WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

8 ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ย่อตัวลงตามภูมิภาค กลับมากังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน/หวั่นต่างชาติปรับพอร์ตหลัง MSCI มีผลวันนี้
 
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะย่อตัวลงแต่คงจะไม่มากนัก เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างติดลบกันเกือบทุกตลาด จากความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่มีข่าวว่าประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนรอบใหม่ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และสหรัฐฯอาจจะถอนตัวจากองค์การการค้าโลก (WTO) หากไม่ทำให้สหรัฐฯดีขึ้น
 
พร้อมกันนี้ให้ติดตามเรื่องของ MSCI ที่จะนำหุ้น A-Share ของจีนเข้ามาในการคำนวณและจะมีผลในวันนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติอาจจะขายปรับพอร์ตได้ อีกทั้ง Emerging Market เผชิญแรงกดดันจากอาร์เจนตินาค่าเงินได้อ่อนค่าสุดเป็นประวัติการณ์ และยังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 15% มาเป็นอัตราดอกเบี้ย 60%
 
พร้อมให้แนวรับ 1,714-1,710 จุด ส่วนแนวต้านบริเวณ 1,730 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (30 ส.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,986.92 จุด ลดลง 137.65 จุด (-0.53%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,088.36 จุด ลดลง 21.32 จุด (-0.26%) และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,901.13 จุด ลดลง 12.91 จุด (-0.44%)
 
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 136.25 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 9.22 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน  ลดลง 56.49 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 25.35 จุด,ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 365.84 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 7.63 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 15.10 จุด
 
ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซีย ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันชาติ
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (30 ส.ค.61) 1,720.43  จุด ลดลง 1.83 จุด (-0.11%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,912.93 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 ส.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (30 ส.ค.61) ปิดที่ 70.25 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 74 เซนต์ หรือ 1.1%
 
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (30 ส.ค.61) ที่  6.25 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.75 อ่อนค่าจากวานนี้หลังดอลล์แข็ง มองกรอบวันนี้ 32.60-32.80
- "อุตตม"แนะปรับเป้าหมายการเติบโตจีดีพีไทย สูงกว่า 5% ต่อปี เหตุโครงการลงทุนขนาดใหญ่-ต่างชาติจ่อลงทุนอีอีซี ดันเศรษฐกิจโตก้าวกระโดด พร้อมเชื่อมโยงอีอีซีสู่เส้นทางเศรษฐกิจโลก พัฒนา"เอสอีซี"เป็นฐานเศรษฐกิจใหม่ภาคใต้ เชื่อมเส้นทางการค้าจากอีอีซีสู่ภูมิภาคเอเชียใต้
 
- ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมามีการเก็งกำไรค่าเงินบาทเป็นระยะๆ ทำให้ค่าเงินบาทมีความผันผวน ซึ่ง ธปท.ได้ติดตามดูแลใกล้ชิด หากค่าเงินบาทมีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไป ก็มีเครื่องมือเข้าไปดูแลค่าเงินให้มีเสถียรภาพ โดยไม่ได้ดูแลค่าเงินเพื่อผลประโยชน์ทางการ เพราะที่ผ่านมา ธปท.แทรกแซงค่าเงินบาททั้งที่เวลาอ่อนค่าและแข็งค่า
 
- วงการเงินดิจิทัล ยอมรับ"ไอซีโอ" เริ่มไร้เสน่ห์ แนวโน้มผู้ออกลดลง หลังพบประสบความสำเร็จน้อย ขณะธุรกรรม หลอกลวงเยอะ ชี้แนวโน้มเริ่มหันไปทำ "เอสทีโอ" หรือ ระดมทุนด้วยหุ้นผ่านบล็อกเชนแทน เผยผู้ถือได้ปันผลเมื่อมีกำไรดี เชื่อ ตลาด-ก.ล.ต.เตรียมปรับกฎเกณฑ์เพื่อดูแล
 
- กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 เรื่อง สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ หรือสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ฉบับที่ 2 โดยได้ปรับปรุงนิยามให้ผู้ประกอบการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ สามารถทำสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ เพิ่มเติมจากเดิมที่ปล่อยกู้ได้เฉพาะกรณีใช้บุคคลค้ำประกัน และจดจำนองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์
 
*หุ้นเด่นวันนี้
- TPIPP (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 8.2 บาท คาดกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น (ส.ค.โรงไฟฟ้า TG7 กำลังการผลิต 70MW เริ่มการผลิต) ขณะที่ Valuation ค่อนข้างถูก PE 13 เท่าเทียบกับกลุ่มเฉลี่ยที่ 24 เท่า อีกทั้งยังจ่ายปันผลสม่ำเสมอให้ Yield 6-7% ต่อปี
 
- ASK (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 26.20 บาท ทั้ง ASK และ THANI จะได้ประโยชน์จากนโยบายเปลี่ยนรถตู้สัมปทานเป็นรถมินิบัส (21 ที่นั่ง) ภายในปี 2565 คาดว่าจะมียอดขอสินเชื่อราว 3 หมื่นล้านบาท ซึ่ง ASK ดูชำนาญกว่า และถ้าสมมติให้ ASK ได้ส่วนแบ่งตลาด 5% จะได้สินเชื่อใหม่ 1.5 พันล้านบาท หรือ 5% ของสินเชื่อรวม ในกรณีปกติกำไรอาจโตไม่หวือหวา แต่เป็นหุ้นปันผลชั้นเยี่ยม แม้วานนี้ราคาหุ้นขึ้นมาแล้ว 4% ยังให้ Dividend yield สูงราว 6.4%
 
- VGI (ดีบีเอส วิคเคอร์ส) "ซื้อ"เป้า 8.49 บาท ราคาหุ้นปรับตัวดีขึ้น หลังได้ชี้แจงข้อมูลในงานไทยแลนด์ โฟกัส โดยคาดว่ากำไรจะยิ่งเร่งตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปี โดยเฉพาะเมื่อมีการนำกำไรจาก Kerry ที่ซื้อเข้ามา ในสัดส่วน 23% และคาดว่าจะมีการเติบโตกำไรที่สูงมากช่วยเสริมกำไรตามส่วนได้เสีย และเข้าสู่ high season การโฆษณาในช่วงไตรมาส 3 (ต.ค.-ธ.ค) ข้อดีคือ บริษัทอยู่ในธุรกิจโฆษณาสื่อนอกบ้าน โลจิสติกส์ และ Online จาก Rabbit ที่อยู่ในช่วงสดใสและมีอนาคต
 
 
 
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดร่วงยกแผงวันนี้ วิตกข่าวทรัมป์จ่อรีดภาษีสินค้าจีนรอบใหม่ $2 แสนล้าน
 
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดปรับตัวลงถ้วนหน้าในวันนี้ เนื่องจากเนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากสื่อรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะเดินหน้าตามแผนเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
 
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,733.25 จุด ลดลง 136.25 จุด, -0.60% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,298.13 จุด ลดลง 9.22 จุด, -0.40% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 11,037.26 จุด ลดลง 56.49 จุด, -0.51% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,200.37 จุด ลดลง 25.35 จุด, -0.79%
 
ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,798.21 จุด ลดลง 365.84 จุด, -1.30% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,730.11 จุด ลดลง 7.63 จุด, -0.28% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,838.06 จุด ลดลง 15.10 จุด, -0.19% ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันชาติ
 
สื่อต่างประเทศหลายแห่งซึ่งรวมถึงสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ต้องการเดินหน้าตามแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าของจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ทันทีที่มาตรการดังกล่าวได้ข้อสรุปจากการทำประชาพิจารณ์จากภาคส่วนต่างๆของสหรัฐในสัปดาห์หน้า
 
รายงานข่าวดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจทวีความรุนแรงและยืดเยื้อ หลังจากที่ก่อนหน้านี้สหรัฐได้ออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 25% คิดเป็นวงเงินรวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในอัตราและวงเงินที่เท่ากัน
 
