- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Tuesday, 07 August 2018 11:03
- Hits: 3890
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้รีบาวด์ตามภูมิภาค หลังต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่อง-ราคาน้ำมันฟื้น-เก็งงบฯ Q2/61 หนุน
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวด์ขึ้นหลังจากที่วานนี้ปรับตัวลงมากเกินไป และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็ออกมาดีตามคาด รวมถึงนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบก็รีบาวด์ขึ้นหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้กลับมาคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่ ซึ่งน่าจะช่วยหนุนการลงทุนหุ้นในกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ดี ภาพรวมต้องระวังหลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวก ส่วนหนึ่งอาจมาจากอยู่ในช่วงของการเก็งกำไรผลประกอบการด้วย และเมื่อคืนดาวโจนส์ก็อยู่ในแดนบวก ทำให้เป็น Sentiment ที่ดีต่อตลาดภูมิภาคเช้านี้
ส่วนบ้านเราก็ให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการต่อไป โดยวันนี้ก็มี TOP ประกาศงบการเงินไตรมาส 2/61 พร้อมให้แนวรับ 1,690 จุด ส่วนแนวต้าน 1,710-1,720 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (6 ส.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,502.18 จุด เพิ่มขึ้น 39.60 จุด (+0.16%) ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,850.40 จุด เพิ่มขึ้น 10.05 จุด (+0.35%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,859.68 จุด เพิ่มขึ้น 47.66 จุด (+0.61%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 6.99 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 6.58 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 69.88 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 0.87 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.35 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 12.57 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 4.59 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (6 ส.ค.61) 1,696.24 จุด ลดลง 15.85 จุด (-0.93%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,258.84 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 ส.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (6 ส.ค.61) ปิดที่ 69.01 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 52 เซนต์ หรือ 0.8%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 ส.ค.61) ที่ 6.59 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.35 คาดวันนี้แกว่งในกรอบ 33.30-33.45 ตลาดรอติดตามการประชุมกนง.พรุ่งนี้
- ตลาดหลักทรัพย์ เปิดรายชื่อบริษัทจดทะเบียน 42 แห่ง ห้ามนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง เหตุได้รับสัมปทานรัฐ ชี้เป็นไป ตามข้อกฎหมายใหม่ มาตรา 184 (2) ด้าน "ภากร" แจงหวังใช้เป็นข้อมูลให้นักลงทุน ได้รับทราบ
- "สมคิด" มอบนโยบาย "บีโอไอ" ขายภาพประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงการค้า การลงทุนในภูมิภาค ย้ำหากนักลงทุนเข้าใจ การลงทุนมาแน่ และต้องเน้นการส่งเสริมการลงทุนที่ตอบโจทย์เพิ่มขีดแข่งขัน ลดเหลื่อมล้ำ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมปรับกำลังคน นำระบบ AI มาใช้ เผยนักลงทุนจ่อมาดูงานอีอีซีเพียบ จีนมาส.ค.นี้ ตามด้วยญี่ปุ่น ต.ค. ฮ่องกง ก.พ.62 ด้านบีโอไอรับลูกเกลี่ยกำลังคนโฟกัสดึงลงทุน เล็งทบทวนมาตรการส่งเสริมธุรกิจบริการ มั่นใจปีนี้เป้า 7.2 แสนล้านมาแน่
- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สรุปรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติการกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน พ.ศ. ... ซึ่งได้เปิดรับฟังความเห็นมาก่อนหน้านี้ หลังจากนี้จะเร่งเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ เพราะเป็นกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับผู้บริการเงินประเภทการให้เช่าซื้อ การให้เช่าแบบลีสซิ่ง และแฟกตอริ่ง ที่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายและหน่วยงานกำกับที่ดูแลอย่างชัดเจน
- สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านที่ปรับขึ้น เชื่อว่ายังไม่กระทบทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคเพราะอัตราดอกเบี้ยยังต่ำ ขณะที่ปัจจุบันมีช่องทางการหาแหล่งเงินกู้ที่หลากหลาย รวมทั้งสถาบันการเงินเองยังมีการแข่งขันการปล่อยกู้ต่อเนื่อง
- สภาธุรกิจตลาดทุนทุนไทย คาดหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว หลังเริ่มเห็น สัญญาณฟันด์โฟลว์ไหลเข้าต่อเนื่อง เหตุแวลูชั่น-ค่าพีอีหุ้นไทยต่ำกว่าพื้นฐาน ฟากปัจจัยภายในประเทศช่วยเสริมหลังการเลือกตั้งชัดเจน
*หุ้นเด่นวันนี้
- MVP (บมจ.เอ็ม วิชั่น) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีราคาขาย IPO 1.90 บาท/หุ้น บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมปี 2561 โดยอิง PE Multiplier 15 เท่า ซึ่ง Implied จาก PEG 1 เท่า ได้เท่ากับ 2.50 บาท โดยคาดกำไรสุทธิปี 2561 โต 14% Y-Y อยู่ที่ 33 ล้นบาท ส่วนปี 2562-2563 คาดโตเฉลี่ย 16% ต่อปี จากการขยายพื้นที่จัดงาน TME, การจัดงานวิ่งเพิ่มขึ้น, และการเพิ่มรถคาราวาน
บริษัทฯเป็นที่รู้จักในนามผู้จัดงาน Thailand Mobile Expo ซึ่งจัดปีละ 3 ครั้ง แต่ด้วยประสบการณ์ในการจัดงานที่มีมากกว่า 11 ปี และมีการกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้ดี ทั้งการจัดงานอีเว้นท์ การจัดงานวิ่ง และการให้บริการรถคาราวานที่ รวมถึงธุรกิจ e-Commerce ที่ขายสินค้าให้แบรนด์ Samsung ทำให้กำไรสุทธิปี 2558-2560 เติบโตเฉลี่ย (CAGR) สูงถึง 188% ต่อปี และผลจากการกระจายแหล่งที่มาของรายได้นี้เอง ทำให้ผลประกอบการรายไตรมาสผันผวนน้อยกว่าผู้ประกอบธุรกิจจัดงานอีเว้นท์อื่นในตลาด เช่น ARIP CMO GPI และ K
- KKP (กรุงศรี) เป้า 85 บาท "ทยอยซื้อ" หรือเก็งกำไรก่อนประกาศจ่ายปันผลครึ่งปี เบื้องต้นคาด KKP จะจ่ายปันผลในช่วงครึ่งปีแรกประมาณ 2 บาท ให้ Dividend yield ประมาณ 2.6% คาดจะประกาศจ่ายปันผลในช่วงปลายปีนี้
- ROBINS (กสิกรไทย) "ซื้อ"เป้า 70 บาท ยอดขายสาขาเดิมช่วงครึ่งหลังปี 2561 จะมีอัตราการเติบโตแข็งแกร่งว่าช่วงครึ่งแรกปี 2561 ซึ่งคาดแรงหนุนจาก 1) การบริโภคที่ฟื้นตัวอย่างทั่วถึง, 2) การเพิ่มสินค้า private brand products เช่น Haven และ 3) แรงกดดันอัตรากำไรขั้นต้นลดลงน้อยลงจากการเร่งระบายสต็อก คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 2 เติบโต 7.3% YoY แต่ลดลง 7.1% QoQ มาที่ 629 ล้านบาท
ตลาดหุ้นเอเชียเพิ่มขึ้นเช้านี้ ตามทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์ก
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดบวกเมื่อคืน เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,514.31 จุด เพิ่มขึ้น 6.99 จุด, +0.03% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,711.74 จุด เพิ่มขึ้น 6.58 จุด, +0.24% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,889.44 จุด เพิ่มขึ้น 69.88 จุด, +0.25% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 11,024.97 จุด เพิ่มขึ้น 0.87 จุด, +0.01% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,290.85 จุด เพิ่มขึ้น 4.35 จุด, +0.19% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,297.91 จุด เพิ่มขึ้น 12.57 จุด, +0.38% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,784.34 จุด เพิ่มขึ้น 4.59 จุด, +0.26%
อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่จีนขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคิดอัตราภาษี 25%, 20%, 10% และ 5% ต่อสินค้า 5,207 รายการของสหรัฐ ซึ่งจีนจะดำเนินการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว หากสหรัฐเดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายยังได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดด้านการเมืองระหว่างสหรัฐและอิหร่าน โดยทำเนียบขาวประกาศว่า สหรัฐจะรื้อฟื้นมาตรการคว่ำบาตรต่อภาคการเงินและอุตสาหกรรมของอิหร่าน ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้วันนี้ และถือเป็นมาตรการรอบแรก ก่อนที่สหรัฐจะออกมาตรการคว่ำบาตรรอบ 2 ในเดือนพ.ย. ซึ่งจะพุ่งเป้าไปยังการทำธุรกรรมของธนาคารกลาง การส่งออกน้ำมัน และการขนส่งสินค้าทางเรือของอิหร่าน
