเบรนท์ได้ขึ้นสูงสุดในรอบ 4 ปี
 
นอกจากนี้ ตลาดฯก็กำลังรอดูผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะสิ้นสุดการประชุมในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ โดยตลาดฯคาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ขณะเดียวกันให้ติดตามการส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางราคาน้ำมันดิบในช่วงที่เหลือของปีนี้ด้วย
 
ทั้งนี้ หลังจากที่ตลาดฯรับรู้ผลการประชุมเฟดแล้วก็คาดว่าตลาดฯจะเคลื่อนไหวในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งตลาดบ้านเรามีปัจจัยหนุนจากปัจจัยในประเทศในเรื่องความคืบหน้าการเลือกตั้ง และเศรษฐกิจที่ขยายตัวดี ส่วนประเด็นสงครามการค้า ตลาดไม่ได้ให้น้ำหนักมาก
 
พร้อมให้แนวรับ 1,740 จุด ส่วนแนวต้าน 1,755 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (25 ก.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,492.21 จุด ลดลง 69.84 จุด (-0.26%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,915.56 จุด ลดลง 3.81 จุด (-0.13%) ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,007.47 จุด เพิ่มขึ้น 14.22 จุด (+0.18%)
 
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 93.66 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 4.18 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 107.42 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 4.77 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 12.73 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 5.47 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 10.44 จุด
ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันหยุดชดเชย
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (25 ก.ย.61) 1,747.99 จุด ลดลง 1.43 จุด (-0.08%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,001.64 ล้านบาท เมื่อวันที่ 25 ก.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (25 ก.ย.61) ปิดที่ 72.28 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 20 เซนต์ หรือ 0.3%
 
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (25 ก.ย.61) ที่ 5.71 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.42 แนวโน้มทรงตัวในกรอบ 32.35-32.50 รอดูทิศทาง-ถ้อยแถลงเฟด
- ประมูล 2 แหล่งก๊าซเอราวัณ-บงกช แข่งเดือด ปตท.สผ.หันจับมือ มูบาดาลา แทนโททาล ท้าชิงแหล่งเอราวัณ ส่วนแหล่งบงกช ปตท.สผ.โดดแข่งเดี่ยว ขณะที่เชฟรอนฯผนึกกำลังเหนียวแน่น มิตซุยฯ ท้าแข่งทั้ง 2 แหล่ง ด้านกรมเชื้อเพลิงฯ ขอเวลา 2 เดือน ก่อนชง ครม.เคาะชื่อผู้ชนะ ธ.ค.นี้ คาดเกิดเม็ดเงินลงทุน 1.2 ล้านล้านบาท นายกฯยืนยันรัฐได้ประโยชน์มากขึ้น
 
- "สทท." ปรับเป้าตัวเลข นักท่องเที่ยวต่างชาติปี 61 อยู่ที่ 37.19 ล้านคน ร่วงจาก 39 ล้านคน ฉุดรายได้ต่ำกว่า 2 ล้านล้านบาท เหตุยอดตลาดจีนหล่นวูบ คาดไตรมาส 4 มาไทย 1.85 ล้านคน ลดลง 25% ลุยผนึก "แอตต้า" ยื่นหนังสือรมว.ท่องเที่ยว สัปดาห์หน้าใช้ยาแรงมาตรการด้านวีซ่า 3 ทางเลือก เว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ขอวีซ่า ครั้งเดียวเดินทางได้สองครั้ง และลด ค่าธรรมเนียมตรวจลงตราฯ เหลือพันบาท ฟื้นตลาดจีนใน 6 เดือน
 
- ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยถึงดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) ประจำเดือนสิงหาคม 2561 ขยายตัว 0.66% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการขยายตัวเป็นบวกติดต่อกันเป็นเดือนที่ 16 โดย 8 เดือนแรกของปี 2561 เอ็มพีไอขยายตัว 3.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนขยายตัว
 
- "ภากร"เสนอ ไอเดียตั้ง "กองทุนฉุกเฉิน" ช่วย สภาพคล่องนักลงทุน-แบงก์ สกัดวิกฤติตลาดหุ้น แนะตั้งหน่วยงานกลางช่วยเติมสภาพคล่องให้ตลาดทุนกรณีราคาหุ้นตกเร็วและแรง ป้องกันผลกระทบ เป็นวงกว้าง
 
