WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

2 1ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ซึมลง รับปัจจัยลบจากตปท.หลังราคาน้ำมันร่วง-วิตกสงครามการค้า
นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของดัชนีเช้านี้จะซึมตัวลง มากกว่าเป็นลักษณะการกระแทกลง แม้ว่าจะได้รับปัจจัยลบจากต่างประเทศหลังจากที่สหรัฐฯได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดา, เม็กซิโก และ EU ขณะที่ประเทศคู่ค้าเหล่านี้ได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐทันที ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลว่าอาจจะเกิดสงครามการค้า นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอาจจะกดดันต่อการลงทุนหุ้นในกลุ่ม Commodity และนักลงทุนยังคงจับตาปัญหาการเมืองในอิตาลีต่อไป
อย่างไรก็ตามตลาดได้ประเด็นบวกจากภายในประเทศ หลังการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อวานนี้ก็อยู่ในระดับที่ดี ทั้งการส่งออก ,การท่องเที่ยว ,การบริโภค ,การลงทุนของภาครัฐและเอกชน ซึ่งน่าจะยังเป็นปัจจัยที่ช่วยประคองตลาดได้
นอกจากนี้คาดว่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติน่าจะกลับมาอยู่ในภาวะปกติ หลังจากที่ขายออกมามากเมื่อวานนี้ เนื่องจากมองว่าการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติน่าจะลดลงหลัง MSCI rebalance เสร็จสิ้นลงแล้วเมื่อวาน
พร้อมให้แนวรับที่ 1,719 และ 1,714 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,734 และ 1,740 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (31 พ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,415.84 จุด ร่วงลง 251.94 จุด (-1.02%) , ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,705.27 จุด ลดลง 18.74 จุด (-0.69%) ,ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,442.12 จุด ลดลง 20.34 จุด (-0.27%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 75.57 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 10.72 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 80.22 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 7.72 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 3.38 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 4.68 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.69 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (31 พ.ค.61) 1,726.97 จุด เพิ่มขึ้น 1.83 จุด (+0.11%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 7,885.43 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 พ.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (31 พ.ค.61) ปิดที่ 67.04 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.7%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (31 พ.ค.61) ที่ 5.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.06/09 แนวโน้มอ่อนค่าตามภูมิภาค ตลาดกลับมากังวลสงครามการค้าระลอกใหม่
- ธปท.เดินหน้าปฏิรูปเกณฑ์กำกับสถาบันการเงิน เริ่ม 1 มิ.ย.นี้ หนุนธนาคารปรับตัวสู่ดิจิทัลแบงกิ้งเต็มสูบ ลดกระบวนการใช้เอกสาร และปรับเกณฑ์สินเชื่อ เอสเอ็มอี ปูทางสู่ดิจิทัลเลนดิ้ง และ อินฟอร์เมชั่นเบสเลนดิ้ง หวังเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในต้นทุนที่ถูกลง พร้อมเปิดให้บริษัทที่มีคุณสมบัติตามกำหนด หรือ Qualified Company ทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศโดยไม่ต้องแสดงเอกสาร ขณะที่ห่วงความเสี่ยงสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน เริ่มเห็นสัญญาณการแข่งขันปล่อยสินเชื่อของแบงก์สูงขึ้น เตือนสถานการเงินบางแห่งให้ระมัดระวังความเสี่ยง
- ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจฐานราก บางส่วนก็ดีขึ้นแล้ว แต่อีกบางส่วนต้องรอราคาพืชผลทางการเกษตร เช่น ราคาทุเรียน หรือราคายางพารา ที่ราคาสูงขึ้นก็ทำให้เศรษฐกิจฐานรากขยายตัวได้ดีขึ้น โดยสศก.ชี้ดัชนีรายได้เกษตรกรเดือน พ.ค.ปรับตัว เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7.9% คาดเดือนมิ.ย.ยังอยู่ในเกณฑ์ดี
- หอการค้าคาดอีก 5 ปี เศรษฐกิจกลุ่มซีแอลเอ็มวียังโตต่อเนื่อง 1.2% เผยน่าห่วงอาเซียนสัดส่วนการค้าจะลดลงเรื่อยๆ เหตุจีนเข้ามาแทนที่ในตลาดนี้ มั่นใจสิงคโปร์ยังดึงดูดลงทุนได้ดี ขณะที่อินโดฯอาจเสียฐานผลิตให้เวียดนาม
