- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Monday, 07 May 2018 12:04
- Hits: 5781
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ผันผวนกรอบแคบ แม้ราคาน้ำมันพุ่ง แต่ยังกังวลแรงขายของต่างชาติ ,ปัญหาการค้าสหรัฐฯ-จีน
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยเช้านี้จะยังผันผวนในกรอบแคบ หากปรับตัวขึ้นได้ก็ยังอยู่ในกรอบจำกัด หลัง Fund Flow ยังมีทิศทางไหลออกต่อเนื่อง ซึ่งก็จะกดดันไม่ให้หุ้นใหญ่ขยับตัวขึ้นได้ก็จะยังมีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี รวมถึงนักลงทุนยังมีความกังวลต่อปัญหาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนอยู่
ส่วนปัจจัยแวดล้อมจากต่างประเทศ ทั้งในส่วนของราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้น และตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ แม้จะไม่ได้เป็นลบต่อตลาดหุ้นไทย แต่ก็เชื่อว่าจะไม่สามารถผลักดันตลาดได้มากนัก เนื่องจากตลาดยังถูกกดดันจากทิศทางการลงทุนของ Fund Flow เป็นหลัก ขณะที่นักลงทุนยังจับตาการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/61 ของบจ.ที่ทยอยออกมาในช่วงนี้ด้วย
พร้อมให้แนวรับบริเวณ 1,770 จุด และแนวต้านที่ 1,785 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยเช้านี้จะยังผันผวนในกรอบแคบ หากปรับตัวขึ้นได้ก็ยังอยู่ในกรอบจำกัด หลัง Fund Flow ยังมีทิศทางไหลออกต่อเนื่อง ซึ่งก็จะกดดันไม่ให้หุ้นใหญ่ขยับตัวขึ้นได้ก็จะยังมีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี รวมถึงนักลงทุนยังมีความกังวลต่อปัญหาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนอยู่
ส่วนปัจจัยแวดล้อมจากต่างประเทศ ทั้งในส่วนของราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้น และตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ แม้จะไม่ได้เป็นลบต่อตลาดหุ้นไทย แต่ก็เชื่อว่าจะไม่สามารถผลักดันตลาดได้มากนัก เนื่องจากตลาดยังถูกกดดันจากทิศทางการลงทุนของ Fund Flow เป็นหลัก ขณะที่นักลงทุนยังจับตาการประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/61 ของบจ.ที่ทยอยออกมาในช่วงนี้ด้วย
พร้อมให้แนวรับบริเวณ 1,770 จุด และแนวต้านที่ 1,785 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (4 พ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,262.51 จุด เพิ่มขึ้น 332.36 จุด (+1.39%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,663.42 จุด เพิ่มขึ้น 33.69 จุด (+1.28%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,209.62 จุด เพิ่มขึ้น 121.47 จุด (+1.71%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 40.44 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 3.87 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 175.56 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 52.41 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 8.09 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.73 จุด
ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันหยุดชดเชยวันเด็ก
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (4 พ.ค.61) 1,779.87 จุด ลดลง 10.93 จุด (-0.61%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,150.48 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 พ.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (4 พ.ค.61) ปิดที่ระดับ 69.72 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.29 เซนต์ หรือ 1.9%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (4 พ.ค.61) ที่ 6.05 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.71 แนวโน้มอ่อนค่า มองกรอบวันนี้ 31.65-31.80 นักลงทุนรอตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้