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 4.68 จุด เหตุเงินปอนด์อ่อนหนุนตลาด
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (6 ส.ค.) โดยได้แรงหนุนจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอังกฤษได้แสดงมุมมองที่เป็นลบต่อกระบวนการ Brexit ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของอังกฤษในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,663.78 จุด เพิ่มขึ้น 4.68 จุด หรือ +0.06%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยปัจจัยที่ทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อคืนนี้ มาจากการที่นายเลียม ฟ็อกซ์ รมว.การค้าระหว่างประเทศของอังกฤษ ได้แสดงความเห็นว่า มีโอกาสสูงขึ้นที่อังกฤษจะไม่มีการทำข้อตกลง Brexit เนื่องจากคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) มีท่าทีที่ไม่ต้องการประนีประนอมกับอังกฤษ ทั้งนี้ นายฟ็อกซ์กล่าวว่าโอกาสที่อังกฤษจะประสบความล้มเหลวในการทำข้อตกลงนั้นอยู่ที่ "60-40"
หุ้นเอชเอสบีซี ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่สุดของยุโรปเมื่อพิจารณาในแง่สินทรัพย์ ร่วงลง 1% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรก่อนหักภาษีของธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.6% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ แตะที่ 1.07 หมื่นล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
หุ้นจัสอีท ซึ่งเป็นบริษัทจัดส่งอาหารรายใหญ่ของอังกฤษ ร่วงลง 1.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรลดลงในไตรมาส 2
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของอังกฤษในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง ดุลการค้าเดือนมิ.ย., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2 และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย.
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: วิตกสงครามการค้า ฉุดตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 ส.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังคงเป็นปัจจัยลบต่อตลาด นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่ผันผวนของบริษัทจดทะเบียน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.1% ปิดที่ 388.66 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,477.18 จุด ลดลง 1.80 จุด, -0.03% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,598.21 จุด ลดลง 17.55 จุด, -0.14% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,663.78 จุด เพิ่มขึ้น 4.68 จุด, +0.06%
นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่จีนขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคิดอัตราภาษี 25%, 20%, 10% และ 5% ต่อสินค้า 5,207 รายการของสหรัฐ ซึ่งจีนจะดำเนินการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว หากสหรัฐเดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
หุ้นเอชเอสบีซี ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่สุดของยุโรปเมื่อพิจารณาในแง่สินทรัพย์ ร่วงลง 1% หลังจากธนาคารเปิดเผยกำไรก่อนหักภาษีในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ที่ระดับ 1.07 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
หุ้นจัสอีท ซึ่งเป็นบริษัทจัดส่งอาหารรายใหญ่ของอังกฤษ ร่วงลง 1.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรลดลงในไตรมาส 2
หุ้นลินด์ เอจี ซึ่งเป็นบริษัทอุตสาหกรรมของเยอรมนี ร่วงลง 1.9% ขณะที่หุ้นท้อด เอสพีเอ ทะยานขึ้น 17.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในช่วงครึ่งปีแรก
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของกระบวนการ Brexit หลังจากนายเลียม ฟ็อกซ์ รมว.การค้าระหว่างประเทศของอังกฤษ ได้แสดงความเห็นว่า มีโอกาสสูงขึ้นที่อังกฤษจะไม่มีการทำข้อตกลง Brexit เนื่องจากคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) มีท่าทีที่ไม่ต้องการประนีประนอมกับอังกฤษ ทั้งนี้ นายฟ็อกซ์กล่าวว่าโอกาสที่อังกฤษจะประสบความล้มเหลวในการทำข้อตกลงนั้นอยู่ที่ "60-40"