- "อาคม" เบรกหัวชนฝารถสาธารณะทุกประเภทห้ามขึ้นค่าโดยสาร รอศึกษาปรับโครงสร้างราคาใหม่เสร็จภายใน 2 เดือน พร้อมมอบนโยบายบอร์ดใหม่ ขสมก.เร่งปรับปรุงคุณภาพ เพิ่มรายได้-ลดรายจ่าย ขยายเส้นทางเดินรถเชื่อมสนามบิน
- รมว.พลังงาน เล็งลดสำรองน้ำมันดิบจาก 6% เหลือ 2-3% ลดภาระผู้ประกอบการหวังกดราคาขายปลีกลงอีก ระบุปัจจุบันไม่กระทบความมั่นคงด้านพลังงานเร่ง 3 ภารกิจให้เสร็จก่อนเลือกตั้งปี 62 คลอด"โซลาร์ภาคประชาชน" เปิดประมูลเอราวัณ-บงกช ให้ได้ผู้ชนะสิ้นปีนี้ ดันแผนลงทุนไฟฟ้าชีวมวลภาคใต้ 250-300 เมกะวัตต์ให้เสร็จใน 2 เดือน ย้ำค่าไฟฟ้า ในอนาคตมีแนวโน้มถูกลง
- รัฐบาลและเอกชนจีน-ญี่ปุ่น ประสานเสียงสนับสนุน"อีอีซี"และเศรษฐกิจไทย ชี้มีศักยภาพ เป็นศูนย์กลางการเติบโตในภูมิภาค ทุบสถิติประเทศแรกที่ 2 ยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียประกาศร่วมมือทางเศรษฐกิจ ร่วมกันในประเทศที่สาม เผยรัฐบาลปักกิ่งหนุนเต็มที่ รับปากดึงชาวจีนเที่ยวไทยให้มากขึ้นอีก "สมคิด"เชิญจีนร่วมประมูลไฮสปีดเทรนสายใต้กรุงเทพฯ-ชุมพร เชื่อมไปยังมาเลเซีย
- สศช.แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาสแรกปี 2561 ว่า แนวโน้มหนี้ครัวเรือนยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรกปีนี้ยอดคงค้างสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ขยายตัวเพิ่มขึ้น 7.1% จากที่ขยายตัว 6.1% ไตรมาส 4/60
- ธปท แถลงเศรษฐกิจไทย ในเดือน เม.ย. 2561 ขยายตัวดีโดยมีแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกที่ขยายตัวสูง สอดคล้องกับการขยายตัวของอุปสงค์ ต่างประเทศและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เช่นเดียวกับการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวในเกือบทุกหมวดการใช้จ่าย ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวสอดคล้องกัน ด้านการลงทุน ภาคเอกชนขยายตัวจากการลงทุนใน หมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์
*หุ้นเด่นวันนี้
- BCH (เคจีไอฯ) แนะ"Outperform" ราคาเป้าหมาย 19.20 บาท มีมุมมองที่เป็นบวกกับแนวโน้มผลประกอบการของ BCH ใน 2Q61 เนื่องจากคาดว่าผลการดำเนินงานของ WMH จะฟื้นตัวต่อเนื่อง YoY บวกกับผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของฐานผู้ป่วยเงินสดเนื่องจากปีนี้เข้าสู่หน้าฝนเร็ว คาดว่าปัจจัยสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนกำไรใน 2H61 ได้แก่ i) ผลการดำเนินงานของ WMH ที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง (จนพลิกมาเป็นกำไรสุทธิได้) ii) คาดว่าจะรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากประกันสังคม iii) คาดว่า margin จะเพิ่มขึ้นจากการอัพเกรดโรงพยาบาลระดับล่างของบริษัท (แบรนด์ การุณเวช)
- BPP (เอเอสแอล) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 30 บาท คาดว่ากำไรสุทธิใน 2Q61 จะกลับมาเติบโต QoQ และ YoY จาก High Season ของความต้องการการใช้ไฟฟ้า รวมไปถึงการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น 3 โครงการ (44.5 MW) ที่จะทยอยเพิ่มเข้ามาใน 2Q61 ทั้งนี้ ประมาณการกำไรสุทธิปี 61 ที่ 4.1 พันล้านบาท แม้ทรงตัว YoY แต่กำไรปกติเติบโต 18% YoY เนื่องจากปี 61 มีค่าใช้จ่ายพิเศษเกี่ยวกับคดีโรงไฟฟ้าหงสา กำไรปกติเติบโตจากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าหงสาเพิ่ม หลังจากแก้ปัญหาด้านการผลิตได้ และรับรู้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ ขณะที่มองหุ้นเหมาะแก่การลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวนจากหุ้นโรงไฟฟ้าที่ถือว่าเป็น Defensive Stock
- CK (ดีบีเอสฯ) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 30 บาท คาดว่าจะมีโอกาสเข้าร่วมการประมูลงานใหม่ภาครัฐมากขึ้นใน 2H61 ราว 7.8 แสนล้านบาท ณ 31 มี.ค.61 บริษัทมีมูลค่างานในมือ 6.5 แสนล้านบาทซึ่งยังมั่นคงมาก รวมทั้งมีงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า CKP ด้วย ขณะเดียวกันมีรายได้เงินปันผลเข้ามาประมาณปีละ 1 พันล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับต้นทุนคงที่ได้ ดังนั้นบริษัทจึงไม่ต้องแข่งขันประมูลงานมากนัก ทาง CK ตั้งเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 8-10% และ IRR เท่ากับ 10-15%

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ วิตกสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก,อลูมิเนียม
ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดา เม็กซิโก และสหภาพยุโรป (EU) ขณะที่ประเทศคู่ค้าเหล่านี้ได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐทันที ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าอาจจะนำไปสู่การทำสงครามการค้าในไม่ช้านี้
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,126.25 จุด ลดลง 75.57 จุด, -0.34% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,084.75 จุด ลดลง 10.72 จุด, -0.35% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 30,548.78 จุด เพิ่มขึ้น 80.22 จุด, +0.26% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,882.68 จุด เพิ่มขึ้น 7.72 จุด, +0.07% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,419.63 จุด ลดลง 3.38 จุด, -0.14% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,423.50 จุด ลดลง 4.68 จุด, -0.14% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,739.93 จุด ลดลง 0.69 จุด, -0.04%
นายวิลเบอร์ รอสส์ รมว.พาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และภาษีนำเข้าอลูมิเนียม 10% จากแคนาดา เม็กซิโก และ EU โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันนี้เวลา 11.00 น.ตามเวลาไทย หลังจากที่การเจรจาระหว่างสหรัฐและ EU ประสบความล้มเหลว
ทางด้านประเทศคู่ค้าของสหรัฐเหล่านี้ได้ออกมาส่งสัญญาณตอบโต้ทันที โดยรัฐบาลแคนาดาประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้าเหล็กและอลูมิเนียม รวมทั้งสินค้าอื่นๆที่นำเข้าจากสหรัฐ ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโกประกาศมาตรการตอบโต้สหรัฐเช่นกัน โดย EU ได้ประกาศรายชื่อสินค้าสหรัฐหลายร้อยรายการที่จะถูกเรียกเก็บภาษี นับตั้งแต่เนยถั่วไปจนถึงมอเตอร์ไซค์ ส่วนเม็กซิโกประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงเนื้อสุกร แอปเปิล องุ่น ชีส และเหล็กแผ่น

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 11.37 จุด เหตุวิตกสงครามการค้า
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (31 พ.ค.) เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆในยุโรปที่ต่างก็ปรับตัวลง หลังจากสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดา, เม็กซิโก และสหภาพยุโรป (EU) ขณะที่ประเทศคู่ค้าเหล่านี้ได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐเช่นกัน ซึ่งนักลงทุนกังวลว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจนำไปสู่สงครามการค้าในที่สุด
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,678.20 จุด ลดลง 11.37 จุด หรือ -0.15%
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้า หลังจากนายวิลเบอร์ รอสส์ รมว.พาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และภาษีนำเข้าอลูมิเนียม 10% จากแคนาดา, เม็กซิโก และ EU โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันนี้เวลา 11.00 น.ตามเวลาไทย หลังจากที่การเจรจาระหว่างสหรัฐและ EU ประสบความล้มเหลว
ด้านรัฐบาลแคนาดาได้ออกมาตอบโต้ด้วยการประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้าเหล็กและอลูมิเนียม รวมทั้งสินค้าอื่นๆที่นำเข้าจากสหรัฐ ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโกได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐเช่นกัน โดย EU ได้ประกาศรายชื่อสินค้าสหรัฐหลายร้อยรายการที่จะถูกเรียกเก็บภาษี นับตั้งแต่เนยถั่วไปจนถึงมอเตอร์ไซค์ ส่วนเม็กซิโกประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงเนื้อสุกร, แอปเปิล, องุ่น, ชีส และเหล็กแผ่น
หุ้นเฟิร์สกรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทขนส่งรายใหญ่ ดิ่งลง 19% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนในไตรมาสที่ผ่านมา พร้อมประกาศการลาออกของนายทิม โอ ทูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ค. ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51.9 จากระดับ 51.4 ในเดือนเม.ย. โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 1% หุ้นแรนด์โกลด์ รีซอส ดีดขึ้น 1.5% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ปรับตัวขึ้น 1.2% แต่หุ้นเกลนคอร์ รีซอส ปิดตลาดปรับตัวลงเล็กน้อย