ทั้งนี้ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ ก็เท่ากับว่าสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งจากสินค้าที่นำเข้าจากจีนทั้งหมดในแต่ละปี
 
 
 
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 47.18 จุด เหตุเงินปอนด์แข็งฉุดหุ้นบริษัทข้ามชาติ
 
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (30 ส.ค.) เนื่องจากเงินปอนด์ที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องได้ฉุดหุ้นบริษัทข้ามชาติร่วงลง ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาในประเด็นที่อังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป EU (Brexit) หลังจากมีรายงานว่า ยุโรปเตรียมเสนอให้อังกฤษได้รับสถานะการเป็นหุ้นส่วนที่ไม่เคยมีมาก่อน
 
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,516.03 จุด ลดลง 47.18 จุด หรือ -0.62%
 
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบ เนื่องจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์จึงส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้
 
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เงินปอนด์แข็งค่านั้น มาจากการที่นายมิเชล บาร์นิเยร์ ตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพยุโรป (EU) ในประเด็นการถอนตัวของอังกฤษออกจาก EU (Brexit) กล่าวว่า ยุโรปเตรียมเสนอให้อังกฤษได้รับสถานะการเป็นหุ้นส่วนที่ไม่เคยมีมาก่อน
 
นักวิเคราะห์มองว่า คำกล่าวของนายบาร์นิเยร์เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างอังกฤษและ EU กรณี Brexit โดยการที่ EU ยื่นข้อเสนอดังกล่าว ถือเป็นการผ่อนคลายจากเงื่อนไขเดิมที่ EU ระบุว่าอังกฤษจะต้องตัดสินใจเลือกความสัมพันธ์ในอนาคตในรูปแบบที่มีอยู่ในขณะนี้ และบ่งชี้ว่า EU ได้ลดท่าทีแข็งกร้าวต่อข้อเสนอจากอังกฤษเพื่อเร่งกระบวนการเจรจา ขณะที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 8 เดือนก่อนถึงวันที่อังกฤษจะถอนตัวออกจาก EU อย่างเป็นทางการ
 
หุ้นโวดาโฟน ร่วงลง 3.1% หลังจากมีรายงานว่า โวดาโฟน ฮัทชิสัน ออสเตรเลีย (วีเอชเอ) และทีพีจี เทเลคอม ประกาศแผนควบรวมกิจการเพื่อก้าวขึ้นเป็นบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ที่มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย โดยบริษัทที่ควบรวมกันแล้วจะใช้ชื่อว่า ทีพีจี เทเลคอม ลิมิเต็ด และจะจดทะเบียนในออสเตรเลีย
 
 
 
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ เหตุวิตกการเจรจา Brexit ไร้ทิศทาง
 
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (30 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาในประเด็นที่อังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป EU (Brexit)
 
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.3% ปิดที่ 385.36 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,494.24 จุด ลดลง 67.44 จุด หรือ -0.54% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,478.06 จุด ลดลง 23.27 จุด หรือ -0.42% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,478.06 จุด ลดลง 23.27 จุด หรือ -0.42%
 
นายมิเชล บาร์นิเยร์ ตัวแทนเจรจาฝ่ายสหภาพยุโรป (EU) ในประเด็นการถอนตัวของอังกฤษออกจาก EU (Brexit) กล่าวว่า ยุโรปจะต้องเตรียมตัวรับมือกรณีที่อังกฤษแยกตัวออกจาก EU โดยไม่มีการทำข้อตกลง
 
"EU จำเป็นจะต้องรับมือกับทุกสถานการณ์ ซึ่งรวมถึงกรณีที่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกัน" เขากล่าว
นายบาร์นิเยร์ยังระบุว่า ประเด็นชายแดนไอร์แลนด์กับไอร์แลนด์เหนือถือเป็นประเด็นที่มีความเปราะบางมากที่สุด
นายบาร์นิเยร์ระบุดังกล่าว หลังจากที่กล่าวก่อนหน้านี้ว่า EU เตรียมเสนอให้อังกฤษได้รับสถานะการเป็นหุ้นส่วนที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากการแยกตัวออกจาก EU แต่ EU จะไม่อนุญาตให้มีการดำเนินการใดๆที่จะทำให้ระบบตลาดเดี่ยวของ EU อ่อนแอไป
 
