- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Wednesday, 27 June 2018 10:21
- Hits: 1260
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นรีบาวด์ตามภูมิภาค เล็งกลุ่มพลังงานหนุนหลังราคาน้ำมันขึ้นแรง-คลายกังวลสงครามการค้าระดับหนึ่ง
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวด์ขึ้นตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวกกัน เนื่องจากราคาน้ำมันขึ้นแรงทำให้น่าจะเข้ามาช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีได้ อีกทั้งยังคลายความกังวลระดับหนึ่งหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯได้ออกมาบอกว่าจะยังไม่ใช้เกณฑ์การจำกัดการลงทุนกับจีน
นอกจากนี้ ยังมีความคาดหวังจะมีการทำ Window Dressing หุ้นบางตัวก่อนปิดงบการเงินไตรมาส 2/61 และคาดว่าหุ้นในกลุ่มธนาคารจะปรับตัวขึ้นดีได้ในช่วง Preview งบการเงิน แม้ว่างบการเงินจะไม่โดดเด่น แต่ราคาหุ้นได้ปรับตัวลงลึก อาจมีการเข้ามาซื้อเพื่อหวังรีบาวด์ก็ได้
อย่างไรก็ดี ตลาดฯคงจะไม่ไปไหนไกลตราบใดที่ยังมีสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนอยู่ ซึ่งยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด พร้อมให้แนวรับ 1,615 จุด ส่วนแนวต้าน 1,636 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (26 มิ.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,283.11 จุด เพิ่มขึ้น 30.31 จุด (+0.12%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,561.63 จุด เพิ่มขึ้น 29.62 จุด (+0.39%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,723.06 จุด เพิ่มขึ้น 5.99 จุด (+0.22%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 21.12 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 2.11 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 76.24 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 24.71 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 1.54 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 0.84 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.62 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (26 มิ.ย.61) 1,623.98 จุด เพิ่มขึ้น 1.70 จุด (+0.10%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 87.22 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (26 มิ.ย.61) ปิดที่ 70.53 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 2.45 ดอลลาร์ หรือ 3.6%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (26 มิ.ย.61) ที่ 4.04 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.00 อ่อนค่าจากวานนี้ตามทิศทางภูมิภาคจากแรงซื้อดอลล์หนุนดอลล์แข็ง
- พาณิชย์สั่ง 6 หน่วยงาน รับมือสงครามการค้า เผยกระทบส่งออกเครื่องซักผ้า-โซลาร์เซลล์ ยอด 5 เดือนแรกติดลบ 50% พร้อมรับมือป้องกันสินค้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ถั่วเหลือง ข้าวโพดไหลทะลักเข้าไทย ด้าน ส.อ.ท.ห่วงเหล็กจีนสวมไทยส่งไปสหรัฐ จี้กรมการค้าต่างประเทศติดตามใกล้ชิด
- สทท.เผยความเชื่อมั่นท่องเที่ยว ไตรมาส 2 วูบ ผู้ประกอบการกังวลแบกต้นทุนแรงงาน-น้ำมันเพิ่มซ้ำเทศกาลฟุตบอลโลก- ถือศีลอด-นักเรียนเปิดเทอม ส่งผลชะลอตัว ลุ้นเข้าไตรมาส 3 ปรับดีขึ้น ขณะผลสำรวจบิ๊กดาต้า ชี้เมืองรองขาดข้อมูล อุปสรรคต่างชาติเข้าถึง
- รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยผลการเดินทางชักจูงการลงทุน (โรดโชว์) ประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส ว่า มีบริษัทชั้นนำของทั้งสองประเทศสนใจจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยหลายราย โดยให้ความสนใจสอบถามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ และเมืองอัจฉริยะ (สมาร์ทซิตี้) ล่าสุดบริษัท ทรานส์เดฟ และบริษัท เอสเอ็นซีเอเอฟ ประเทศฝรั่งเศส เตรียมจับมือกันเพื่อร่วมหารือกับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง เพื่อเข้าร่วมประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เชื่อมโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ขณะที่บริษัท ทรานส์เดฟ ยังแสดงความสนใจเข้ามาตั้งสำนักงานในประเทศไทยเพื่อลงทุนในอนาคต
- รมว.คมนาคม เปิดเผยความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย ว่า ขณะนี้กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างสรุปแนวทางด้านการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินโครงการตามเป้าหมายที่รัฐบาลไทยจะเป็นผู้ลงทุนโครงการเองทั้งหมด ล่าสุดได้เจรจากับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของสาธารณรัฐประชาชนจีน (China EXIM Bank) เพื่อสอบถามถึงตัวเลขเงินกู้ และการรับความเสี่ยงที่เหมาะสม แต่ทั้งนี้กระทรวงการคลังจะพิจารณาแหล่งเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมที่สุด
- กลุ่ม BSR เตรียมเข้าพื้นที่ตอกเข็ม รถไฟฟ้า "ชมพู-เหลือง" ปลายก.ค.นี้ ระบุหลังรฟม.ส่งหนังสือให้เริ่มงานจะต้องส่งแบบและแผนจราจรให้อนุมัติก่อนคาดใช้เวลาอีก 1 เดือน ขณะที่ บีทีเอส เผยเจรจาพันธมิตรไทย-เทศ ร่วมทุนชิงรถไฟเชื่อม 3 สนามบินกว่า 2 แสนล้านบาท จบในส.ค.นี้
- ธนาคารพาณิชย์พลิกตัว เร่งหารายได้เสริมชดเชยเลิกค่าธรรมเนียม หันใช้กลไก 'แบงก์กิ้ง เอเยนต์' ด้านกสิกรไทยเปิดเกมรุกปั๊มน้ำมัน-ร้านสะดวกซื้อ จับผู้ซื้อทั่วประเทศ ส่วนไทยพาณิชย์เตรียมเข้าชิงต่อไป
*หุ้นเด่นวันนี้
- PDI-W1 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ของบมจ.ผาแดงอินดัสทรี (PDI)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 75,326,518 หน่วย ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาท/หน่วย อายุ 3 ปี อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ที่ราคาใช้สิทธิหุ้นละ 33 บาท กำหนดใช้สิทธิครั้งแรกวันที่ 15 พ.ย.61 และใช้สิทธิครั้งสุดท้าย วันที่ 14 พ.ค.64
- BANPU (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อเก็งกำไร"เป้า 25 บาท แนวโน้มผลประกอบการ Q2/61 คาดจะฟื้นตัวทั้งกำไรจากการดำเนินงาน หนุนโดยธุรกิจถ่านหินและโรงไฟฟ้า ขณะที่กำไรสุทธิได้ผลบวกจากรายจ่ายพิเศษตามคำสั่งศาลฯ ที่ไม่เกิดซ้ำ ขณะที่ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนคาดพลิกเป็นบวกจากขาดทุนในไตรมาสก่อน
- KTC (เคทีบี) "ซื้อ"เป้า 363 บาท ขยับจาก SET100 มาเป็น SET50 มีผล 1 ก.ค.61 และจะมีการประชุมผู้ถือหุ้น 6 ก.ค.61 เป็นพิจารณาอนุมัติเปลี่ยนแปลงราคาพาร์จาก 10 เป็น 1 บาท โดยมอง KTC เป็นหุ้นที่อิงกับการจับจ่ายใช้สอย ทั้งการซื้อขายผ่านร้านตามปกติ และ Online ที่โตต่อเนื่อง โดยประมานการกำไรสุทธิปี 61-62 ที่ 4.9 และ 5.4 พันล้านบาท โดยการปรับลดการตั้งสำรองในปี 61-62 ลง เพื่อสะท้อน coverage ratio ที่คาดจะลดลงจากการตั้งสำรองในอดีตที่สูง และเพียงพอต่อ TFRS9 พร้อมมองมีความสามารถติดตามหนี้ดีขึ้น ส่งผลให้ปรับเพิ่มรายได้หนี้สูญรับคืนในปี 61-62 ที่ 16% และ 6%
- IVL (เอเอสแอล) "ซื้อ"เป้า 75 บาท คาด Q2/61 โตเด่น โดยส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ PTA (PTA-(0.67*Px)) ล่าสุด สัปดาห์ก่อน ยังคงปรับเพิ่มทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องอยู่ที่ 172 เหรียญต่อตัน (+2%WoW //+ 35%MoM) ทำให้ส่วนต่างราคา PTA ในช่วง Q2/61QTD ปรับเพิ่ม 25%QoQ เป็นปัจจัยบวกต่อกำไรสุทธิ Q2/61 นอกจาก Spread ที่แข็งแกร่ง ยังคงมีแรงหนุนจาก Demand ที่ปรับเพิ่มตามฤดูกาล และทางจีนที่ยกเลิกการใช้พลาสติก Recycle พร้อมคาดหมายเห็น High Record ของ Core EBITDA Margin ใน Q2/61 ยังคงกำไรสุทธิปี 61 ไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาท (+46%YoY)
ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ เหตุนักลงทุนยังวิตกสงครามการค้า
ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบในเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับนานาประเทศ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,320.88 จุด ลดลง 21.12 จุด, -0.09% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,842.40 จุด ลดลง 2.11 จุด, -0.07% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,957.64 จุด เพิ่มขึ้น 76.24 จุด, +0.26% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,766.88 จุด เพิ่มขึ้น 24.71 จุด, +0.23% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,349.38 จุด ลดลง 1.54 จุด, -0.07% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,281.71 จุด เพิ่มขึ้น 0.84 จุด, +0.03% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,674.24 จุด ลดลง 1.62 จุด, -0.10%
นักลงทุนจับตานโยบายการค้าของสหรัฐอย่างใกล้ชิด หลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐได้ออกมาแสดงความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากบรรดาประเทศคู่ค้า โดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐเตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน หากพบว่าประเทศใดละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาต่อสินค้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ ขณะที่นายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเปิดเผยในทางตรงกันข้ามว่า สหรัฐยังไม่มีแผนการจำกัดการลงทุนจากจีนและประเทศอื่นๆในขณะนี้
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 28.08 จุด จากแรงซื้อเก็งกำไร,เงินปอนด์อ่อนค่า
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (26 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มต่างๆที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,537.92 จุด เพิ่มขึ้น 28.08 จุด หรือ +0.37%
นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มต่างๆที่ร่วงลงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศต่างๆ หลังจากนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐประกาศว่า รัฐบาลสหรัฐเตรียมออกมาตรการจำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีนเท่านั้น
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์ยังช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยหนุนหุ้นของบริษัทเหล่านี้
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้น โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นริโอ ทินโต เพิ่มขึ้น 1.6% และหุ้นแองโกล อเมริกัน ปรับตัวขึ้น 1%
หุ้นคาร์นิวัล พีแอลซี ปิดตลาดพุ่งขึ้น 3.1% เนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาหุ้นร่วงลงอย่างรุนแรงถึง 11% เมื่อวันจันทร์ สืบเนื่องมาจากการที่ทางบริษัทประกาศลดตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรในปีงบการเงิน 2561
หุ้นเจ เซนส์บิวรี ร่วงลง 2.2% หลังจากแคนตาร์ เวิลด์พาเนล ซึ่งเป็นบริษัทวิจัย เปิดเผยว่า เจ เซนส์บิวรี เป็นบริษัทค้าปลีกเพียงแห่งเดียวของอังกฤษที่มียอดขายลดลงในช่วง 12 สัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 17 มิ.ย.
