- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Tuesday, 18 September 2018 13:33
- Hits: 2546
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้พักฐานตามตลาดภูมิภาคกังวลข้อพิพาทการค้าสหรัฐ-จีนบานปลาย
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะพักฐาน เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. โดยสหรัฐจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 10% และจากนั้นจะเพิ่มเป็น 25% ตั้งแต่ช่วงต้นปีหน้า ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ติดลบ แต่มีบางตลาดที่ยังบวกได้เล็กน้อย
อย่างไรก็ดีให้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 ก.ย.นี้ต่อไป
พร้อมให้แนวรับ 1,710-1,715 จุด ส่วนแนวต้าน 1,725-1,730 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (17 ก.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,062.12 จุด ลดลง 92.55 จุด (-0.35%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,888.80 จุด ลดลง 16.18 จุด (-0.56%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,895.79 จุด ลดลง 114.25 จุด (-1.43%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 52.48 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 7.49 จุด, -0.28% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 86.52 จุด, -0.32% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 34.39 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 15.28 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 18.52 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 11.90 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (17 ก.ย.61) 1,718.39 จุด ลดลง 3.82 จุด (-0.22%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 306.08 ล้านบาท เมื่อวันที่ 17 ก.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (17 ก.ย.61) ปิดที่ 68.91 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 8 เซนต์ หรือ 0.1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (17 ก.ย.61) ที่ 5.95 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.66 อ่อนค่าจากวานนี้ตามภูมิภาคจากแรงซื้อดอลล์ แต่มีแนวโน้มแข็งค่า รอผลกนง.พรุ่งนี้
- รฟม.ชงเพิ่มโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีชมพูเชื่อมสถานีศรีรัชเข้าเมืองทองธานี และสีเหลืองเชื่อมรัชดา-ลาดพร้าว-แยกรัชโยธิน บรรจุในแผนแม่บทขนส่งทางราง เผย คจร.จ่อเคาะอนุมัติสายสีเหลืองก่อน 19 ก.ย.นี้ ก่อนเดินหน้าเจรจาผลประโยชน์และส่วนแบ่งรายได้กับกลุ่มบีทีเอส ด้าน สนข. เสนอผลศึกษาแก้จราจรเมืองขอนแก่น ผุดรถไฟฟ้ารางเบา ส่วนพิษณุโลก เสนอแทรมป์ล้อยาง
- "พาณิชย์"เดินหน้าเตรียมความพร้อม SMEs เข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 หรือ 4IR เผยเทคโนโลยีและนวัตกรรมจะเข้ามามีบทบาท ทั้งในด้านการผลิต การบริโภค และการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทัน เตรียมดันเป็นประเด็นหลักในการเป็นประธานอาเซียนปี 62 หวังช่วย SMEs อาเซียนรับมือการเปลี่ยนแปลง
- บอร์ด รฟท.ครั้งล่าสุดรับทราบความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) ภายใต้กรอบความร่วมมือไทย-จีนเส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทางรวม 252.5 กิโลเมตร (กม.) วงเงินรวม 1.79 แสนล้านบาท โดยพิจารณางานก่อสร้างช่วงสีคิ้ว-กุดจิก ระยะทาง 11 กม.ประเมินใช้วงเงินก่อสร้าง 4 พันล้านบาท คาดประกาศร่างเงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) ต้นเดือน ต.ค.61 นี้ เปิดประกวดราคาได้ในเดือน พ.ย.และลงนามสัญญาได้ในปลายเดือน ม.ค.62
- พลังงานเดินหน้าประมูลปิโตรเลียม 25 ก.ย.นี้ ตามกำหนด ย้ำยังใช้รูปแบบพีเอสซี พร้อมเผยกรณีกองทุนอนุรักษ์ฯ ศาลปกครองเรียกดูข้อมูล ยันสัปดาห์นี้ได้ข้อสรุปผลสอบการใช้เงิน ด้าน "ศิริ" จ่อศึกษาวินด์ฟาร์มภาคเหนือ ฟุ้งช่วยกระตุ้นท่องเที่ยวสร้างเงิน ขณะ พพ.เดินสายลงพื้นที่ดูแววเอกชนส่งชิงอาเซียนเอนเนอร์ยี่ อวอร์ด
*หุ้นเด่นวันนี้
- TPIPP (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 8.2 บาท คาดกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น (ส.ค.โรงไฟฟ้า TG7 กำลังการผลิต 70MW เริ่มการผลิต) ขณะที่ Valuation ค่อนข้างถูก PE 13 เท่าเทียบกับกลุ่มเฉลี่ยที่ 24 เท่า อีกทั้งจ่ายปันผลสม่ำเสมอให้ Yield 6-7%ต่อปี
- TISCO (ฟินันเซีย) "ซื้อ"เป้า 98 บาท รายงานสินเชื่อเดือน ส.ค.ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า แต่มีสัญญาณที่ดีขึ้นในกลุ่ม SME ที่ประกอบธุรกิจ Floor plan และสินเชื่อ retail ที่ไม่หดตัวลงแล้ว (HP flat แต่ Auto cash โตได้ดีขึ้น) เงินให้สินเชื่อ 8 เดือนแรกลดลง 5.35% YTD ส่วนใหญ่มาจาก repayment กลุ่มสินเชื่อธุรกิจใน H1/61 พร้อมคาดผลการดำเนินงานใน H2/61 จะดีกว่า H1/61 ที่มีค่าใช้จ่ายพิเศษมากกว่าคาด ส่วนกำไรทั้งปี 61 คาด 7.1 พันลบ. (+16.7% Y-Y) และคาดปันผล 5.5% ต่อปี (จ่ายปีละครั้ง)