- กทพ.ฟุ้งคลังเปิดทางหนุนหาช่องทางระดมทุนเพิ่ม หลังกองทุน TFF ผลตอบรับดี เดินหน้าอีก 2 โครงการเพื่อสนับสนุนกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
 
*หุ้นเด่นวันนี้
- PTTGC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 110 บาท แนวโน้มกำไร Q3/61 ที่ชะลอจากการปิดซ่อมเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้หมดแล้ว คาดว่า Q4/61 จะเร่งตัวขึ้นยาวไปถึง Q1/62 จาก (1) โรงงานกลับมาผลิตได้ตามปกติ (2) GRM ฟื้นตัวรับ High Season ปลายปี (3) มาร์จิ้นสายอะโรเมติกส์เพิ่มขึ้นจากการผลิตสินค้าปลายน้ำ เช่น PTA และ PET พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 2561 +9.5% Y-Y เป็น 4.3 หมื่นล้านบาท และ +7% Y-Y เป็น 4.6 หมื่นล้านบาท ในปี 2562 ด้านราคาหุ้นตอนนี้ยังไม่แพง PE แค่ 8.5 เท่า และปันผลสูง 5.4% โดยระยะสั้นจะได้แรงหนุนเพิ่มเติมหาก GGC สามารถแก้ไขปัญหาสินค้าคงคลังหายได้ภายใน 30 ก.ย. นี้
 
- MINT (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 43 บาท Q3/61 คาดกำไรโตต่อเนื่อง จาก high season ของธุรกิจโรงแรมในยุโรป (Tivoli ในโปรตุเกส และ NH Hotel ) ขณะที่ Q4/61 เข้าสู่ high season ของธุรกิจโรงแรมในไทย
 
- CPF (เอเอสแอล) "ซื้อ"เป้า 29.45 บาท คาดว่ารายได้จากในประเทศจะเริ่มมีการฟื้นตัวใน H2/61 จากราคาเนื้อสัตว์ที่เริ่มฟื้นตัว โดยจะมาจากผลดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจสุกรในเวียดนามที่กลับสู่ภาวะปกติตั้งแต่ไตรมาส Q2/61 รวมทั้งธุรกิจสัตว์น้ำที่มียอดขายเติบโตดีทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ผลประกอบการขยายตัวตามเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ 5 -8% ได้ ด้านการลงทุนสร้างโรงงานแปรรูปไก่ครบวงจรมูลค่า 200 -250 ล้านเหรียญ สรอ. ที่เวียดนาม คาดว่าจะสร้างเสร็จช่วงปลายปี 2562 และสามารถพร้อมส่งออกไก่ได้ทันที โดยวางเป้าหมายลูกค้าไว้ที่กลุ่มภูมิภาคเอเชีย ส่งผลให้ผลประกอบการ ของต่างประเทศจะขยายตัวขึ้นในปี 2563
 
 
 
ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ นักลงทุนจับตาผลประชุมเฟด
 
ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอย่างผันผวนในเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ โดยกระแสคาดการณ์ส่วนใหญ่บ่งชี้ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
 
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 23,846.60 จุด ลดลง 93.66 จุด, -0.39% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,785.32 จุด เพิ่มขึ้น 4.18 จุด, +0.15% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,606.81 จุด เพิ่มขึ้น 107.42 จุด, +0.39% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,974.08 จุด ลดลง 4.77 จุด, -0.04% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,248.81 จุด เพิ่มขึ้น 12.73 จุด, +0.39% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,789.00 จุด ลดลง 5.47 จุด, -0.30% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,342.61 จุด เพิ่มขึ้น 10.44 จุด, +0.14% ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันหยุดชดเชย
 
 
นักวิเคราะห์จากแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่า นักลงทุนต่างก็จับตาการประชุมเฟดอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ หลังจากปรับขึ้นไปแล้วในการประชุมเดือนมี.ค.และมิ.ย.ปีนี้
 
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด โดยคาดว่า นายเจอโรมอาจจะส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต และอาจแสดงความเห็นเกี่ยวกับสงครามการค้าที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
 
 
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 49.15 จุด หลังราคาน้ำมันพุ่งหนุนหุ้นพลังงาน
 
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (25 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่พุ่งขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการ ขณะที่หุ้นเน็กซ์ ผู้จำหน่ายเสื้อผ้ารายใหญ่ พุ่งขึ้นกว่า 7% ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกด้วย
 
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,507.56 จุด เพิ่มขึ้น 49.15 จุด หรือ +0.66%
 