ทางด้านสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เจ้าหน้าที่อังกฤษและ EU ได้เลื่อนกำหนดเส้นตายในการเจรจา Brexit ออกไปเป็นกลางเดือนพ.ย. เนื่องจากยังคงไม่มีความคืบหน้าในการเจรจา
 
สำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า ถึงแม้เจ้าหน้าที่อังกฤษ และ EU เปิดเผยต่อสาธารณชนว่า พวกเขาต้องการที่จะบรรลุข้อตกลง Brexit ภายในวันที่ 18 ต.ค. หรือภายในอีก 7 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นการประชุมสุดยอดผู้นำ EU แต่เบื้องหลังแล้ว พวกเขายอมรับว่าสิ่งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้
 
แหล่งข่าวระบุว่า ขณะนี้ เจ้าหน้าที่อังกฤษ และ EU ตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุข้อตกลง Brexit ภายในกลางเดือนพ.ย.เป็นอย่างช้าที่สุด
การเลื่อนเส้นตายดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายยังคงประสบปัญหาในการเจรจา และการกำหนดเส้นตายในเดือนพ.ย.ก็เป็นการส่งสัญญาณว่า EU อาจจัดการประชุมฉุกเฉินในเดือนดังกล่าวเพื่อพิจารณาเรื่องนี้
 
ทั้งนี้ ผู้นำ EU มีกำหนดหารือกรณี Brexit ในการประชุมสุดยอดที่เมืองซัลส์บูร์กในกลางเดือนก.ย. และอีกครั้งหนึ่งในเดือนต.ค.ที่กรุงบรัสเซลส์
 
หุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ร่วงลงหนักสุด โดยหุ้นริโอทินโต ดิ่งลง 1.1% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ร่วงลง 1.7% หุ้นดอยช์ แบงก์ ลดลง 1.7% และหุ้นคอมเมิร์ซแบงก์ ดิ่งลง 1.6%
 
หุ้นแอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม ปรับตัวลง 1.7% เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านแรงงาน
 
 
 
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 137.65 จุด วิตกข่าวทรัมป์จ่อรีดภาษีสินค้าจีนรอบใหม่ $2 แสนล้าน
 
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (30 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากสื่อรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะเดินหน้าตามแผนเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ในสัปดาห์หน้านี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในอาร์เจนตินาและตุรกี พร้อมกับจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและแคนาดา
 
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,986.92 จุด ลดลง 137.65 จุด หรือ -0.53% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,088.36 จุด ลดลง 21.32 จุด หรือ -0.26% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,901.13 จุด ลดลง 12.91 จุด หรือ -0.44%
 
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงหลังจากสื่อต่างประเทศหลายแห่งซึ่งรวมถึงสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ต้องการเดินหน้าตามแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าของจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ทันทีที่มาตรการดังกล่าวได้ข้อสรุปจากการทำประชาพิจารณ์จากภาคส่วนต่างๆของสหรัฐในสัปดาห์หน้า
 
รายงานข่าวดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจทวีความรุนแรงและยืดเยื้อ หลังจากที่ก่อนหน้านี้สหรัฐได้ออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 25% คิดเป็นวงเงินรวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในอัตราและวงเงินที่เท่ากัน
 
ทั้งนี้ หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ ก็เท่ากับว่าสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าเป็นสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งจากสินค้าที่นำเข้าจากจีนทั้งหมดในแต่ละปี
 
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในอาร์เจนตินาและตุรกี โดยสกุลเงินลีราของตุรกีร่วงลงเป็นวันที่ 4 เมื่อวานนี้ จากการที่นักลงทุนเดินหน้าเทขายสกุลเงินลีราเนื่องจากขาดความเชื่อมั่นต่อค่าเงินของตุรกี หลังมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งของธนาคารกลางตุรกีเตรียมลาออกจากตำแหน่ง
 
