- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Friday, 15 June 2018 12:57
- Hits: 2159
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ซิกแซกลงต่อ หลัง ECB จะยุติมาตรการ QE สิ้นปีนี้ หวั่นเงินทุนไหลออกต่อเนื่อง
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะซิกแซกลงต่อ เนื่องจากผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ออกมาคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด แต่ได้มีการประกาศแผนยุติการทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ภายในสิ้นเดือนธ.ค. ส่งผลให้สภาพคล่องลดลง และกระแสเงินทุนก็จะไหลออกจากภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนด้วย หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ลงนามการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนแล้ว ตอนนี้ก็รอดูท่าทีของจีนจะทำอย่างไรต่อไป
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยตลาดเกิดใหม่จะปรับตัวลง อันเป็นผลจากเงินทุนไหลออก ขณะที่ตลาดที่พัฒนาแล้วจะปรับตัวขึ้น
พร้อมให้แนรับ 1,700-1,690 จุด ส่วนแนวต้าน 1,715-1,720 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (14 มิ.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,175.31 จุด ลดลง 25.89 จุด (-0.10%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,782.49 จุด เพิ่มขึ้น 6.86 จุด (+0.25%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,761.04 จุด เพิ่มขึ้น 65.34 จุด (+0.85%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 144.63 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 6.71 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 29.10 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 15.78 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 8.70 จุด,
ส่วนตลาดหุ้นสิงคโปร์, ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ,อินโดนีเซีย และตลาดหุ้นมาเลเซีย ปิดทำการวันนี้ เนื่องในเทศกาลฮารีรายออีฏิ้ลฟิตริ
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 มิ.ย.61) 1,709.86 จุด ลดลง 8.48 จุด (-0.49%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 9,654.34 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (14 มิ.ย.61) ปิดที่ 66.89 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 25 เซนต์ หรือ 0.4%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 มิ.ย.61) ที่ 4.98 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.30 อ่อนค่าตามยูโร หลัง ECB ประกาศตรึงดอกเบี้ย-ตลาดรอติดตามผล BOJ วันนี้
- เวิลด์แบงก์อาจปรับขึ้น คาดการณ์ขยายตัวเศรษฐกิจไทยจากปัจจุบัน 4.1% สำหรับปี 2561 โดยแนวโน้มการเติบโตที่มีเสถียรภาพและสัญญาณว่าภาคเอกชนไทยกำลังกลับมาลงทุนในประเทศอีกครั้ง เป็นหนึ่งในปัจจัยบวกสำหรับเศรษฐกิจไทย
- ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ไทยพาณิชย์ หรืออีไอซี ประเมินตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้ฟื้นตัว คาดยอดโอนเพิ่มขึ้น 7% หรือ 4.6 แสนล้านบาท แนะจับตาภาวะล้นตลาด หลังมียูนิตที่ขายไม่ออกสูงถึง 1.76 แสนยูนิต ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียม ใกล้เคียงช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ไม่น่าห่วงเท่า เพราะผู้ประกอบการปรับตัวทั้งเลือกกลุ่มลูกค้าและเร่งระบายสต็อก
- ธปท.ได้ออกประกาศอนุญาตให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) สามารถยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินตราต่างประเทศ โดยให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถซื้อ ขาย หรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้กับลูกค้า เพื่อการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีบริษัทหลักทรัพย์นั้นเป็นนายหน้าหรือตัวแทนในการลงทุนได้
- ทอท.จ่อชงบอร์ดอนุมัติแผนสร้างดอนเมืองเฟส 3 มูลค่ากว่า 3.5 หมื่นล้านบาท พร้อมเร่งเดินหน้าจัดทำร่างทีโออาร์ คาดต้นปี 63 เริ่มก่อสร้าง ด้าน ทย.เปิดชิงก่อสร้างลานจอดท่าอากาศยานกระบี่ 1.2 พันล้านบาท 15 มิ.ย.นี้
