- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 17 May 2018 11:11
- Hits: 1905
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ขยับขึ้นตาม ตปท.แต่ภาพรวมยังแกว่งแคบถึงอ่อนตัว-จับตาทิศทางลงทุนต่างชาติ
นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยยังคงเหมือนเดิมที่จะขยับตัวขึ้นได้ก่อนในช่วงเช้าจากตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวขึ้น หลัง Bond Yield ของสหรัฐฯอ่อนตัวลง ขณะที่ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นก็มีผลต่อหุ้นบางกลุ่มอย่าง PTTEP
อย่างไรก็ตาม ภาพใหญ่ของตลาดยังคงมีแรงขายกดดันออกมาในหุ้นขนาดใหญ่ แม้จะมีแรงซื้อหุ้นขนาดกลางตามที่มีประเด็นข่าวอย่างหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนในพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หรือหุ้นพลังงานขนาดกลาง ก็เชื่อว่าไม่ได้มีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากนัก ทำให้ภาพรวมน่าจะยังแกว่งแคบถึงอ่อนตัว
นอกจากนี้ยังต้องติดตามแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติว่าจะมีความต่อเนื่องหรือไม่ เพราะแม้จะกลับมาซื้อสุทธิเมื่อวานนี้ แต่ก็ Short ในตลาดฟิวเจอร์ส ทำให้ภาพการลงทุนยังไม่ชัดเจน ขณะที่นักลงทุนยังรอดูปัจจัยในประเทศหลังจากที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วานนี้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามคาด แต่ยังต้องติดตามสัปดาห์หน้าที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 1/61 และศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติตีความร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา (ส.ว.)
รวมถึงยังต้องติตดตามปัจจัยจากต่างประเทศกรณีทิศทาง Bond Yield ของสหรัฐฯ, การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน เป็นต้น
พร้อมให้แนวรับที่ 1,744 และ 1,737 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,758 และ 1,765 จุด
อย่างไรก็ตาม ภาพใหญ่ของตลาดยังคงมีแรงขายกดดันออกมาในหุ้นขนาดใหญ่ แม้จะมีแรงซื้อหุ้นขนาดกลางตามที่มีประเด็นข่าวอย่างหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนในพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) หรือหุ้นพลังงานขนาดกลาง ก็เชื่อว่าไม่ได้มีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีมากนัก ทำให้ภาพรวมน่าจะยังแกว่งแคบถึงอ่อนตัว
นอกจากนี้ยังต้องติดตามแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติว่าจะมีความต่อเนื่องหรือไม่ เพราะแม้จะกลับมาซื้อสุทธิเมื่อวานนี้ แต่ก็ Short ในตลาดฟิวเจอร์ส ทำให้ภาพการลงทุนยังไม่ชัดเจน ขณะที่นักลงทุนยังรอดูปัจจัยในประเทศหลังจากที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วานนี้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามคาด แต่ยังต้องติดตามสัปดาห์หน้าที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 1/61 และศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติตีความร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา (ส.ว.)
รวมถึงยังต้องติตดตามปัจจัยจากต่างประเทศกรณีทิศทาง Bond Yield ของสหรัฐฯ, การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน เป็นต้น
พร้อมให้แนวรับที่ 1,744 และ 1,737 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,758 และ 1,765 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (16 พ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,768.93 จุด เพิ่มขึ้น 62.52 จุด (+0.25%) , ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,722.46 จุด เพิ่มขึ้น 11.01 จุด (+0.41%) ,ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,398.30 จุด เพิ่มขึ้น 46.67 จุด (+0.63%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 103.39 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 0.44 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 306.51 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 14.17 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 8.90 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 12.85 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 6.52 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (16 พ.ค.61) 1,750.62 จุด ลดลง 16.24 จุด (-0.92%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,135.46 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 พ.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (16 พ.ค.61) ปิดที่ระดับ 71.49 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 18 เซนต์ หรือเกือบ 0.3%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (16 พ.ค.61) ที่ 6.86 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.03 แนวโน้มแข็งค่าจากแรงขายดอลล์ มองกรอบวันนี้ 31.95-32.10 จับตาเงินไหลออก