ส่วนสถานการณ์ในอาร์เจนตินาซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ในละตินอเมริกานั้น นักลงทุนวิตกกังวลว่ารัฐบาลอาร์เจนตินาอาจผิดนัดชำระหนี้จำนวนมาก ขณะที่ประธานาธิบดีเมาริซิโอ มาครี ของอาร์เจนตินา ได้เรียกร้องให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เร่งการเบิกจ่ายเงินกู้วงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ที่มีการอนุมัติก่อนหน้านี้ เพื่อรับมือกับวิกฤติการเงินในประเทศ โดยรัฐบาลอาร์เจนตินาได้บรรลุข้อตกลงเงินกู้กับ IMF ในช่วงต้นปีนี้ หลังจากที่ค่าเงินเปโซทรุดตัวลงอย่างหนัก โดยเงินกู้วงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งมีอายุ 3 ปีนั้น มีเป้าหมายเพื่อพยุงเศรษฐกิจอาร์เจนตินา และแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งสูงเกือบ 30% ต่อปี จนทำให้อาร์เจนตินาติดกลุ่มประเทศที่มีเงินเฟ้อสูงที่สุดในโลก
 
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งมีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศนั้น ปรับตัวลดลง โดยหุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 0.9% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 2% หุ้น 3M ปรับตัวลง 0.1% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ลดลง 0.8% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก ลดลง 0.6% และหุ้นอีตัน คอร์ป ปรับตัวลง 0.9%
 
หุ้นดอลลาร์ ทรี ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกใหญ่ที่สุดของสหรัฐที่จำหน่ายสินค้าทุกชนิดในราคาเพียง 1 ดอลลาร์ หรือต่ำกว่า ปิดตลาดร่วงลง 16% หลังจากบริษัทได้เปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวังในไตรมาส 2 และจากการที่นักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ซีเอฟอาร์ซีได้ปรับลดเป้าหมายราคาหุ้นดอลลาร์ ทรี ลงสู่ระดับ 100 ดอลลาร์ จากระดับ 105 ดอลลาร์
 
หุ้นอะเบอร์ครอมบี แอนด์ ฟิทช์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกเสื้อผ้ารายใหญ่ ดิ่งลง 17.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ในไตรมาส 2
หุ้นแคมเบลล์ ซุป ผู้ผลิตซุปปรุงสำเร็จและอาหารชื่อดังของสหรัฐ ร่วงลง 2.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 2 พร้อมกับประกาศแผนการตัดขายธุรกิจอาหารแช่แข็งในต่างประเทศ
 
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 1% หุ้นอเมซอน ขยับขึ้น 0.2% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ เพิ่มขึ้น 0.8% ส่วนหุ้นแอปเปิล ปรับตัวขึ้น 0.9% ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากแอปเปิล อิงค์ประกาศเชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมทำข่าวการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้ในวันที่ 12 ก.ย.ที่สตีฟ จ็อบส์ เธียเตอร์ โดยงานดังกล่าวจะเริ่มขึ้นเวลา 10.00 น.ตามเวลาชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐ หรือตรงกับ 24.00 น.ตามเวลาไทย
 
นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและแคนาดา โดยปธน.ทรัมป์ได้แสดงความหวังว่า แคนาดาจะบรรลุข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ฉบับใหม่ภายในวันนี้ ขณะที่นางคริสเทีย ฟรีแลนด์ รมว.ต่างประเทศแคนาดา กล่าวว่า การเจรจาข้อตกลง NAFTA กับสหรัฐ กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญ และแคนาดาหวังที่จะเห็นการประนีประนอมเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับชัยชนะ
 
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 3,000 ราย สู่ระดับ 213,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ด้านนักวิเคราะห์คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 214,000 ราย
 
ส่วนในวันนี้ มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐประจำเดือนส.ค. โดยข้อมูลดังกล่าวจะมีการเปิดเผยในวันนี้ 21.00 น.ตามเวลาไทย
--อินโฟเควสท์ 
OO13175

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!