*หุ้นเด่นวันนี้
- NFC (ฟินันเซีย ไซรัส) กลับมาเทรดวันนี้ หลังจากผ่านกระบวนการฟื้นฟูแล้วเสร็จ มีผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่คือนายณัฐภพ รัตนสุวรรณทวี (เจ้าของบริษัท SC Group ทำธุรกิจโลจิสติกส์) ถือ 58.19% ปัจจุบัน NFC ทำธุรกิจซื้อมาขายไปแอมโมเนียและซัลเฟอร์ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีรายได้ปีละประมาณ 1 พันล้านบาทเศษ มีกำไรปกติปีละ 200 ล้านบาทเศษ ส่วน Q1/61 กำไร 26 ล้านบาท -42% Y-Y ผู้บริหารต้องการขยายธุรกิจของ NFC เข้าสู่โลจิสติกส์ซึ่งมี synergy กับธุรกิจเดิมของนายณัฐภพ แต่ยังไม่ใช่ภายใน 1-2 ปีนี้ บนฐานธุรกิจปัจจุบันของ NFC ที่ทำกำไรได้ปีละ 200 กว่าล้านบาท หรือ EPS 0.19 บาท (พาร์ 0.75 บาท) ถ้าอิง PE 15-20 เท่า จะได้ราคา 3-4 บาท
- MTC (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 50 บาท ได้ Sentiment บวกจากกระแสข่าวที่กระทรวงการคลังจะเลื่อนบังคับใช้กฏหมายนอนแบงก์ออกไปจนถึงช่วงต้นปีหน้า ด้านผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดกำไรสุทธิ 3,464 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 39%yoy
- BDMS (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 29 บาท แนวโน้มกำไร Q2/61 อยู่ในเกณฑ์ดี อาจชะลอจากไตรมาสก่อนซึ่งเป็น high season แต่จะเพิ่มขึ้น Y-Y จากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ส่วนหุ้นกู้แปลงสภาพที่มีราคาแปลง 21.045 บาทต่อหุ้น ยังเหลืออยู่ 372 ล้านหุ้น จะหมดอายุ ก.ย. 2562 หากผู้ถือหุ้นกู้ใช้สิทธิแปลงสภาพทั้งหมด จะทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเพียง 2.4% แทบไม่กระทบ EPS และราคาเป้าหมาย ราคาหุ้นที่ปรับลงจะเป็นโอกาสในการลงทุน
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าผันผวน ขณะนักลงทุนจับตาข้อพิพาทการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าผันผวนในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ได้อนุมัติมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นอีก 25% วงเงินรวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้จีนที่ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทสหรัฐ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 22,827.77 จุด เพิ่มขึ้น 89.16 จุด หรือ +0.39% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 30,399.92 จุด ลดลง 40.25 จุด หรือ -0.13% ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวันนี้ เนื่องในเทศกาลฮารีรายออีฏิ้ลฟิตริ
รายงานระบุว่า ในวันนี้ คณะทำงานของปธน.ทรัมป์จะเปิดเผยรายชื่อสินค้าจีนที่จะถูกปรับขึ้นการเก็บภาษีนำเข้า โดยคาดว่าจะมีสินค้าประมาณ 800-900 รายการที่อยู่ในรายชื่อ ซึ่งลดลงจากจำนวน 1,300 รายการที่เคยเปิดเผยเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
สำหรับความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจในเอเชียช่วงเช้านี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงนโยบายผ่อนคลายการเงินเชิงรุกในการประชุมวันนี้ โดยระบุว่า อัตราเงินเฟ้อยังคงเคลื่อนไหวที่ระดับต่ำกว่าเป้าหมาย แม้ภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มแข็งแกร่งขึ้นก็ตาม
ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินของ BOJ มีมติคงวงเงินซื้อพันธบัตรรัฐบาล เพื่อให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อระยะยาว เคลื่อนไหวที่ระดับ 0% และได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ -0.1% โดยอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากสถาบันการเงินที่สำรองเงินฝากไว้กับ BOJ
ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ว่า ราคาบ้านในเมืองขนาดใหญ่ของจีนยังคงทรงตัวในเดือนพ.ค. หลังจากรัฐบาลจีนใช้มาตรการที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการเก็งกำไรในตลาดที่อยู่อาศัย
ในจำนวนเมืองขนาดใหญ่ 15 แห่งที่ได้รับการสำรวจนั้น มีเมือง 8 แห่งที่ราคาบ้านใหม่ปรับตัวลดลงในเดือนพ.ค. โดยลดลงอย่างหนักถึง 2.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนเมืองอีก 7 แห่งรายงานว่าราคาบ้านปรับตัวขึ้นในเดือนพ.ค.
