- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 21 June 2018 11:33
- Hits: 4180
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์-มีลุ้นขึ้นได้ในช่วงรอผลประชุมกลุ่มโอเปค/จับตาตัวเลขส่งออกของไทยวันนี้
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway ถึง Sideway up คล้ายคลึงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ที่แกว่ง Sideway up ในกรอบแคบ เพื่อรอดูการประชุมกลุ่มโอเปคที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (22 มิ.ย.)
อย่างไรก็ดี คาดหวังว่าการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย (GDP) ปีนี้ขึ้นเป็น 4.4% จากเดิม 4.1% ก็น่าจะช่วยสนับสนุนการลงทุนได้บ้าง พร้อมให้ติดตามตัวเลขการส่งออกของไทยที่กระทรวงพาณิชย์จะแถลงในวันนี้ด้วย ซึ่งตลาดฯคาดจะขยายตัว 9.9% โดยแนะนำให้เลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัว โดยเฉพาะหุ้นที่ Valuation ยังไม่แพง อย่างหุ้น CPN, IVL, CPF
พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,660-1,670 ถัดไป 1,675 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (20 มิ.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,657.80 จุด ลดลง 42.41 จุด (-0.17%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,767.32 จุด เพิ่มขึ้น 4.73 จุด (+0.17%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,781.51 จุด เพิ่มขึ้น 55.93 จุด (+0.72%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 32.15 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.73 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 67.88 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 22.41 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 0.25 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 0.67 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.69 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (20 มิ.ย.61) 1,664.26 จุด เพิ่มขึ้น 24.72 จุด (+1.51%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,624.03 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (20 มิ.ย.61) ปิดที่ 66.22 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.8%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (20 มิ.ย.61) ที่ 4.60 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.85 แนวโน้มอ่อนค่าตามทิศทางภูมิภาคตามแรงซื้อดอลล์-เงินไหลออก
- กนง.ห่วงสงครามการค้าฉุดส่งออกไทยปีหน้ากระทบภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง สั่งจับตาใกล้ชิดพร้อมลงมติ 5 ต่อ 1 เสียง "คงดอกเบี้ย" 1.5% ขณะ 1 เสียง หนุนขึ้นดอกเบี้ยหวังเก็บกระสุนไว้ใช้ยามจำเป็น ย้ำไม่กังวลทุนนอกไหลออก เหตุไร้ผลกระทบภาคเศรษฐกิจจริง มั่นใจฐานะต่างประเทศแกร่ง พร้อมปรับคาดการณ์จีดีพี ปีนี้เพิ่มเป็น 4.4% ขยับส่งออกโต 9%
- กฟภ.เตรียมหารือร่วม กฟผ.วันนี้ (21 มิ.ย.) เพื่อจัดทำรายละเอียดแนวทางการจัดตั้งบริษัท RPS ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เดินหน้าบริหาร จัดการครบวงจรเพื่อผลิตไฟชีวมวล สร.กฟผ.ภาคใต้ ย้ำจุดยืนค้านโอนย้ายผู้ใช้ไฟ 5 แสนรายเข้าสังกัด หวั่นอนาคตถูกลอยแพ! ค่าไฟแพงแน่ หากรัฐไม่ถอยพร้อมเคลื่อนไหวใหญ่ต้านหนัก รับเริ่มล่าชื่อร่วมค้านไว้รอแล้ว
- น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยลดลงมากไม่กระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเชื่อมั่นปีนี้จะเติบโตได้ 4.5% เพราะปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศยังแข็งแกร่ง จากการส่งออกที่ขยายตัวดีและค่าเงินบาทที่อ่อนส่งเสริมให้การส่งออกเพิ่มขึ้น รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวยังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
- แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อไม่นานมานี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินการปรับปรุงกรอบวงเงินลงทุนของแผนพัฒนาระบบไฟฟ้า ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) ที่ประกอบด้วยการดำเนินงาน 12 โครงการ 2 แผนงาน โดยมีวงเงิน ลดลง 74 ล้านบาท จากเดิม 100,017.68 ล้านบาท เหลือ 99,943.68 ล้านบาท
- คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กรมสรรพสามิตกำหนดอัตราภาษีน้ำมันดีเซล บี20 อยู่ที่ 5.152 บาท/ลิตร เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน และปรับอัตราภาษีน้ำมันดีเซล บี7 จาก 5.85 บาท/ลิตร เป็น 5.980 บาท/ลิตร โดยกระทรวงพลังงานจะใช้กองทุนน้ำมันสนับสนุนส่วนต่าง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล
*หุ้นเด่นวันนี้
- CPF (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 28 บาท คาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดของปีมาแล้ว ระยะสั้นได้ Sentiment บวกจากค่าเงินบาทอ่อนค่า
- IVL (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 75 บาท คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 โตโดดเด่นจากปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้น และ PTA spread เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบหลายปี
- CPALL (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 98 บาท ธุรกิจ 7-11 ยังแข็งแกร่ง SSSG ใน Q2/61 โตต่อเนื่องแม้เป็นฤดูฝน เพราะกำลังซื้อฟื้นตัวและยังได้อานิสงส์จากการปรับขึ้นราคาบุหรี่ ซึ่งโมเมนตัมนี้จะเร่งขึ้นอีกใน H2/61 ที่มักจัดโปรโมชั่นใหญ่ของปี นอกจากนี้เป็นหุ้นใหญ่ที่ราคาฟื้นกลับช้า โดยวานนี้ที่ SET ขึ้น 1.5% แต่ CPALL ขึ้นแค่ 0.3% ขณะที่ ต่างชาติเริ่มหยุดขาย หลังจากยอดถือครองหุ้นลดเหลือ 35% ต่ำสุดในรอบ 1 ปี ส่วนยอด Short Sales ก็เริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติด้วยเช่นกัน
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเช้านี้ ขานรับ Nasdaq ปิดทำนิวไฮ
ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ โดยได้รับปัจจัยบวกหลังจากดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ ขานรับการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทเทคโนโลยี
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,523.28 จุด ลดลง 32.15 จุด, -0.14% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,912.00 จุด ลดลง 3.73 จุด, -0.13% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 29,764.05 จุด เพิ่มขึ้น 67.88 จุด, +0.23% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,949.85 จุด เพิ่มขึ้น 22.41 จุด, +0.21% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,364.16 จุด เพิ่มขึ้น 0.25 จุด, +0.01% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,315.23 จุด ลดลง 0.67 จุด, -0.02% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,710.44 จุด เพิ่มขึ้น 0.69 จุด, +0.04%
ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงจับตาข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน โดยกระแสความวิตกกังวลระลอกใหม่เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ในอัตรา 10% วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมกับเตือนว่า หากรัฐบาลจีนเรียกเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐอีก เพื่อตอบโต้แผนเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ในอัตรา 10% สหรัฐก็พร้อมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในวงเงินเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกแถลงการณ์เตือนว่า รัฐบาลจีนพร้อมตอบโต้อย่างรุนแรง หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10% ตามที่ปธน.ทรัมป์ขู่ไว้
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 23.55 จุด รับแรงซื้อหุ้นยาสูบ ขณะตลาดจับตาประชุมแบงก์ชาติอังกฤษ
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (20 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายยาสูบ ซึ่งรวมถึงหุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ในอังกฤษได้แนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มดังกล่าว ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเย็นวันนี้
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,627.40 จุด เพิ่มขึ้น 23.55 จุด หรือ +0.31%
หุ้นกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายยาสูบปรับตัวขึ้น นำโดยหุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค พุ่งขึ้น 2.4% และหุ้นอิมพีเรียล แบรนด์ ทะยานขึ้น 3.2% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ลิเบรัม ได้แนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้นของทั้งสองบริษัท
หุ้นโอคาโด พีแอลซี ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกออนไลน์ พุ่งขึ้น 5.6% หลังจากนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์พีลฮันท์กล่าวว่า โอคาโดมีศักยภาพที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมค้าปลีกออนไลน์ของอังกฤษ
หุ้นเบิร์คลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทรับสร้างบ้าน ร่วงลง 5.9% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่า ตัวเลขกำไรจะลดลงราว 30% ในปีงบการเงิน 2562 ขณะที่หุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มธุรกิจสร้างบ้านปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นบาร์แรทท์ ดิวเวลลอปเมนท์ ร่วงลง 1.5% และหุ้นเพอร์ซิมมอน ปรับตัวลง 0.6%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งรายงานข่าวที่ว่า คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) ระบุว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันศุกร์นี้ โดยมาตรการของ EU มีขึ้นเพื่อตอบโต้การที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมของ EU ก่อนหน้านี้
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า BoE จะยังไม่ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) รายงานว่า ดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อ ทรงตัวที่ระดับ 2.4% ในเดือนพ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าดัชนี CPI จะปรับตัวขึ้นเล็กน้อย
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: แรงซื้อเก็งกำไร หนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (20 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไร หลังจากตลาดร่วงลงอย่างหนักในช่วงก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.3% ปิดที่ 384.29 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,695.16 จุด เพิ่มขึ้น 17.19 จุด หรือ +0.14% ขณะที่ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,372.31 จุด ลดลง 18.32 จุด หรือ -0.34% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,627.40 จุด เพิ่มขึ้น 23.55 จุด หรือ +0.31%
นักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงอย่างหนักในช่วงก่อนหน้านี้ สืบเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า ขณะที่รายงานล่าสุดระบุว่า คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) ระบุว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันศุกร์นี้ โดยมาตรการของ EU มีขึ้นเพื่อตอบโต้การที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมของ EU ก่อนหน้านี้
หุ้นกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายยาสูบปรับตัวขึ้น นำโดยหุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค พุ่งขึ้น 2.4% และหุ้นอิมพีเรียล แบรนด์ ทะยานขึ้น 3.2% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ลิเบรัม ได้แนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้นของทั้งสองบริษัท
หุ้นโอคาโด พีแอลซี ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกออนไลน์ พุ่งขึ้น 5.6% หลังจากนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์พีลฮันท์กล่าวว่า โอคาโดมีศักยภาพที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมค้าปลีกออนไลน์ของอังกฤษ