หุ้นเทสโก้ ร่วงลง 1.5% แม้ว่าบริษัทเปิดเผยยอดขายเพิ่มขึ้น 1.4% ก็ตาม
ส่วนหุ้นกลุ่มสายการบินปรับตัวผันผวน หลังจากรัฐสภาอังกฤษมีมติให้ขยายสนามบินฮีทโธรว์ โดยหุ้นอินเตอร์เนชันแนล คอนโซลิเดท แอร์ไลน์ส ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของสายการบินบริติช แอร์เวยส์ ร่วงลง 3.5% ขณะที่หุ้นอีซี่เจ็ท ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ ปรับตัวขึ้น 1.3%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: แรงซื้อเก็งกำไรหนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก ขณะนักลงทุนจับตานโยบายการค้าสหรัฐ
ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (26 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรหลังจากตลาดร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขาย อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้ารายอื่นๆ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับขึ้น 0.02% ปิดที่ 377.25 จุด
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,537.92 จุด เพิ่มขึ้น 28.08 จุด หรือ +0.37% ขณะที่ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,234.34 จุด ลดลง 35.99 จุด หรือ -0.29% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,281.29 จุด ลดลง 2.57 จุด หรือ -0.05%
นักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรหลังจากตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศต่างๆ
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้น โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นริโอ ทินโต เพิ่มขึ้น 1.6% และหุ้นแองโกล อเมริกัน ปรับตัวขึ้น 1%
หุ้นคาร์นิวัล พีแอลซี ปิดตลาดพุ่งขึ้น 3.1% เนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาหุ้นร่วงลงอย่างรุนแรงถึง 11% เมื่อวันจันทร์ สืบเนื่องมาจากการที่ทางบริษัทประกาศลดตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรในปีงบการเงิน 2561
หุ้นเจ เซนส์บิวรี ร่วงลง 2.2% หลังจากแคนตาร์ เวิลด์พาเนล ซึ่งเป็นบริษัทวิจัย เปิดเผยว่า เจ เซนส์บิวรี เป็นบริษัทค้าปลีกเพียงแห่งเดียวของอังกฤษที่มียอดขายลดลงในช่วง 12 สัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 17 มิ.ย.
หุ้นเทสโก้ ร่วงลง 1.5% แม้ว่าบริษัทเปิดเผยยอดขายเพิ่มขึ้น 1.4% ก็ตาม
หุ้น BMW ปรับตัวลง 0.5% หลังจากผู้บริหารของ BMW กล่าวว่า ทางบริษัทอาจจะปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศอังกฤษ หากการที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มรถยนต์ในตลาดยุโรปยังได้รับแรงกดดัน หลังจากมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ได้ออกรายงานเตือนว่า อุตสาหกรรมยานยนต์จะได้รับผลกระทบในวงกว้าง หากสหรัฐมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ เนื่องจากการเก็บภาษีนำเข้าจะก่อให้เกิดอุปสรรคในแง่ของห่วงโซ่อุปทาน
นักลงทุนจับตานโยบายการค้าของสหรัฐอย่างใกล้ชิด หลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐได้ออกมาแสดงความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากบรรดาประเทศคู่ค้า โดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐเตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน หากพบว่าประเทศใดละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาต่อสินค้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ ขณะที่นายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเปิดเผยในทางตรงกันข้ามว่า สหรัฐยังไม่มีแผนการจำกัดการลงทุนจากจีนและประเทศอื่นๆในขณะนี้
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 30.31 จุด รับหุ้นพลังงาน,เทคโนฯพุ่ง ขณะตลาดจับตานโยบายการค้าสหรัฐ
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (26 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นกว่า 3% นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของกลุ่มเทคโนโลยียังเป็นปัจจัยหนุนตลาดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขายและจับตานโยบายการค้าของสหรัฐอย่างใกล้ชิด หลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐได้ออกมาแสดงความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากบรรดาประเทศคู่ค้า