ทางด้านสำนักงานสถิติแห่งเกาหลีใต้เปิดเผยว่า อัตราว่างงานในเดือนพ.ค.ปรับตัวขึ้น 0.4% แตะที่ระดับ 4% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 18 ปี โดยมีสาเหตุมาจากการลดลงของตัวเลขจ้างงานในภาคค้าปลีก ภาคการผลิต และภาคการศึกษา
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 62.08 จุด รับเงินปอนด์อ่อน,ยอดค้าปลีกอังกฤษพุ่ง
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดดีดตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (14 มิ.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งของอังกฤษ
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,765.79 จุด เพิ่มขึ้น 62.08 จุด หรือ +0.81%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยหนุนหุ้นของบริษัทเหล่านี้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยจากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) ซึ่งระบุว่า ยอดค้าปลีกของสหราชอาณาจักรดีดตัวขึ้น 1.3% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.5% และเมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกทะยานขึ้น 3.9% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 1 ปี และสูงกว่าที่เพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนเม.ย.
ทั้งนี้ ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างค้าปลีกหลายแห่งระบุว่า ผู้บริโภคเพิ่มการจับจ่ายสินค้าและอาหารในช่วงก่อนพิธีเสกสมรสของเจ้าชายแฮร์รี่ และเมแกน มาร์เคิล ในเดือนที่แล้ว
หุ้นโรลส์รอยซ์ โฮลดิ้งส์ พุ่งขึ้น 6.5% หลังจากบริษัทประกาศแผนปรับลดจำนวนพนักงาน 4,600 รายในช่วง 2 ปีข้างหน้า ตามแผนการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค.ขยายตัว 6.8% ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนเม.ย.ที่ขยายตัว 7% ทั้งนี้ หุ้นอันโตฟากัสตา ร่วงลง 1.5% ขณะที่หุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวผันผวน ซึ่งรวมถึงหุ้นเกลนคอร์ และหุ้นแองโกล อเมริกัน
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก รับยูโรอ่อนหลัง ECB ประกาศตรึงดอกเบี้ยยาวถึงปีหน้า
ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (14 มิ.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโร หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมประกาศว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไป จนถึงช่วงฤดูร้อนของปีหน้า
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 1.2% ปิดที่ 393.04 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,528.46 จุด เพิ่มขึ้น 75.73 จุด หรือ +1.39% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,107.10 จุด เพิ่มขึ้น 216.52 จุด หรือ +1.68% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,765.79 จุด เพิ่มขึ้น 62.08 จุด หรือ +0.81%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยหนุนจากสกุลเงินยูโรที่อ่อนค่าลง หลังจากที่ประชุม ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.40% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
ทั้งนี้ ECB ระบุว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไป อย่างน้อยจนถึงช่วงฤดูร้อนของปีหน้า พร้อมประกาศคงวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ที่ระดับ 3 หมื่นล้านยูโร/เดือน จนถึงเดือนก.ย. อย่างไรก็ตาม ECB ระบุว่าจะเริ่มปรับลดวงเงิน QE สู่ระดับ 1.5 หมื่นล้านยูโรในเดือนต.ค.-ธ.ค. และจะยุติมาตรการ QE ภายในสิ้นเดือนธ.ค.