- กนง.เล็งปรับเพิ่มจีดีพีปี 61 จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 4.1% หลังสัญญาณเศรษฐกิจดี พร้อมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดยมีกรรมการ 1 ท่านลาประชุม ระบุเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงภายนอก จับตาผลกระทบนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐฯ มาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ รวมถึงความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อ
- กสิกรไทยชี้แนวโน้มเงินบาทในระยะสั้นยังอ่อนค่าหลังต่างชาติยังขายบอนด์ระยะสั้นและเป็นฤดูกาลจ่ายปันผล แต่ยังคงประมาณการเดิมที่ 32.00 และจะทบทวนอีกครั้งในเดือนมิ.ย. ด้านปัจจัยที่ต้องติดตามเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด-นโยบายอีซีบี และภัยธรรมชาติหลังปริมาณน้ำ 2 เขื่อนหลักสูงกว่า 7 ปีก่อน
- กลุ่มสแตนชาร์ดประกาศพร้อมหนุนลูกค้าเข้าลงทุนใน"อีอีซี"ยอมรับหลายรายสนใจเข้าลงทุน ด้านแอร์เอเชียปักหมุดลงทุนเอ็มอาร์โออู่ตะเภา ทุ่ม 4.5 พันล้าน สร้างศูนย์ซ่อมรองรับฝูงบิน 200 ลำ พร้อมหานักลงทุนซับพอร์ตโลว์คอร์สเทอมินัล เสนอลดภาษีสนามบิน 50%
- อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ทย.) เปิดเผยว่า ทย.เตรียมดำเนินการศึกษาวางแผนแม่บทกลยุทธ์ลงทุนระยะยาว 20 ปี ช่วงปี 2561-81 เพื่อพัฒนาสนามบินภูมิภาค 28 แห่งทั่วประเทศภายใต้ ทย.รองรับการเติบโตของปริมาณผู้โดยสาร เฉลี่ยโตปีละกว่า 7% ซึ่งผลการศึกษาแผนแม่บทจะเสร็จภายในปีนี้ หลังจากนั้นจะเริ่มวางแผนพัฒนาสนามบินทุกภูมิภาคในปี 2562 ให้สามารถรองปริมาณผู้โดยสารได้มากกว่า 60 ล้านคน ในปี 2581 จากปีละ 15 ล้านคน/ปี
- นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยสถานการณ์ท่องเที่ยวของไทยในเดือน เม.ย.61 ว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 61 (ม.ค.-เม.ย.) รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยได้แตะ 1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16% แยกเป็น รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 731,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.5% และนักท่องเที่ยวไทย 267,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% หลังจากภาพรวมของเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้คาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวทั้งปีจะถึงเป้าหมาย 3 ล้านล้านบาท โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวประมาณ 37-38 ล้านคน เพิ่มจากปีก่อนที่มี 35 ล้านคน
- รักษาการ รฟท.เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีดเทรน) เชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ว่า รฟท.กำลังศึกษารายละเอียดของพ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) พ.ศ.2561 เพื่อนำมาหาข้อสรุปของเงื่อนไข การเปิดให้เอกชนร่วมประมูลโครงการฯมั่นใจว่าจะเปิดประมูลได้ในเดือนพ.ค.นี้ สำหรับเอกชนที่แสดงความสนใจเข้าร่วมประมูล คือกลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน), บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ส่วนต่างชาติที่จะเข้าร่วมประมูลคือ ญี่ปุ่น จีน สหภาพยุโรป
- ประมูล "เอราวัณ-บงกช"คึกคัก"ศิริ"การันตีไม่ล้ม สิ้นปีได้ผู้ชนะ หลังยักษ์ปิโตรเลียมตบเท้ายื่นหลักฐาน แสดงคุณสมบัติ เผย 4 ใน 5 รายที่ยื่น ขอแข่งทั้ง 2 แหล่ง มีเพียงโททาลพุ่งเป้า "เอราวัณ" บิ๊ก "มูบาดาลา" มั่นใจประสบการณ์ผลิต ภายใต้ระบบ "พีเอสซี" จากทั่วโลก พร้อมโชว์ทุน 5.6 หมื่นล้าน ท้าชิงทั้ง 2 แหล่ง
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (16 พ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,768.93 จุด เพิ่มขึ้น 62.52 จุด (+0.25%) , ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,722.46 จุด เพิ่มขึ้น 11.01 จุด (+0.41%) ,ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,398.30 จุด เพิ่มขึ้น 46.67 จุด (+0.63%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 103.39 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 0.44 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 306.51 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 14.17 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 8.90 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 12.85 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 6.52 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (16 พ.