หุ้นเบิร์คลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทรับสร้างบ้าน ร่วงลง 5.9% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่า ตัวเลขกำไรจะลดลงราว 30% ในปีงบการเงิน 2562 ขณะที่หุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มธุรกิจสร้างบ้านปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นบาร์แรทท์ ดิวเวลลอปเมนท์ ร่วงลง 1.5% และหุ้นเพอร์ซิมมอน ปรับตัวลง 0.6%
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า BoE จะยังไม่ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) รายงานว่า ดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อ ทรงตัวที่ระดับ 2.4% ในเดือนพ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าดัชนี CPI จะปรับตัวขึ้นเล็กน้อย
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 42.41 จุด เหตุวิตกสงครามการค้า ขณะ Nasdaq ทำนิวไฮหลังหุ้นเทคโนฯพุ่ง
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (20 มิ.ย.) โดยดาวโจนส์ปิดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 7 เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทเทคโนโลยี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,657.80 จุด ลดลง 42.41 จุด หรือ -0.17% ขณะที่ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 2,767.32 จุด เพิ่มขึ้น 4.73 จุด หรือ +0.17% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,781.51 จุด เพิ่มขึ้น 55.93 จุด หรือ +0.72%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับปัจจัยลบจากความวิตกกังวลว่า การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้นในขณะนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยกระแสความวิตกกังวลระลอกใหม่เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ในอัตรา 10% วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมกับเตือนว่า หากรัฐบาลจีนเรียกเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐอีก เพื่อตอบโต้แผนเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ในอัตรา 10% สหรัฐก็พร้อมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในวงเงินเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกแถลงการณ์เตือนว่า รัฐบาลจีนพร้อมตอบโต้อย่างรุนแรง หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10% ตามที่ปธน.ทรัมป์ขู่ไว้
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมยังคงได้รับผลกระทบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า โดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ปรับตัวลง 0.1% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก ลดลง 0.2% และหุ้นอีตัน คอร์ป ลดลง 0.3%
หุ้นเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) ปรับตัวลง 0.5% หลังจากมีรายงานว่า GE จะถูกถอดออกจากการคำนวณดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ซึ่งปัจจุบันมีหุ้นรวมทั้งหมด 30 ตัว โดย GE มีมูลค่าตลาดมากกว่า 1.12 แสนล้านดอลลาร์ แต่ได้ถูกนักลงทุนเทขายจนทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงมากกว่า 55% ในปีนี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัท หลังจากที่มีการประกาศปลดพนักงาน 12,000 ตำแหน่งในธุรกิจผลิตไฟฟ้าทั่วโลก เพื่อรับมือกับอุปสงค์ที่ลดลง รวมทั้งการประกาศปรับลดการจ่ายเงินปันผล
หุ้นสตาร์บัค ดิ่งลง 9.1% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ยอดขาย รวมทั้งมีแผนที่จะปิดร้านกาแฟในสหรัฐเพิ่มขึ้นอีก อันเนื่องมาจากการแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดสหรัฐ
หุ้นเอทีแอนด์ที ซึ่งเป็นบริษัทสื่อสารรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 1.2% หลังจากมีรายงานว่า เอทีแอนด์ทีกำลังเจรจาเข้าซื้อบริษัทแอปเน็กซัส ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านการโฆษณา โดยก่อนหน้านี้เอทีแอนด์ที อิงค์ ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการไทม์ วอเนอร์ ซึ่งเป็นบริษัทด้านสื่อและบันเทิงยักษ์ใหญ่ ในวงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ช่วยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นแอปเปิล ดีดตัวขึ้น 0.4% หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 1% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ดีดขึ้น 0.4% หุ้นอเมซอนดอทคอม เพิ่มขึ้น 0.8% และหุ้นเน็ตฟลิกซ์ ทะยานขึ้น 2.9%
หุ้นวอลท์ ดิสนีย์ ดีดตัวขึ้น 1% หลังจากวอลท์ ดิสนีย์ ประกาศเพิ่มวงเงินในข้อเสนอซื้อธุรกิจส่วนใหญ่ของบริษัททเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ของนายรูเพิร์ท เมอร์ดอค สู่ระดับ 7.13 หมื่นล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 5.24 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าข้อเสนอของคอมแคสต์ ซึ่งเป็นบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐที่ระดับ 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ทะยานขึ้น 7.5% ส่วนหุ้นคอมแคสต์ ปรับตัวขึ้น 1.8%
หุ้นเพย์พาล พุ่งขึ้น 1.7% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์เวดบุชได้แสดงมุมมองในด้านบวกว่า การที่เพย์พาลรุกซื้อกิจการบริษัทไฮเปอร์วอลเลท จะช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ทางธุรกิจของเพย์พาล
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองร่วงลง 0.4% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 5.43 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 2 ขณะที่สมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการจำนองเพิ่มขึ้น 5.1% ในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่มีจำนวนลดลงก่อนหน้านี้
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนมิ.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ดัชนีราคาบ้านเดือนเม.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต
--อินโฟเควสท์
OO10306