หุ้นจอห์นสัน แมทธีย์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตส่วนประกอบสำหรับการผลิตยานยนต์ พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากบริษัทประกาศเพิ่มการจ่ายเงินปันผลสำหรับปีงบการเงิน 2561
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุด เนชั่นไวด์ได้เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ราคาบ้านในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนพ.ค. โดยปรับตัวขึ้น 2.4% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3% และต่ำกว่าที่เพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนเม.ย.

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ เหตุวิตกสงครามการค้า,การเมืองสเปน
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (31 พ.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระลอกใหม่ หลังจากสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดา, เม็กซิโก และสหภาพยุโรป (EU) ขณะที่ประเทศคู่ค้าเหล่านี้ได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐเช่นกัน นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในสเปน หลังจากพรรคฝ่ายค้านเรียกร้องให้มีการลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี มาริอาโน ราฮอย กรณีทุจริตคอร์รัปชัน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.6% ปิดที่ 383.06 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,604.89 จุด ลดลง 178.87 จุด หรือ -1.40% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,398.40 จุด ลดลง 28.95 จุด หรือ -0.53% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,678.20 จุด ลดลง 11.37 จุด หรือ -0.15%
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงหลังจากนายวิลเบอร์ รอสส์ รมว.พาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และภาษีนำเข้าอลูมิเนียม 10% จากแคนาดา, เม็กซิโก และ EU โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันนี้เวลา 11.00 น.ตามเวลาไทย หลังจากที่การเจรจาระหว่างสหรัฐและ EU ประสบความล้มเหลว
ด้านรัฐบาลแคนาดาได้ออกมาตอบโต้ด้วยการประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้าเหล็กและอลูมิเนียม รวมทั้งสินค้าอื่นๆที่นำเข้าจากสหรัฐ ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโกได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐเช่นกัน โดย EU ได้ประกาศรายชื่อสินค้าสหรัฐหลายร้อยรายการที่จะถูกเรียกเก็บภาษี นับตั้งแต่เนยถั่วไปจนถึงมอเตอร์ไซค์ ส่วนเม็กซิโกประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงเนื้อสุกร, แอปเปิล, องุ่น, ชีส และเหล็กแผ่น
หุ้นดอยซ์แบงก์ ร่วงลง 7.2% หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ขึ้นบัญชีธนาคารดอยซ์แบงก์ที่มีการดำเนินงานในสหรัฐอยู่ในกลุ่มธนาคารที่กำลังประสบปัญหาการเงิน ขณะที่บรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) ได้ขึ้นบัญชีดอยซ์แบงก์อยู่ในกลุ่มธนาคารที่มีปัญหาเช่นกัน
หุ้นกลุ่มรถยนต์ร่วงลง หลังจาก WirtschaftsWoche ซึ่งเป็นสื่อของเยอรมนี รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เตรียมสั่งห้ามนำเข้ารถยนต์เยอรมันเข้าสู่ตลาดสหรัฐ โดยหุ้นโฟล์คสวาเกน ดิ่งลง 2% หุ้นเดมเลอร์ ร่วงลง 1.9% หุ้นบีเอ็มดับเบิลยู ลดลง 1% หุ้นเรโนลท์ ร่วงลง 1.3% และหุ้นเฟอราร์รี ปรับตัวลง 0.3%
นักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับเสถียรภาพของรัฐบาลสเปน หลังจากที่พรรคฝ่ายค้านเรียกร้องให้มีการลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี มาริอาโน ราฮอย กรณีทุจริตคอร์รัปชัน ขณะที่สื่อของสเปนต่างออกมาเรียกร้องให้มีการจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนด ท่ามกลางความกังวลของตลาดการเงินว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองและความเป็นไปได้ที่จะมีการจัดการเลือกตั้งใหม่นั้น อาจส่งผลให้เกิดภาวะสุญญากาศทางการเมือง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เบื้องต้นของยูโรโซนพุ่งขึ้นสู่ระดับ 1.9% ในเดือนพ.ค. ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ต้องการให้เงินเฟ้อ "อยู่ใกล้ แต่ไม่เกินระดับ 2%"
นอกจากนี้ ยูโรสแตทเปิดเผยว่า อัตราการว่างงานในยูโรโซนร่วงลงสู่ระดับ 8.5% ในเดือนเม.ย. จากระดับ 8.6% ในเดือนมี.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 8.4% ในเดือนเม.ย.