ค.61) 1,750.62 จุด ลดลง 16.24 จุด (-0.92%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,135.46 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 พ.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (16 พ.ค.61) ปิดที่ระดับ 71.49 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 18 เซนต์ หรือเกือบ 0.3%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (16 พ.ค.61) ที่ 6.86 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.03 แนวโน้มแข็งค่าจากแรงขายดอลล์ มองกรอบวันนี้ 31.95-32.10 จับตาเงินไหลออก
- กนง.เล็งปรับเพิ่มจีดีพีปี 61 จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 4.1% หลังสัญญาณเศรษฐกิจดี พร้อมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดยมีกรรมการ 1 ท่านลาประชุม ระบุเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงภายนอก จับตาผลกระทบนโยบายเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐฯ มาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ รวมถึงความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อ
- กสิกรไทยชี้แนวโน้มเงินบาทในระยะสั้นยังอ่อนค่าหลังต่างชาติยังขายบอนด์ระยะสั้นและเป็นฤดูกาลจ่ายปันผล แต่ยังคงประมาณการเดิมที่ 32.00 และจะทบทวนอีกครั้งในเดือนมิ.ย. ด้านปัจจัยที่ต้องติดตามเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด-นโยบายอีซีบี และภัยธรรมชาติหลังปริมาณน้ำ 2 เขื่อนหลักสูงกว่า 7 ปีก่อน
- กลุ่มสแตนชาร์ดประกาศพร้อมหนุนลูกค้าเข้าลงทุนใน"อีอีซี"ยอมรับหลายรายสนใจเข้าลงทุน ด้านแอร์เอเชียปักหมุดลงทุนเอ็มอาร์โออู่ตะเภา ทุ่ม 4.5 พันล้าน สร้างศูนย์ซ่อมรองรับฝูงบิน 200 ลำ พร้อมหานักลงทุนซับพอร์ตโลว์คอร์สเทอมินัล เสนอลดภาษีสนามบิน 50%
- อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ทย.) เปิดเผยว่า ทย.เตรียมดำเนินการศึกษาวางแผนแม่บทกลยุทธ์ลงทุนระยะยาว 20 ปี ช่วงปี 2561-81 เพื่อพัฒนาสนามบินภูมิภาค 28 แห่งทั่วประเทศภายใต้ ทย.รองรับการเติบโตของปริมาณผู้โดยสาร เฉลี่ยโตปีละกว่า 7% ซึ่งผลการศึกษาแผนแม่บทจะเสร็จภายในปีนี้ หลังจากนั้นจะเริ่มวางแผนพัฒนาสนามบินทุกภูมิภาคในปี 2562 ให้สามารถรองปริมาณผู้โดยสารได้มากกว่า 60 ล้านคน ในปี 2581 จากปีละ 15 ล้านคน/ปี
- นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยสถานการณ์ท่องเที่ยวของไทยในเดือน เม.ย.61 ว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 61 (ม.ค.-เม.ย.) รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยได้แตะ 1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16% แยกเป็น รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 731,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.5% และนักท่องเที่ยวไทย 267,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% หลังจากภาพรวมของเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้คาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวทั้งปีจะถึงเป้าหมาย 3 ล้านล้านบาท โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวประมาณ 37-38 ล้านคน เพิ่มจากปีก่อนที่มี 35 ล้านคน
- รักษาการ รฟท.เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีดเทรน) เชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ว่า รฟท.กำลังศึกษารายละเอียดของพ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) พ.ศ.2561 เพื่อนำมาหาข้อสรุปของเงื่อนไข การเปิดให้เอกชนร่วมประมูลโครงการฯมั่นใจว่าจะเปิดประมูลได้ในเดือนพ.ค.นี้ สำหรับเอกชนที่แสดงความสนใจเข้าร่วมประมูล คือกลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน), บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ส่วนต่างชาติที่จะเข้าร่วมประมูลคือ ญี่ปุ่น จีน สหภาพยุโรป
- ประมูล "เอราวัณ-บงกช"คึกคัก"ศิริ"การันตีไม่ล้ม สิ้นปีได้ผู้ชนะ หลังยักษ์ปิโตรเลียมตบเท้ายื่นหลักฐาน แสดงคุณสมบัติ เผย 4 ใน 5 รายที่ยื่น ขอแข่งทั้ง 2 แหล่ง มีเพียงโททาลพุ่งเป้า "เอราวัณ" บิ๊ก "มูบาดาลา" มั่นใจประสบการณ์ผลิต ภายใต้ระบบ "พีเอสซี" จากทั่วโลก พร้อมโชว์ทุน 5.6 หมื่นล้าน ท้าชิงทั้ง 2 แหล่ง
*หุ้นเด่นวันนี้