 
หุ้นเน็กซ์ ทะยานขึ้น 7.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายและกำไรที่แข็งแกร่งเกินคาดในเดือนส.ค.
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการเมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่า มาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐนำมาใช้กับอิหร่านนั้น จะส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกลดลง โดยหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 2.9% หุ้นโททาล เพิ่มขึ้น 1.3% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ พุ่งขึ้น 2.4%
 
หุ้นโนวาร์ติส ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ของสวิตเซอร์แลนด์ พุ่งขึ้น 1.7% หลังจากบริษัทประกาศแผนการปลดพนักงาน 2,200 ตำแหน่งในช่วง 4 ปีข้างหน้า ซึ่งรวมถึง 400 ตำแหน่งในสหราชอาณาจักร
 
นักลงทุนจับตาการเจรจาระหว่างสหภาพยุโรป (EU) และอังกฤษ ในประเด็นที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยรายงานล่าสุดระบุว่า นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักรอาจบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับ Brexit ในเดือนต.ค.
 
อย่างไรก็ดี นางแมร์เคิลกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่รัฐบาลอังกฤษต้องการ พร้อมกับกล่าวว่า สหราชอาณาจักรไม่สามารถเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตลาดเดี่ยวของยุโรป หากไม่ปฏิบัติตามหลักการของ EU
 
นอกจากนี้ นางแมร์เคิลยังกล่าวว่า ภาคธุรกิจของยุโรปต้องการความชัดเจน ดังนั้น ตัวแทนการเจรจาจากสหราชอาณาจักรและ EU จึงต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในช่วง 6-8 สัปดาห์ข้างหน้า
 
 
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นพลังงานพุ่งหนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก ขณะนักลงทุนจับตาประชุมเฟด
 
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (25 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการแถลงผลการประชุมในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ
 
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดบวก 0.5% แตะที่ระดับ 383.89 จุด
 
 
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,374.66 จุด เพิ่มขึ้น 23.84 จุด หรือ +0.19% ขณะที่ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,479.10 จุด เพิ่มขึ้น 2.93 จุด หรือ +0.05% ส่วนดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,507.56 จุด เพิ่มขึ้น 49.15 จุด หรือ +0.66%
 
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI และน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการเมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่า มาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐนำมาใช้กับอิหร่านนั้น จะส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกลดลง โดยหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 2.9% หุ้นโททาล เพิ่มขึ้น 1.3% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ พุ่งขึ้น 2.4%
 
นายเบน แวน เบอร์เดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทรอยัล ดัทช์ เชลล์ กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นจะช่วยกระตุ้นการลงทุนในธุรกิจน้ำมัน พร้อมแสดงความเห็นว่า ราคาน้ำมันที่ระดับ 80 ดอลลาร์จะเป็นประโยชน์ต่อตลาดในระยะยาว
 
หุ้นโนวาร์ติส ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ของสวิตเซอร์แลนด์ พุ่งขึ้น 1.7% หลังจากบริษัทประกาศแผนการปลดพนักงาน 2,200 ตำแหน่งในช่วง 4 ปีข้างหน้า ซึ่งรวมถึง 400 ตำแหน่งในสหราชอาณาจักร
 
หุ้นเน็กซ์ ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายเสื้อผ้า ทะยานขึ้น 7.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายและกำไรที่แข็งแกร่งเกินคาดในเดือนส.ค.
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มรถยนต์ร่วงลง นำโดยหุ้นบีเอ็มดับเบิลยู ดิ่งลง 5.4% หลังจากบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์ผลกำไรในปีงบการเงิน 2561 อันเนื่องมาจากผลกระทบของสงครามการค้า ขณะที่หุ้นเดมเลอร์ เอจี ร่วงลง 1.9% และหุ้นโฟล์คสวาเกน ลดลง 1.9%
 
นักลงทุนจับตาผลการประชุมเฟดซึ่งจะมีการแถลงในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ หลังจากปรับขึ้นไปแล้วในการประชุมเดือนมี.ค.และมิ.ย.ปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้
 
 
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 69.84 จุด นักลงทุนชะลอซื้อขายก่อนรู้ผลประชุมเฟด
 
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (25 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ ขณะที่กระแสคาดการณ์ส่วนใหญ่บ่งชี้ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งอ่อนไหวต่อการค้าระหว่างประเทศนั้น ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง
 