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,283.11 จุด เพิ่มขึ้น 30.31 จุด หรือ +0.12% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,561.63 จุด เพิ่มขึ้น 29.62 จุด หรือ +0.39% และดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,723.06 จุด เพิ่มขึ้น 5.99 จุด หรือ +0.22%
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้น 3.6% อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า รัฐบาลสหรัฐได้เตือนประเทศต่างๆ รวมทั้งบริษัทพลังงาน ให้ยุติการซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านอย่างสิ้นเชิงภายในวันที่ 4 พ.ย. มิฉะนั้นจะถูกสหรัฐทำการคว่ำบาตร ทั้งนี้ หุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 1.1% หุ้นเชฟรอน ดีดตัวขึ้น 1.3% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ทะยานขึ้น 2.9% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 1.7% หุ้นมาราธอน ออยล์ เพิ่มขึ้น 2.1% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ปรับตัวขึ้น 0.2% และหุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม พุ่งขึ้น 1.6%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นเฟซบุ๊ก เพิ่มขึ้น 1.4% หุ้นอเมซอนดอทคอม เพิ่มขึ้น 1.7% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ พุ่งขึ้น 3.9% หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 0.7% หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (AMD) พุ่งขึ้น 2.6% และหุ้นแอปเปิล เพิ่มขึ้น 1.2%
หุ้นเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) ทะยานขึ้น 8% หลังจาก GE เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ทางบริษัทเตรียมขายธุรกิจดูแลสุขภาพในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า และขายบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ ธุรกิจให้บริการด้านน้ำมัน ในช่วงเวลา 2-3 ปี โดย GE คาดหวังว่าการดำเนินการดังกล่าวจะสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น และสร้างความแข็งแกร่งต่อสถานะการเงินของบริษัทโดยการลดหนี้ และเพิ่มเงินสด
หุ้นฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์รายใหญ่ของสหรัฐ ปิดตลาดขยับลง 0.6% เมื่อคืนนี้ หลังจากที่ดิ่งลง 6% ในวันจันทร์ อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน มีแผนโยกฐานการผลิตออกจากสหรัฐสำหรับการส่งออกมอเตอร์ไซค์ไปยังสหภาพยุโรป (EU) หลังจากที่ EU ประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในอัตรา 25% ซึ่งรวมถึงมอเตอร์ไซค์ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ทวีตข้อความขู่เมื่อวานนี้ว่า ฮาร์ลีย์-เดวิดสันจะถูกเก็บภาษี "ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน" หากบริษัทตัดสินใจโยกฐานการผลิตออกจากสหรัฐ
นักลงทุนจับตานโยบายการค้าของสหรัฐอย่างใกล้ชิด หลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐได้ออกมาแสดงความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากบรรดาประเทศคู่ค้า โดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐเตรียมออกแถลงการณ์จำกัดการลงทุนต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะจีน หากพบว่าประเทศใดละเมิดสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาต่อสินค้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ ขณะที่นายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเปิดเผยในทางตรงกันข้ามว่า สหรัฐยังไม่มีแผนการจำกัดการลงทุนจากจีนและประเทศอื่นๆในขณะนี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 6.4% ในเดือนเม.ย. ลดลงจากระดับ 6.5% ของเดือนมี.ค. อย่างไรก็ดี ราคาบ้านยังคงได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง และปริมาณสต็อกบ้านในระดับต่ำ
ทางด้าน Conference Board ได้เปิดเผยผลสำรวจซึ่งบ่งชี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 126.4 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 128.0 ในเดือนพ.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 128.1 โดยผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคมีมุมมองทรงตัวต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ขณะที่ไม่มีความเชื่อมั่นมากนักต่อทิศทางในช่วง 6 เดือนข้างหน้า
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ค., ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนพ.ค., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2561 (ประมาณการครั้งสุดท้าย), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์
OO10475