- SPA (ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี) แนะ"ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 21.20 บาท แม้กำไรสุทธิไตรมาส 1/61 จะต่ำกว่าที่คาด 7% ที่ 56 ล้านบาท (+24.4% yoy, +23.2% qoq) แต่เป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งและเป็นไตรมาสที่สูงสุด โดยการเติบโตของกำไรที่ดีมาจาก 1) SSSG ที่ +14.5% และ 2) จำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น 13 สาขาเมื่อ 12 เดือนที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ได้ลดประมาณการ FY61-63F โดยลด EPS ลง 6-8% เพื่อสะท้อนผลดำเนินการที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 1/61 แต่ยังคงมุมมองเชิงบวกกับ SPA จาก 1) จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น 2) รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากสินค้า spa และ 3) การเปิดสาขาในต่างประเทศ
- BANPU (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) แนะ"T-BUY" ราคาเป้าหมาย 25 บาท โดยมีมุมมองเป็นกลางจากการประชุมนักวิเคราะห์แนวโน้มตลาดถ่านหินในปี 61 คาดตึงตัว หนุนโดยการเติบโตของอุปสงค์การใช้ถ่านหิน ขณะที่อุปทานใหม่มีแนวโน้มทำได้ต่ำกว่าคาด รวมถึงต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นจะช่วยผลักดันราคาถ่านหินให้ยืนต่อได้ในระดับสูง จากแนวโน้มผลประกอบการ 2Q61 ที่คาดฟื้นตัวทั้งจากกำไรจากการดำเนินงานของธุรกิจถ่านหินและไฟฟ้า รวมถึงรายจ่ายพิเศษที่ไม่เกิดซ้ำ
- GULF(เคทีบีฯ) แนะ"ซื้อ"ราคาเหมาะสม 80 บาท เมื่อวานนี้ GULF แจ้งบริษัทย่อย GIH เซ็นสัญญาร่วมทุนถือหุ้น 49% พัฒนาโซลาร์ฟาร์มโครงการ TTCIZ-02 ในเวียดนาม 50 MW มูลค่าโครงการ 53.40 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1,700 ล้านบาท คาดเริ่มสร้างไตรมาส 3/61 มุมมองเชิงบวกต่อพัฒนาการธุรกิจในเวียดนามซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากการร่วมทุนก่อนหน้า ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตรวมในเวียดนามตอนนี้ราว 100MW (GULF ถือ 49%) เดินหน้าตามแผนใน Pipeline ที่ตั้งเป้าลงทุนโซล่าในเวียดนาม 200MW ทั้งนี้โครงการดังกล่าวมีกำหนด COD ในช่วงกลางปี 62
- BANPU (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) แนะ"T-BUY" ราคาเป้าหมาย 25 บาท โดยมีมุมมองเป็นกลางจากการประชุมนักวิเคราะห์แนวโน้มตลาดถ่านหินในปี 61 คาดตึงตัว หนุนโดยการเติบโตของอุปสงค์การใช้ถ่านหิน ขณะที่อุปทานใหม่มีแนวโน้มทำได้ต่ำกว่าคาด รวมถึงต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นจะช่วยผลักดันราคาถ่านหินให้ยืนต่อได้ในระดับสูง จากแนวโน้มผลประกอบการ 2Q61 ที่คาดฟื้นตัวทั้งจากกำไรจากการดำเนินงานของธุรกิจถ่านหินและไฟฟ้า รวมถึงรายจ่ายพิเศษที่ไม่เกิดซ้ำ
- GULF(เคทีบีฯ) แนะ"ซื้อ"ราคาเหมาะสม 80 บาท เมื่อวานนี้ GULF แจ้งบริษัทย่อย GIH เซ็นสัญญาร่วมทุนถือหุ้น 49% พัฒนาโซลาร์ฟาร์มโครงการ TTCIZ-02 ในเวียดนาม 50 MW มูลค่าโครงการ 53.40 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1,700 ล้านบาท คาดเริ่มสร้างไตรมาส 3/61 มุมมองเชิงบวกต่อพัฒนาการธุรกิจในเวียดนามซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากการร่วมทุนก่อนหน้า ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตรวมในเวียดนามตอนนี้ราว 100MW (GULF ถือ 49%) เดินหน้าตามแผนใน Pipeline ที่ตั้งเป้าลงทุนโซล่าในเวียดนาม 200MW ทั้งนี้โครงการดังกล่าวมีกำหนด COD ในช่วงกลางปี 62
ตลาดหุ้นเอเชียดีดตัวขึ้นเช้านี้ หลังบอนด์ยีลด์สหรัฐชะลอตัว
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดบวกเมื่อคืน โดยได้รับแรงหนุนจากการอ่อนตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ โดยเมื่อคืนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ลดลงสู่ระดับ 3.063% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 3.188% หลังจากที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,820.62 จุด เพิ่มขึ้น 103.39 จุด, +0.46% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,170.01 จุด เพิ่มขึ้น 0.44 จุด, +0.01% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 31,416.71 จุด เพิ่มขึ้น 306.51 จุด, +0.99% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,911.74 จุด เพิ่มขึ้น 14.17 จุด, +0.13% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,468.72 จุด เพิ่มขึ้น 8.90 จุด, +0.36% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,545.90 จุด เพิ่มขึ้น 12.85 จุด, +0.36% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,864.78 จุด เพิ่มขึ้น 6.52 จุด, +0.35%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ โดยการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 0.7% ในเดือนเม.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6%