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 251.94 จุด วิต
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (31 พ.ค.) หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดา, เม็กซิโก และสหภาพยุโรป (EU) ขณะที่ประเทศคู่ค้าเหล่านี้ได้ออกมาตรการตอบโต้สหรัฐทันที ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าอาจจะนำไปสู่การทำสงครามการค้าในไม่ช้านี้ โดยความกังวลในเรื่องดังกล่าวได้ฉุดหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง ซึ่งรวมถึงหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ขณะที่การร่วงลงของราคาน้ำมันได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงเช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,415.84 จุด ร่วงลง 251.94 จุด หรือ -1.02% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,705.27 จุด ลดลง 18.74 จุด หรือ -0.69% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,442.12 จุด ลดลง 20.34 จุด หรือ -0.27%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระลอกใหม่ หลังจากนายวิลเบอร์ รอสส์ รมว.พาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และภาษีนำเข้าอลูมิเนียม 10% จากแคนาดา, เม็กซิโก และ EU โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันนี้เวลา 11.00 น.ตามเวลาไทย หลังจากที่การเจรจาระหว่างสหรัฐและ EU ประสบความล้มเหลว
ทางด้านประเทศคู่ค้าของสหรัฐเหล่านี้ได้ออกมาส่งสัญญาณตอบโต้ทันที โดยรัฐบาลแคนาดาประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้าเหล็กและอลูมิเนียม รวมทั้งสินค้าอื่นๆที่นำเข้าจากสหรัฐ ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโกประกาศมาตรการตอบโต้สหรัฐเช่นกัน โดย EU ได้ประกาศรายชื่อสินค้าสหรัฐหลายร้อยรายการที่จะถูกเรียกเก็บภาษี นับตั้งแต่เนยถั่วไปจนถึงมอเตอร์ไซค์ ส่วนเม็กซิโกประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งรวมถึงเนื้อสุกร, แอปเปิล, องุ่น, ชีส และเหล็กแผ่น
ทั้งนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าได้ฉุดหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง โดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 2.3% หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 1.7% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก ปรับตัวลง 1.1% หุ้นอีตัน คอร์ป ร่วงลง 1.7% หุ้นเคแอลเอ็กซ์ ลดลง 0.9% และหุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ดิ่งลง 1.1%
หุ้นฮาร์เลย์-เดวิดสัน ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์รายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 2.2% หลังจากสหภาพยุโรปประกาศว่าจะตอบโต้สหรัฐด้วยการเรียเก็บภาษีนำเข้าหลายร้อยรายการ ซึ่งรวมถึงมอเตอร์ไซค์
หุ้นเซียร์ส ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐและเป็นเจ้าของห้างเซียร์ส และเคมาร์ท ร่วงลงอย่างหนักถึง 12.5% หลังจากบริษัทประกาศปิดสาขาเพิ่มอีก 72 สาขาในปีนี้ เนื่องจากยอดขายที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลง 1.7% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 0.3% หุ้นเชฟรอน ปรับตัวลง 0.7% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ร่วงลง 0.9% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ปรับตัวลง 0.9% เช่นกัน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดและมีผลต่อภาวะการซื้อขายในตลาดเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 1.8% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 13,000 ราย สู่ระดับ 221,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 228,000 ราย
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และยอดขายรถยนต์เดือนพ.ค.
--อินโฟเควสท์
OO9494

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!