- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 19 July 2018 10:27
- Hits: 4565
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่ง Sideway up คล้ายตลาดภูมิภาค หลังสงครามการค้าไม่คืบหน้า-หันโฟกัสงบฯ
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway up คล้ายคลึงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวกเล็กน้อย เนื่องจากเรื่องสงครามการค้าไม่ได้มีความคืบหน้า และตอนนี้ก็หันมาโฟกัสผลประกอบการกันมากขึ้น โดยวันนี้และพรุ่งนี้ก็จะมีการทยอยประกาศผลประกอบการของแบงก์ออกมาหลายตัว
นอกจากนี้ แรงขายของนักลงทุนต่างชาติก็ชะลอตัวลงด้วย ซึ่งทิศทางตลาดฯน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้หลังจากที่ได้ปรับตัวลงไปมากในช่วงก่อนหน้านี้ แต่การรีบาวด์ก็คงจะเป็นแค่สั้น ๆ เนื่องจากยังได้รับแรงกดดันจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะตกลงกันได้หรือไม่ ดังนั้น นักลงทุนคงจะอยากรอดูความชัดเจน และรอดูการทยอยประกาศงบฯก่อน
พร้อมให้แนวรับ 1,630 จุด ส่วนแนวต้าน 1,644 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (18 ก.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,199.29 จุด เพิ่มขึ้น 79.40 จุด (+0.32%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,854.44 จุด ลดลง 0.67 จุด (-0.01%) และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,815.62 จุด เพิ่มขึ้น 6.07 จุด (+0.22%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 77.43 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 3.76 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 133.74 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 26.10 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 8.80 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 15.45 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 1.12 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (18 ก.ค.61) 1,635.85 จุด เพิ่มขึ้น 9.78 จุด (+0.60%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 999.44 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 ก.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (18 ก.ค.61) ปิดที่ 68.76 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 68 เซนต์ หรือ 1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (18 ก.ค.61) ที่ 5.19 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.33 แข็งค่าจากวานนี้หลังมีแรงขายดอลล์ มองกรอบวันนี้ 33.30-33.40
- รัฐบาลเตรียมปรับโครงการคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือเรกูเลเตอร์ เพื่อให้เกิดความเหมาะสม เนื่องจากที่ผ่านมาการทำงานไม่สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ทั้งในเรื่องการจัดทำแผนพลังงาน และถูกฟ้องร้องและร้องเรียนจากเอกชน ล่าสุดบริษัท กัลฟ์ ฟ้องศาลปกครอง กรณีไม่ให้ใบอนุญาตจำหน่ายก๊าซแอลเอ็นจี รวมทั้งความล่าช้ากรณีโรงไฟฟ้าชีวมวลในภาคใต้
- ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (บอร์ด กสทช.) มีมติเห็นชอบการเข้าสู่มาตรการเยียวยาคลื่นความถี่ย่าน 1800 เมกะเฮิรตซ์ และ 900 เมกะเฮิรตซ์ ของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค ที่จะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานกับบริษัท กสท โทรคมนาคม หรือแคท วันที่ 15 ก.ย.นี้ ภายใต้เงื่อนไขดีแทคต้องเข้าร่วมการประมูลคลื่นความถี่นั้นๆ และต้องมีการเคาะราคาเกิดขึ้น
- ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยผลการสำรวจความเชื่อมั่น ผู้ประกอบการประจำเดือน มิ.ย. 2561 อยู่ที่ระดับ 91.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก เดือน พ.ค. 2561 อยู่ที่ระดับ 90.2 โดยค่าดัชนีสูงสุดในรอบ 42 เดือน นับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2558 โดยความเชื่อมั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดใหญ่ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สะท้อนว่าผู้ประกอบการมองภาพรวมของเศรษฐกิจภายในประเทศยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง
- ราคาทองคำทำสถิติใหม่ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน นับจากวันที่ 19 มี.ค. 2561 ที่ผ่านมา เป็นผลมาจากนักลงทุนหันมาซื้อดอลลาร์สหรัฐอย่างต่อเนื่อง หลังเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว ซึ่งส่งผลทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และกดราคาทองปรับตัวลง โดยราคาทองคำเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ปิดปรับตัวลดลงถึง 13.20 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือลดลง 1%
- ก.ท่องเที่ยวและกีฬาเผย 6 เดือนแรกยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 19.48 ล้านคน เพิ่มขึ้น 12.46% สร้างรายได้ 1 ล้านล้านบาท ชาวจีนแชมป์เดินทางมากสุด ด้านท่องเที่ยวเมืองรอง 5 เดือนโตชัด รายได้ 1 แสนล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นครศรีฯกวาดรายได้สูงสุด รองลงมาเป็นเชียงราย และตราด แนะรัฐ-เอกชนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจูงใจเพิ่ม
*หุ้นเด่นวันนี้