หุ้นโรลส์รอยซ์ โฮลดิ้งส์ พุ่งขึ้น 6.5% หลังจากบริษัทประกาศแผนปรับลดจำนวนพนักงาน 4,600 รายในช่วง 2 ปีข้างหน้า ตามแผนการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค.ขยายตัว 6.8% ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนเม.ย.ที่ขยายตัว 7% ทั้งนี้ หุ้นอันโตฟากัสตา ร่วงลง 1.5% ขณะที่หุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวผันผวน ซึ่งรวมถึงหุ้นเกลนคอร์ และหุ้นแองโกล อเมริกัน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดและเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นยุโรปนั้น สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกของสหราชอาณาจักรดีดตัวขึ้น 1.3% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.5% และเมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกทะยานขึ้น 3.9% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 1 ปี และสูงกว่าที่เพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนเม.ย.
ทั้งนี้ ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างค้าปลีกหลายแห่งระบุว่า ผู้บริโภคเพิ่มการจับจ่ายสินค้าและอาหารในช่วงก่อนพิธีเสกสมรสของเจ้าชายแฮร์รี่ และเมแกน มาร์เคิล ในเดือนที่แล้ว
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 25.89 จุดหลังหุ้นแบงก์ร่วง ขณะหุ้นเทคโนฯพุ่งหนุน Nasdaq ทำนิไฮ
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (14 มิ.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคาร รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P 500 ดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวก ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้ปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ และการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงปีหน้า
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,175.31 จุด ลดลง 25.89 จุด หรือ -0.10% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,782.49 จุด เพิ่มขึ้น 6.86 จุด หรือ +0.25% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,761.04 จุด เพิ่มขึ้น 65.34 จุด หรือ +0.85%
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดดัชนีดาวโจนส์ปิดอ่อนแรงลงเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 1.8% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ดิ่งลง 1.7% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ปรับตัวลง 1.1% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ลดลง 0.8% และหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ขยับลง 0.1%
สำหรับปัจจัยที่ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงนั้น มาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับ 2.95% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ลดลงสู่ระดับ 3.07%
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้จัดการประชุมหารือกับที่ปรึกษาทางการค้าของทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ เพื่อที่จะตัดสินใจในวันนี้ว่า สหรัฐจะมีการประกาศรายชื่อสินค้าจีนวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ที่จะถูกเรียกเก็บภาษีหรือไม่
ทั้งนี้ คาดว่าหากสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้าจีน ก็จะส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้าสหรัฐ ซึ่งรวมถึงถั่วเหลือง, เคมีภัณฑ์, รถยนต์ และเครื่องบิน
อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P 500 ดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวก ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 2.3% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ดีดตัวขึ้น 1.4% หุ้นอเมซอนดอคคอม พุ่งขึ้น 1.1% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ทะยานขึ้น 3.4% หุ้นไมโครซอฟท์ ปรับตัวขึ้น 0.6% และหุ้นอินเทล เพิ่มขึ้น 0.9%
ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนดัชนี S&P 500 และ Nasdaq เช่นกัน โดยยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.ของสหรัฐพุ่งขึ้น 0.8% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ขณะที่จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 4,000 ราย สู่ระดับ 218,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 224,000 ราย
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนหลังจากที่ประชุม ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมประกาศว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไป อย่างน้อยจนถึงช่วงฤดูร้อนของปีหน้า
หุ้นคอมแคสต์ ซึ่งเป็นบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ และเป็นบริษัทแม่ของเอ็นบีซียูนิเวอร์แซล พุ่งขึ้น 4.6% หลังจากคอมแคสต์ยื่นข้อเสนอซื้อกิจการส่วนใหญ่ของบริษัททเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ของนายรูเพิร์ท เมอร์ดอค ด้วยวงเงิน 6.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าวงเงินที่วอลท์ ดิสนีย์เสนอซื้อธุรกิจของฟ็อกซ์ถึง 19% ทั้งนี้ หุ้นทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ พุ่งขึ้น 2.1% ขณะที่หุ้นวอลท์ ดิสนีย์ พุ่งขึ้น 2.3%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรม-การใช้กำลังการผลิตเดือนพ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์
OO10098