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศยุโรปในวันนี้ โดยเยอรมนีจะเปิดเผยดุลการค้าเดือนมิ.ย.และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย. ขณะที่ฝรั่งเศสจะเปิดเผยดุลการค้าเดือนมิ.ย.เช่นกัน ส่วนอังกฤษจะเปิดเผยดัชนีราคาบ้านเดือนก.ค.โดยฮาลิแฟกซ์
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 39.60 จุด ขานรับนลท.เชื่อมั่นผลประกอบการ,หุ้นเทคโนฯพุ่ง
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (6 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐและอิหร่าน ได้สกัดแรงบวกของตลาดในระหว่างวัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,502.18 จุด เพิ่มขึ้น 39.60 จุด หรือ +0.16% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,850.40 จุด เพิ่มขึ้น 10.05 จุด หรือ +0.35% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,859.68 จุด เพิ่มขึ้น 47.66 จุด หรือ +0.61%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ ขานรับมุมมองบวกที่นักลงทุนมีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยรายงานระบุว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 มากกว่า 70% ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 แล้ว ซึ่งบริษัท 80% จากจำนวนดังกล่าวมีกำไรสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ทั้งนี้ หากบริษัท 80% หรือมากกว่า มีกำไรสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ก็จะถือเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่ที่มีการรวบรวมข้อมูลในปี 2551
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 4.4% หุ้นแอปเปิล ขยับขึ้น 0.5% หุ้นอเมซอน ดีดตัวขึ้น 1.3% หุ้น Nvidia ปรับตัวขึ้น 0.8% และหุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ เพิ่มขึ้น 1.1% ส่วนหุ้นอินเทลปิดขยับลงเล็กน้อยที่ 0.06% หลังจากที่ร่วงลงกว่า 1% ในระหว่างวัน สืบเนื่องจากบาร์เคลย์สประกาศปรับลดอันดับความน่าลงทุนของอินเทล สู่ระดับ equal weight จากระดับ overweight โดยระบุถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากบริษัทแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวเซส (AMD) ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่ง
หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นไทสัน ฟู้ดส์ พุ่งขึ้น 3.3% หุ้นพรอกเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เพิ่มขึ้น 0.2% หุ้นเป๊ปซี่โค ปรับตัวขึ้น 0.9% ทั้งนี้ หุ้นไทสัน ฟู้ดส์ ได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาส 2
ส่วนหุ้นของบริษัทจีนที่จะทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปรับตัวผันผวนเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นยัม ไชน่า และหุ้นอาลีบาบา ร่วงลง 1.9% และ 1.2% ตามลำดับ ขณะที่หุ้นนิว โอเรียนทัล และหุ้นเบจีน ดีดตัวขึ้น 1.8% และ 1% ตามลำดับ
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน จากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่จีนขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคิดอัตราภาษี 25%, 20%, 10% และ 5% ต่อสินค้า 5,207 รายการของสหรัฐ ซึ่งจีนจะดำเนินการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว หากสหรัฐเดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายยังได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดด้านการเมืองระหว่างสหรัฐและอิหร่าน โดยทำเนียบขาวประกาศว่า สหรัฐจะรื้อฟื้นมาตรการคว่ำบาตรต่อภาคการเงินและอุตสาหกรรมของอิหร่าน ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้วันนี้ และถือเป็นมาตรการรอบแรก ก่อนที่สหรัฐจะออกมาตรการคว่ำบาตรรอบ 2 ในเดือนพ.ย. ซึ่งจะพุ่งเป้าไปยังการทำธุรกรรมของธนาคารกลาง การส่งออกน้ำมัน และการขนส่งสินค้าทางเรือของอิหร่าน
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมิ.ย.
--อินโฟเควสท์
OO12158