- SGP (ยูโอบี เคย์เฮียน) "ซื้อ"เป้า 14.50 บาท เชื่อเป้าหมายปริมาณการขายของ SGP ในระดับ 3.5 ล้านตันในปี 61 เป็นไปได้เนื่องจากปริมาณการขายครึ่งปีแรกอยู่ในระดับ 47% ของยอดขายทั้งปี และตามปกติปริมาณการขายในครึ่งปีหลังจะอยู่ในระดับสูงกว่าครึ่งปีแรก โดยเชื่อว่าผลประกอบการใน Q3/61 จะอยู่ในระดับ 900 ล้านบาท (+18% qoq, +6% yoy) จากเทรนด์ขาขึ้นของราคา LPG และการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขายตามปัจจัยฤดูกาล
ตลาดหุ้นเอเชียร่วงลงเช้านี้ วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีนบานปลาย
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน โดยรายงานล่าสุดระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 23,042.19 จุด ลดลง 52.48 จุด, -0.23% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,644.30 จุด ลดลง 7.49 จุด, -0.28% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 26,846.33 จุด ลดลง 86.52 จุด, -0.32% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,794.22 จุด ลดลง 34.39 จุด, -0.32% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,287.73 จุด ลดลง 15.28 จุด, -0.66% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,122.88 จุด ลดลง 18.52 จุด, -0.59% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,791.86 จุด ลดลง 11.90 จุด, -0.66%
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นการตอบโต้ที่จีนขโมยเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ
นับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. สหรัฐจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 10% และจากนั้นจะเพิ่มเป็น 25% ตั้งแต่ช่วงต้นปีหน้า นอกเสียจากว่า ทั้งสองประเทศจะสามารถทำข้อตกลงกันได้
ตลาดการเงินจับตาท่าทีของจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากจีนได้เตือนไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐเตือนว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก หากจีนออกมาตรการตอบโต้สหรัฐ
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 1.94 จุด เหตุวิตกผลกระทบสงครามการค้า
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (17 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆในยุโรปที่ต่างก็ปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับปัจจัยหนุนในระดับหนึ่ง หลังจากมีรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจา Brexit
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,302.10 จุด ลดลง 1.94 จุด หรือ -0.03%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ขณะที่รายงานล่าสุดระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้
นักลงทุนจับตาดูท่าทีของจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากที่สื่อรายงานก่อนหน้านี้ว่า จีนอาจยกเลิกการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ถ้าหากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับปัจจัยหนุนในระหว่างวัน หลังจากนายมิเชล บาร์นิเยร์ ตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพยุโรป (EU) ในประเด็นที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) กล่าวว่า การเจรจาระหว่าง EU และอังกฤษในประเด็น Brexit ยังคงดำเนินไปโดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นายบาร์นิเยร์กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ EU จะบรรลุข้อตกลง Brexit กับอังกฤษภายในเวลา 6-8 สัปดาห์
ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่าถ้อยแถลงของนายบาร์นิเยร์เป็นการส่งสัญญาณท่าทีที่ผ่อนคลายของ EU ในประเด็นดังกล่าว ซึ่งจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงก่อนถึงกำหนดเส้นตายการแยกตัวของอังกฤษออกจาก EU อย่างเป็นทางการในช่วงสิ้นเดือนมึ.ค.ปีหน้า
หุ้น SSE ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานสัญชาติสก็อตแลนด์ พุ่งขึ้น 3.55% ซึ่งเป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในดัชนี FTSE 100 ขณะที่หุ้นเอฟราส และหุ้นคาร์นิวาล ปรับตัวขึ้น 2.48% และ 2.36% ตามลำดับ
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: วิตกสงครามการค้า ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้ (17 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์และยูโรยังสร้างแรงกดดันต่อหุ้นบริษัทข้ามชาติ
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,096.41 จุด ลดลง 27.92 จุด หรือ -0.23% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,348.87 จุด ลดลง 3.70 จุด หรือ -0.07% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,302.10 จุด ลดลง 1.94 จุด หรือ -0.03%
ส่วนดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับขึ้น 0.1% ปิดที่ 378.31 จุด
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ขณะที่รายงานล่าสุดระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้