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,492.21 จุด ลดลง 69.84 จุด หรือ -0.26% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,915.56 จุด ลดลง 3.81 จุด หรือ -0.13% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,007.47 จุด เพิ่มขึ้น 14.22 จุด หรือ +0.18%
 
นักวิเคราะห์จากแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ กล่าวว่า นักลงทุนต่างก็จับตาการประชุมเฟดอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ หลังจากปรับขึ้นไปแล้วในการประชุมเดือนมี.ค.และมิ.ย.ปีนี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด โดยคาดว่า นายเจอโรมอาจจะส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต และอาจแสดงความเห็นเกี่ยวกับสงครามการค้าที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
 
หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคซึ่งมีความอ่อนไหวต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยต่างก็ปรับตัวลง โดยหุ้นไทสัน ฟู้ดส์ ลดลง 0.7% หุ้นพรอกเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ร่วงลง 1.4% หุ้นเป๊ปซี่โค ลดลง 0.3% และหุ้นโคคา-โคลา ลดลง 0.8% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภค ปรับตัวลง 0.73%
 
หุ้นกลุ่มธนาคารปิดตลาดอ่อนแรงลง แม้ได้รับแรงหนุนในระหว่างวันหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ก็ตาม โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์, หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส ต่างก็ปรับตัวลงราว 0.3% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ลดลง 0.5% และหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับตัวลง 0.6%
 
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า โดยหุ้นโบอิ้ง ปรับตัวลง 0.2% หุ้น 3M ร่วงลง 1.3% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ลดลง 0.4% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก และหุ้นอีตัน คอร์ป ต่างก็ปรับตัวลง 0.3%
 
ส่วนหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปซึ่งต้องพึ่งพารายได้ส่วนหนึ่งจากการทำธุรกิจในจีนนั้น ร่วงลงเนื่องจากความกังวลสงครามการค้าเช่นกัน โดยหุ้นไมครอน เทคโนโลยี ดิ่งลง 1.1% หุ้นพีเอชแอลเอ็กซ์ เซมิคอนดักเตอร์ ร่วงลง 1.7% ขณะที่หุ้นอินเทล ร่วงลง 2.1% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์เรย์มอนด์ เจมส์ ได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นอินเทล
 
หุ้นไนกี้ ร่วงลง 2.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยอัตรากำไรขั้นต้น (gross margin) ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานได้รับแรงซื้อหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 0.6% และหุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 0.7%
 
หุ้นโนวาร์ติส ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ของสวิตเซอร์แลนด์และเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ดีดตัวขึ้น 0.7% หลังจากบริษัทประกาศแผนการปลดพนักงาน 2,200 ตำแหน่งในช่วง 4 ปีข้างหน้า ซึ่งรวมถึง 400 ตำแหน่งในสหราชอาณาจักร
 
หุ้นไมเคิล คอร์ส โฮลดิ้งส์ ผู้ผลิตกระเป๋าและสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังสัญชาติอเมริกัน พุ่งขึ้น 2% หลังจากบริษัทประกาศทุ่มเงิน 2.1 พันล้านดอลลาร์ซื้อกิจการจิอันนี เวอร์ซาเช่ เจ้าของเสื้อผ้าแบรนด์หรูสัญชาติอิตาลี โดยหลังการควบรวมกิจการแล้ว บริษัทใหม่ที่ตั้งขึ้นจะใช้ชื่อว่า "คาปรี โฮลดิ้งส์" ขณะที่ฝ่ายบริหารชุดเดิมของเวอร์ซาเช่จะยังคงทำหน้าที่ต่อไป
 
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐซึ่งมีการเปิดเผยล่าสุดและส่งผลต่อภาวะการซื้อขายในตลาดเมื่อคืนนี้  Conference Board เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของสหรัฐดีดตัวสู่ระดับ 138.4 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 18 ปี จากระดับ 134.7 ในเดือนก.ค. และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นจะลดลงสู่ระดับ 132.0
 
ขณะที่เอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ ได้เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 6.0% ในเดือนก.ค. แต่ชะลอตัวลงจากระดับ 6.2% ในเดือนมิ.ย. และดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.9% ในเดือนก.ค. ลดลงจากระดับ 6.4% ในเดือนมิ.ย.
 
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนส.ค., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2561, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนส.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
 
--อินโฟเควสท์ 
OO14255

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!