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีการผลิตเดือนพ.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 11.22 จุด รับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดดีดตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนเมื่อคืนนี้ (15 พ.ค.) ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงเบอร์เบอร์รี่ ผู้ผลิตสินค้าหรูรายใหญ่ นอกจากนี้ การที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องยังเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นบริษัทข้ามชาติ
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนเพิ่มขึ้น 11.22 จุด หรือ +0.15% ปิดที่ 7,734.20 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.ปีนี้
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนได้รับปัจจัยหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทเบอร์เบอร์รี่ ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ผลกำไรตลอดปีงบการเงิน 2561 และประกาศแผนการซื้อหุ้นคืนจากนักลงทุนมูลค่าทั้งสิ้น 150 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 202.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นเบอร์เบอร์รี่ปิดตลาดพุ่งขึ้น 3.6%
หุ้นแพดดี้ เพาเวอร์ เบทแฟร์ ซึ่งเป็นบริษัทพนันออนไลน์ พุ่งขึ้น 6.3% หลังจากมีรายงานว่าทางบริษัทกำลังเจรจาควบรวมกิจการกับบริษัทแฟนดูอัล อิงค์ ของสหรัฐ นอกจากนี้ หุ้นแพดดี้ เพาเวอร์ เบทแฟร์ ยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่รายงานที่ว่า ศาลฎีกาสหรัฐมีคำวินิจฉัยเห็นพ้องกับรัฐบาลของรัฐนิวเจอร์ซีย์ที่ได้ออกกฎหมายในปี 2557 ให้การรับรองการพนันกีฬาในกาสิโน และสนามม้าในรัฐ
หุ้นไมโคร โฟกัส อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ พุ่งขึ้น 6.2% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์ยังช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก ขานรับยูโรอ่อน,ผลประกอบการแข็งแกร่ง
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (16 พ.ค.) เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโรและเงินปอนด์ได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มบริษัทส่งออก นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงเบอร์เบอร์รี่ ผู้ผลิตสินค้าหรูรายใหญ่
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.2% ปิดที่ 393.21 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.ปีนี้
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,996.33 จุด เพิ่มขึ้น 26.29 จุด หรือ +0.20% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,567.54 จุด เพิ่มขึ้น 14.38 จุด หรือ +0.26% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,734.20 จุด เพิ่มขึ้น 11.22 จุด หรือ +0.15%
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวก เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินยูโรและเงินปอนด์ได้ช่วยหนุนหุ้นบริษัทข้ามชาติ โดยยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อันเนื่องมาจากสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอนในอิตาลี หลังจากพรรค Five Star Movement และพรรค League ซึ่งเป็นพรรคการเมือง 2 พรรคที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลี ได้แสดงความการที่จะนำอิตาลีออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) พร้อมกับเรียกร้องให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยกเลิกหนี้สาธารณะของอิตาลี
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับปัจจัยหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทเบอร์เบอร์รี่ ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ผลกำไรตลอดปีงบการเงิน 2561 และประกาศแผนการซื้อหุ้นคืนจากนักลงทุนมูลค่าทั้งสิ้น 150 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 202.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นเบอร์เบอร์รี่ปิดตลาดพุ่งขึ้น 3.6%
หุ้นแพดดี้ เพาเวอร์ เบทแฟร์ ซึ่งเป็นบริษัทพนันออนไลน์ พุ่งขึ้น 6.3% หลังจากมีรายงานว่าทางบริษัทกำลังเจรจาควบรวมกิจการกับบริษัทแฟนดูอัล อิงค์ ของสหรัฐ นอกจากนี้ หุ้นแพดดี้ เพาเวอร์ เบทแฟร์ ยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่รายงานที่ว่า ศาลฎีกาสหรัฐมีคำวินิจฉัยเห็นพ้องกับรัฐบาลของรัฐนิวเจอร์ซีย์ที่ได้ออกกฎหมายในปี 2557 ให้การรับรองการพนันกีฬาในกาสิโน และสนามม้าในรัฐ