- SAT (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 25.5 บาท แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 คาดจะยังอยู่ในเกณฑ์ดี เบื้องต้นประเมินกำไร 180-200 ล้านบาท ชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกที่มีกำไร 235 ล้านบาท อุตสาหกรรมรถยนต์ปีนี้มีแนวโน้มจะโตมากกว่าคาด จึงประเมินยอดขายปีนี้ 8,190 ล้านบาท ติดลบ 5% จากการโอนธุรกิจสปริงทำให้ยอดขายหายไป 13-15% และคาดจะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 898 ล้านบาท โต 11%YoY ถ้าไม่รวมรายการพิเศษกำไรปกติจะโตถึง 25%YoY ด้านเทคนิคแกว่ง sideway แนวรับ 21.5 ต้าน 23.0 บาท
- THANI (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 9.60 บาท กำไรสุทธิ Q2/61 เป็นไปตามที่คาดที่ 392 ล้านบาท +7.8% Q-Q, +52% Y-Y จากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น รวมถึง Cost of fund ที่ลดลง และการตั้งสำรองฯที่ผ่อนคลายตามคุณภาพหนี้ที่ดีขึ้นและสำรองฯทั่วไปที่ลดลง พร้อมคาดกำไร H2/61 จะดีกว่า H1/61 เพราะเป็นฤดูกาลที่ดีของสินเชื่อและแนวโน้มการตั้งสำรองฯที่จะยิ่งผ่อนคลายจากการเลื่อนใช้ IFRS9 และ Coverage ratio ที่ขึ้นสู่ระดับน่าพอใจ
- EPG (เคทีบี) เป้า 10 บาท เป็นหุ้น turnaround คาดกำไรสุทธิปี 61/62 (เม.ย.2561-มี.ค.2562) เป็น 1,145 ล้านบาท เติบโต 16% YoY จากแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของทั้ง 3 ธุรกิจ ได้แก่ Aeroflex, Aeroklas และ EPP รวมถึงมองความเสี่ยงทางด้านต้นทุนและอัตราแลกเปลี่ยนเริ่มลดลงมากเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยคาดว่ากำไรสุทธิของ EPG ได้ผ่านจุดต่ำสุดในปีก่อนแล้ว และเริ่มมีแนวโน้มทยอยกลับมาฟื้นตัวต่อเนื่องในปีนี้ และคาดจะเห็นกำไรสุทธิกลับมาเติบโต YoY ได้ใน Q3 ปี 61/62 (ต.ค.-ธ.ค.2561)
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ ตามทิศทางตลาดหุ้นนิวยอร์ก
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดบวกเมื่อคืน โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งระบุว่า เศรษฐกิจยังคงขยายตัวปานกลาง
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,871.62 จุด เพิ่มขึ้น 77.43 จุด, +0.34% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,791.02 จุด เพิ่มขึ้น 3.76 จุด, +0.13% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,251.16 จุด เพิ่มขึ้น 133.74 จุด, +0.48% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,868.56 จุด เพิ่มขึ้น 26.10 จุด, +0.24% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,298.91 จุด เพิ่มขึ้น 8.80 จุด, +0.38% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,255.95 จุด เพิ่มขึ้น 15.45 จุด, +0.48% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,754.19 จุด เพิ่มขึ้น 1.12 จุด, +0.06%
ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ "Beige Book" เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า เขตต่างๆส่วนใหญ่รายงานว่าเศรษฐกิจมีการขยายตัวปานกลาง โดยมีเพียงเขตเซนต์หลุยส์เท่านั้นที่รายงานว่าเศรษฐกิจขยายตัวเล็กน้อย นอกจากนี้ เขตส่วนใหญ่รายงานว่าตลาดแรงงานยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว และหลายเขตยังขาดแคลนคนงานที่มีศักยภาพ
อย่างไรก็ตาม รายงาน Beige Book ซึ่งรวบรวมรายงานภาวะเศรษฐกิจจนถึงวันที่ 9 ก.ค.นั้น ระบุว่า กลุ่มผู้ผลิตในทุกเขตได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้า โดยหลายเขตรายงานว่า ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น และห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ได้รับผลกระทบจากมาตรการการค้าที่มีการนำมาใช้ในปัจจุบัน
8 จุด เพิ่มขึ้น 49.95 จุด หรือ +0.65%
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 25.88 จุด หลังหุ้นเหมือง,พลังงานฟื้นตัว
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยหนุนหุ้นของบริษัทเหล่านี้
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงนั้น มาจากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) ซึ่งระบุว่า ดัชนี CPI ของสหราชอาณาจักรทรงตัวที่ระดับ 2.4% ในเดือนมิ.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะดีดตัวสู่ระดับ 2.6%
นักวิเคราะห์กล่าวว่า การที่ดัชนี CPI ต่ำกว่าคาดในเดือนมิ.ย. อาจส่งผลให้ธนาคารกลางอังกฤษยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนส.ค. หลังจากที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนดังกล่าว
หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน พุ่งขึ้น 2.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า การผลิตแร่เหล็กและทองแดงปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 2
หุ้นอีซี่เจ็ท ดีดตัวขึ้น 2.2% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีงบการเงิน 2561
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับผลประกอบการสดใส,เงินยูโรอ่อน
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 ก.ค.) ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงบริษัทอิริคสัน นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์และยูโรด้วยเช่นกัน
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.5% ปิดที่ 387.06 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,447.44 จุด เพิ่มขึ้น 24.90 จุด หรือ +0.46% ขณะที่ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันเปิดที่ 12,765.94 จุด เพิ่มขึ้น 104.40 จุด หรือ +0.82% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,676.28 จุด เพิ่มขึ้น 49.95 จุด หรือ +0.65%