นักลงทุนจับตาดูท่าทีของจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากที่สื่อรายงานก่อนหน้านี้ว่า จีนอาจยกเลิกการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ถ้าหากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
หุ้น SAP ซึ่งเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับภาคธุรกิจเยอรมนี ร่วงลง 1.3% หุ้นลินด์ ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติด้านเคมีภัณฑ์ ดิ่งลง 2.3% ขณะที่หุ้นเฮงเคล ร่วงลง 2.2%
หุ้นเอชแอนด์เอ็ม ทะยานขึ้น 1.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่สูงเกินคาดในไตรมาส 3 ตามปีงบการเงินของบริษัท
สำหรับข่าวความคืบหน้าที่มีผลต่อภาวะการซื้อขายเมื่อคืนนี้ นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า ยูโรโซนยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และในวงกว้าง นอกจากนี้นายดรากีกล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจในอาร์เจนตินา และตุรกียังไม่ได้ลุกลามมาถึงยูโรโซนแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี นายดรากีเตือนว่า ปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความวิตกทางด้านเศรษฐกิจ
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 92.55 จุด วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน,หุ้นเทคโนฯร่วง
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (17 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน โดยรายงานล่าสุดระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ การร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มค้าปลีกยังเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบเช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,062.12 จุด ลดลง 92.55 จุด หรือ -0.35% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,888.80 จุด ลดลง 16.18 จุด หรือ -0.56% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,895.79 จุด ลดลง 114.25 จุด หรือ -1.43%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ขณะที่รายงานล่าสุดระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้
นักลงทุนจับตาดูท่าทีของจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากที่สื่อรายงานก่อนหน้านี้ว่า จีนอาจยกเลิกการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ถ้าหากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
ด้านปธน.ทรัมป์ได้ทวีตข้อความก่อนที่จะประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนครั้งใหม่เมื่อวานนี้ว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าได้สร้างความได้เปรียบแก่สหรัฐ ทำให้สหรัฐมีรายได้ และมีการสร้างงานมากขึ้น
"การเก็บภาษีนำเข้าได้ทำให้สหรัฐมีความได้เปรียบอย่างมากในการเจรจาต่อรอง และทำให้เม็ดเงินหลายพันล้านดอลลาร์ และการสร้างงานกลับเข้ามาในประเทศของเรา ขณะที่ค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ถ้าประเทศใดไม่ทำข้อตกลงที่เป็นธรรมกับเรา ประเทศเหล่านั้นก็จะต้องถูกเก็บภาษีนำเข้า" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นบริษัทเทคโนโลยีในกลุ่ม FAANG (เฟซบุ๊ก แอปเปิล อเมซอน เน็ตฟลิกซ์ และอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล) โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 1.1% หุ้นแอปเปิล ลดลง 2.7% หุ้นอเมซอน ร่วงลง 3.2% และหุ้นอัลฟาเบท ปรับตัวลง 2.7% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 3.9% หุ้นทวิตเตอร์ ดิ่งลง 4.2% หุ้นสแนป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสแนปแชท ร่วงลง 1.1% หุ้นไมโครอน เทคโนโลยีส์ ดิ่งลง 1.6% หุ้นอินเทล ปรับตัวลง 0.3%
ทั้งนี้ หุ้นแอปเปิลร่วงลง แม้สื่อรายงานว่า สมาร์ทวอทช์จะไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อสินค้าที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนก็ตาม หลังจากที่ก่อนหน้านี้ แอปเปิลได้ออกมายอมรับว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์จะกระทบธุรกิจของบริษัท ซึ่งรวมถึงยอดขาย Apple Watch และ AirPods รวมทั้งอแดปเตอร์ และเครื่องชาร์จไฟฟ้า เนื่องจากจีนเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดของแอปเปิล
หุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นโคล์ท ดิ่งลง 2% หุ้นเมซีย์ ร่วงลง 3% หุ้นทาร์เก็ต ปรับตัวลง 0.7% และหุ้น Lowe's ลดลง 0.1%
หุ้นไทสัน ฟู้ดส์ ปรับตัวลง 0.5% หลังจากนายทอม เฮเยส ซีอีโอของไทสัน ฟูดส์ ประกาศว่าจะลาออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลส่วนตัว
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.ย. จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนส.ค., ดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 2/2561, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนก.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ยอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.ย.จากมาร์กิต และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนก.ย.จากมาร์กิต
--อินโฟเควสท์
OO13903