หุ้นไมโคร โฟกัส อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์รายใหญ่ พุ่งขึ้น 6.2% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561
หุ้นอัลสตอม เอสเอ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถไฟรายใหญ่ของฝรั่งเศส พุ่งขึ้น 3.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรประจำปีงบการเงินพุ่งขึ้นกว่า 60% และประกาศจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 62.52 จุด รับหุ้นค้าปลีกพุ่ง,บอนด์ยีลด์ชะลอตัว
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (16 พ.ค.) โดยได้รับปัจจัยบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มค้าปลีก หลังจากเมซีส์ อิงค์ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ของสหรัฐ รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาส 1 นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ หลังจากที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,768.93 จุด เพิ่มขึ้น 62.52 จุด หรือ +0.25% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,722.46 จุด เพิ่มขึ้น 11.01 จุด หรือ +0.41% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,398.30 จุด เพิ่มขึ้น 46.67 จุด หรือ +0.63%
หุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวขึ้นถ้วนหน้า หลังจากเมซีส์ อิงค์ เปิดเผยกำไรในไตรมาส 1 ที่ระดับ 48 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 37 เซนต์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ 5.5 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.4 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ เมซีส์ยังระบุว่า ยอดขายพุ่งขึ้น 4.2% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 1.4%
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดได้ช่วยหนุนราคาหุ้นเมอร์ซีส์ปิดตลาดพุ่งขึ้น 10.8% และยังเป็นปัจจัยหนุนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มค้าปลีกดีดตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นเจ.ซี. เพนนี พุ่งขึ้น 5.5% หุ้นโคห์ล คอร์ป พุ่งขึ้น 2% หุ้นนอร์ดสตรอม ดีดตัวขึ้น 2.4% หุ้นทาร์เก็ต ทะยานขึ้น 3% หุ้นวอลมาร์ท ปรับตัวขึ้น 1.9% และหุ้นเซียร์ส โฮลดิ้งส์ พุ่งขึ้น 8.5%
หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬาชั้นนำ พุ่งขึ้น 6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 1 ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ ทะยานขึ้นไปกว่า 37% นับตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้
หุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ พุ่งขึ้น 4.6% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์อาร์บีเอสได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ และยังได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ 80 ดอลลาร์
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ โดยเมื่อคืนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ลดลงสู่ระดับ 3.063% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 3.188%
สำหรับปัจจัยที่ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ มาจากการที่นักลงทุนหันกลับมาซื้อพันธบัตรในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อันเนื่องมาจากความวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี หลังจากเกาหลีเหนือได้ตัดสินใจยกเลิกการประชุมระดับรัฐมนตรีกับเกาหลีใต้ซึ่งเดิมมีกำหนดจัดขึ้นเมื่อวานนี้ โดยอ้างถึงการซ้อมรบระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐที่ดำเนินไปในขณะนี้ นอกจากนี้ นอกจากนี้ เกาหลีเหนือยังขู่ที่จะยกเลิกการประชุมสุดยอดระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่สิงคโปร์ในวันที่ 12 มิ.ย.นี้
ทั้งนี้ ราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจของที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ รวมถึงการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.ซึ่งปรับตัวขึ้น 0.7% ในเดือนเม.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% ขณะที่ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 3.7% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.287 ล้านยูนิต โดยได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนที่ดินในการสร้างบ้าน และการขาดแรงงานทักษะ
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีการผลิตเดือนพ.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย
--อินโฟเควสท์
OO8862