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นหลังจากเงินปอนด์และยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยดอลลาร์แข็งค่าหลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้เน้นย้ำถึงการสนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
นายพาวเวลได้แถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วเพียงพอที่จะทำให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งนั้น มาจากมาตรการกระตุ้นทางการคลัง, ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค, การลงทุนในภาคธุรกิจ, ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นในภาคครัวเรือน, การขยายตัวของเศรษฐกิจในต่างประเทศ และสภาวะทางการเงินที่ผ่อนคลายภายในประเทศ ขณะที่อัตราว่างงานอยู่ในระดับต่ำ
หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน พุ่งขึ้น 2.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า การผลิตแร่เหล็กและทองแดงปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 2
หุ้นอีซี่เจ็ท ดีดตัวขึ้น 2.2% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีงบการเงิน 2561
หุ้นเอเสเอ็มแอล โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์รายใหญ่ของเนเธอร์แลนด์ พุ่งขึ้น 8.1% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลกำไรในไตรมาส 2 ปีนี้
อย่างไรก็ตาม หุ้นสมิธ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทวิศวกรรมรายใหญ่ของยุโรป ร่วงลง 7% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์รายได้ของธุรกิจบางส่วนในปีนี้
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 79.40 จุด ขานรับผลประกอบการสดใส
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงมอร์แกน สแตนลีย์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งระบุว่า เศรษฐกิจยังคงขยายตัวปานกลาง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,199.29 จุด เพิ่มขึ้น 79.40 จุด หรือ +0.32% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,854.44 จุด ลดลง 0.67 จุด หรือ -0.01% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,815.62 จุด เพิ่มขึ้น 6.07 จุด หรือ +0.22%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 5 เมื่อคืนนี้ ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน โดยหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ปิดตลาดทะยานขึ้น 2.8% หลังจากทางธนาคารเปิดเผยกำไรพุ่งขึ้น 39% สู่ระดับ 2.44 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2 พันล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรอยู่ที่ 1.30 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.11 ดอลลาร์/หุ้น
หุ้นอิริคสัน พุ่งขึ้น 8.3% ขณะที่หุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิ้งส์ พุ่งขึ้น 8.8% และหุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส ปรับตัวขึ้น 3.1% หลังจากทั้ง 3 บริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาส 2
หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ปิดตลาดขยับลงเล็กน้อย หลังจากคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) ประกาศปรับบริษัทกูเกิล อิงค์ เป็นเงินจำนวน 4.34 พันล้านยูโร (5.04 พันล้านดอลลาร์) เมื่อวานนี้ ในข้อหาผูกขาดตลาดด้วยการใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ในการสกัดคู่แข่งในตลาด ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎระเบียบด้านการแข่งขันของ EU
หุ้นอเมซอนปิดตลาดขยับลงเล็กน้อยเช่นกัน หลังจากที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งในระหว่างวัน ภายหลังอเมซอนเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ยอดขายทั่วโลกพุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ในวัน Prime Day 2018 ซึ่งเป็นวันช็อปปิ้งระดับโลกที่อเมซอนจัดขึ้น โดยมีการลดราคาสินค้าอย่างมากสำหรับสมาชิก Prime จำนวนหลายแสนรายการเพื่อกระตุ้นยอดขายประจำปี
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยหนุนหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ "Beige Book" เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า เขตต่างๆส่วนใหญ่รายงานว่าเศรษฐกิจมีการขยายตัวปานกลาง โดยมีเพียงเขตเซนต์หลุยส์เท่านั้นที่รายงานว่าเศรษฐกิจขยายตัวเล็กน้อย นอกจากนี้ เขตส่วนใหญ่รายงานว่าตลาดแรงงานยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว และหลายเขตยังขาดแคลนคนงานที่มีศักยภาพ
อย่างไรก็ตาม รายงาน Beige Book ซึ่งรวบรวมรายงานภาวะเศรษฐกิจจนถึงวันที่ 9 ก.ค.นั้น ระบุว่า กลุ่มผู้ผลิตในทุกเขตได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้า โดยหลายเขตรายงานว่า ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น และห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ได้รับผลกระทบจากมาตรการการค้าที่มีการนำมาใช้ในปัจจุบัน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านร่วงลงมากกว่าคาดในเดือนมิ.ย. โดยดิ่งลง 12.3% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.173 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว และเป็นการทรุดตัวลงหนักที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2559 หลังจากเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.337 ล้านยูนิตในเดือนพ.ค.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีการผลิตเดือนก.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย
--อินโฟเควสท์
OO11452