- ธปท.เตรียมเปิดอนุญาตให้บริการแพลตฟอร์มให้กู้ยืมเงินระหว่างบุคคล หรือพีทูพีเลนดิ้ง รอคลังเซ็นออกประกาศเกณฑ์กำกับดูแลเร็ว ๆ นี้ ก่อนทดสอบในแซนด์บ็อกซ์ ช่วยให้เอสเอ็มอี เข้าถึงแหล่งเงินกู้ง่ายขึ้น และมีต้นทุนที่ถูกลง เผยมี 2 ส่วนคือแพลตฟอร์มสำหรับประชาชนทั่วไปอยู่ภายใต้ธปท. ส่วนแพลตฟอร์มสำหรับนิติบุคคลให้ก.ล.ต.กำกับ
- ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี (TMB Analytics) ระบุจากตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดเดือนเมษายนที่ระดับ 1.07% กลับสู่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของ ธปท. ที่ 1-4% แล้ว โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะในหมวดคมนาคมขนส่งและหมวดอาหารสดที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยแรงส่งดังกล่าวจะทำให้อัตราเงินเฟ้อปีนี้ยืนอยู่ในกรอบเป้าหมายของธปท.ได้ มีระดับเฉลี่ยทั้งปีที่ 1.1% หนุนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 1 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี
- สคร.เปิดเผยถึงความคืบหน้าการหาพันธมิตรให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือไอแบงก์ ว่า อาจจะใช้วิธีการบริหารจัดการแบงก์เองไปก่อน เพราะผลดำเนินงานปีนี้คาดว่ามีกำไร ที่ผ่านมามีการโอนหนี้เสียราว 5 หมื่นล้านบาท มาที่เอเอ็มซีไอแบงก์แล้ว ขณะที่เตรียมเงินเพิ่มทุนในไอแบงก์ ไว้แล้ว 1.8 หมื่นล้านบาท ขณะนี้รอเพียงกฎหมายประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้คลังสามารถถือหุ้นเกินกว่า 49% ซึ่งการเพิ่มทุนนั้นจะทยอยเพิ่มทุนตามความต้องการใช้เงิน และตามประสิทธิภาพของแบงก์
- ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานอู่ตะเภา เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเปิดประมูลการบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 วงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดเงื่อนไขการประกวดราคา (ทีโออาร์) คาดจะสามารถเปิดประมูลได้ภายในเดือน มิ.ย. นี้ โดยเป็นการประมูลในรูปแบบให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐแบบ PPP ขนาดเล็ก ประกอบด้วย 1.กิจกรรมเชิงพาณิชย์ประเภทร้านค้าและบริการ และประเภทอาหารและเครื่องดื่มและ 2.กิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ซึ่งแต่ละกิจกรรมจะเปิดประมูลเป็นสัญญาเดียว มีอายุสัญญา 10 ปี
- กระทรวงอุตสาหกรรม เล็งยกระดับการพัฒนาศักยภาพ นครราชสีมา หนุนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ตั้งศูนย์ทดสอบ คุยเอกชนน้ำตาลต่อยอดเคมีชีวภาพ คาดชงครม.สัญจร 8 พ.ค.นี้ ขณะที่ก่อนกาประชุมครม.สัญจรครั้งนี้ ครม.จะร่วมประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคอีสานตอนล่าง 1(นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์) กับหน่วยงานในพื้นที่ เตรียมชง 121 โครงการงบประมาณ 20,706 ล้านบาท ชู "บุรีรัมย์" เป็นสปอร์ตซิตี้ ขยายสนามบินรับแข่งโมโตจีพี
- "ธนารักษ์" เปิดเผยความคืบหน้าการทำโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ ว่าในเดือน พ.ค.นี้ กรมจะนำที่ราชพัสดุทั้งหมด 10 แปลง ใน 8 จังหวัด มาเปิดประมูลให้เอกชนเข้าร่วมประมูลก่อสร้างและบริหารโครงการบ้านคนไทยประชารัฐได้ เพื่อช่วยเหลือให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยราคาถูก 3.5-7 แสนบาท ซึ่งหากการดำเนินการเป็นไปตามแผน คาดว่าจะเปิดให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าร่วมจองสิทธิได้ภายในปลายปี และสร้างเสร็จให้เข้าพักอาศัยได้ภายในปี 2562
- บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังรัฐบาลประกาศพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ใน จ.ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง ส่งผลให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 30-50% โดยเฉพาะ อ.ศรีราชา ปัจจุบันติดถนนราคาสูงถึงไร่ละ 80-100 ล้านบาท ติดทะเลไร่ละประมาณ 120 ล้านบาท ขณะที่ราคาที่ดินใน อ.สัตหีบ ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ก็ขยับตัวสูงขึ้นไม่แพ้กัน
- นายกสมาคมการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการท่องเที่ยว (อีทีเอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีเอสเอ็มอี ติดต่อขอใช้แพลตฟอร์มของบริษัท อีทีเอ มันนี่ เพื่อระดมทุนด้วยการเสนอขายเหรียญดิจิทัล อีทีเอ คอยน์ ประมาณ 50 บริษัทที่เป็นสมาชิกอีทีเอ มีมูลค่ารวมประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะออกขายได้ภายในปีนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้มีเอสเอ็มอีออกและเสนอขาย จากที่เสนอขายไปแล้ว 8 บริษัท วงเงิน 300 ล้านบาท
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (4 พ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,262.51 จุด เพิ่มขึ้น 332.36 จุด (+1.39%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,663.42 จุด เพิ่มขึ้น 33.69 จุด (+1.28%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,209.62 จุด เพิ่มขึ้น 121.47 จุด (+1.71%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 40.44 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 3.87 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 175.56 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 52.41 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 8.09 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.73 จุด
ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันหยุดชดเชยวันเด็ก
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (4 พ.ค.61) 1,779.87 จุด ลดลง 10.93 จุด (-0.61%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,150.48 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 พ.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (4 พ.ค.61) ปิดที่ระดับ 69.72 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.29 เซนต์ หรือ 1.9%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (4 พ.ค.61) ที่ 6.05 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.71 แนวโน้มอ่อนค่า มองกรอบวันนี้ 31.65-31.80 นักลงทุนรอตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้
- ธปท.เตรียมเปิดอนุญาตให้บริการแพลตฟอร์มให้กู้ยืมเงินระหว่างบุคคล หรือพีทูพีเลนดิ้ง รอคลังเซ็นออกประกาศเกณฑ์กำกับดูแลเร็ว ๆ นี้ ก่อนทดสอบในแซนด์บ็อกซ์ ช่วยให้เอสเอ็มอี เข้าถึงแหล่งเงินกู้ง่ายขึ้น และมีต้นทุนที่ถูกลง เผยมี 2 ส่วนคือแพลตฟอร์มสำหรับประชาชนทั่วไปอยู่ภายใต้ธปท. ส่วนแพลตฟอร์มสำหรับนิติบุคคลให้ก.ล.ต.กำกับ
- ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี (TMB Analytics) ระบุจากตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดเดือนเมษายนที่ระดับ 1.07% กลับสู่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของ ธปท. ที่ 1-4% แล้ว โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะในหมวดคมนาคมขนส่งและหมวดอาหารสดที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยแรงส่งดังกล่าวจะทำให้อัตราเงินเฟ้อปีนี้ยืนอยู่ในกรอบเป้าหมายของธปท.ได้ มีระดับเฉลี่ยทั้งปีที่ 1.1% หนุนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 1 ครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี
- สคร.เปิดเผยถึงความคืบหน้าการหาพันธมิตรให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือไอแบงก์ ว่า อาจจะใช้วิธีการบริหารจัดการแบงก์เองไปก่อน เพราะผลดำเนินงานปีนี้คาดว่ามีกำไร ที่ผ่านมามีการโอนหนี้เสียราว 5 หมื่นล้านบาท มาที่เอเอ็มซีไอแบงก์แล้ว ขณะที่เตรียมเงินเพิ่มทุนในไอแบงก์ ไว้แล้ว 1.8 หมื่นล้านบาท ขณะนี้รอเพียงกฎหมายประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้คลังสามารถถือหุ้นเกินกว่า 49% ซึ่งการเพิ่มทุนนั้นจะทยอยเพิ่มทุนตามความต้องการใช้เงิน และตามประสิทธิภาพของแบงก์
- ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานอู่ตะเภา เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเปิดประมูลการบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 วงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดเงื่อนไขการประกวดราคา (ทีโออาร์) คาดจะสามารถเปิดประมูลได้ภายในเดือน มิ.ย. นี้ โดยเป็นการประมูลในรูปแบบให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐแบบ PPP ขนาดเล็ก ประกอบด้วย 1.กิจกรรมเชิงพาณิชย์ประเภทร้านค้าและบริการ และประเภทอาหารและเครื่องดื่มและ 2.กิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ซึ่งแต่ละกิจกรรมจะเปิดประมูลเป็นสัญญาเดียว มีอายุสัญญา 10 ปี
- กระทรวงอุตสาหกรรม เล็งยกระดับการพัฒนาศักยภาพ นครราชสีมา หนุนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ตั้งศูนย์ทดสอบ คุยเอกชนน้ำตาลต่อยอดเคมีชีวภาพ คาดชงครม.สัญจร 8 พ.ค.นี้ ขณะที่ก่อนกาประชุมครม.สัญจรครั้งนี้ ครม.จะร่วมประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคอีสานตอนล่าง 1(นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์) กับหน่วยงานในพื้นที่ เตรียมชง 121 โครงการงบประมาณ 20,706 ล้านบาท ชู "บุรีรัมย์" เป็นสปอร์ตซิตี้ ขยายสนามบินรับแข่งโมโตจีพี
- "ธนารักษ์" เปิดเผยความคืบหน้าการทำโครงการบ้านคนไทยประชารัฐ ว่าในเดือน พ.ค.นี้ กรมจะนำที่ราชพัสดุทั้งหมด 10 แปลง ใน 8 จังหวัด มาเปิดประมูลให้เอกชนเข้าร่วมประมูลก่อสร้างและบริหารโครงการบ้านคนไทยประชารัฐได้ เพื่อช่วยเหลือให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยราคาถูก 3.5-7 แสนบาท ซึ่งหากการดำเนินการเป็นไปตามแผน คาดว่าจะเปิดให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าร่วมจองสิทธิได้ภายในปลายปี และสร้างเสร็จให้เข้าพักอาศัยได้ภายในปี 2562
- บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังรัฐบาลประกาศพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ใน จ.ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง ส่งผลให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 30-50% โดยเฉพาะ อ.ศรีราชา ปัจจุบันติดถนนราคาสูงถึงไร่ละ 80-100 ล้านบาท ติดทะเลไร่ละประมาณ 120 ล้านบาท ขณะที่ราคาที่ดินใน อ.สัตหีบ ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ก็ขยับตัวสูงขึ้นไม่แพ้กัน
- นายกสมาคมการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อการท่องเที่ยว (อีทีเอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีเอสเอ็มอี ติดต่อขอใช้แพลตฟอร์มของบริษัท อีทีเอ มันนี่ เพื่อระดมทุนด้วยการเสนอขายเหรียญดิจิทัล อีทีเอ คอยน์ ประมาณ 50 บริษัทที่เป็นสมาชิกอีทีเอ มีมูลค่ารวมประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะออกขายได้ภายในปีนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้มีเอสเอ็มอีออกและเสนอขาย จากที่เสนอขายไปแล้ว 8 บริษัท วงเงิน 300 ล้านบาท
*หุ้นเด่นวันนี้
- IRPC (ทรีนีตี้) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 8 บาท/หุ้น หลังประกาศกำไรสุทธิในไตรมาส 1/61 ที่ 2,735 ล้านบาท -39% qoq, +16% yoy โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 66,094 ล้านบาท +5% qoq, +66% yoy ซึ่งยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นตามราคาขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น และส่วนกำไรสุทธิที่ลดลงเยอะเมื่อเปรียบเทียบ qoq ส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก Stock Gain ที่ลดลง ขณะที่คาดผลประกอบการไตรมาส 2/61 จะยังบวกได้เล็กน้อยจาก 1) Crude Premium ที่เริ่มปรับลดลง 2) ปริมาณการผลิตโอลิฟินส์ที่จะกลับมาเป็นปกติ 3) รับรู้กำไรจากการอนุพันธ์ประมาณ 300-400 ล้านบาท ขณะที่ตลาดได้ตอบสนองเรื่องผลประกอบการที่ออกมาไมได้โดดเด่นมากไปแล้ว ยังมองว่าระยะสั้นหุ้นอาจจะยัง Sideway เนื่องจากอาจจะยังไม่มีปัจจัยใหม่ ๆ และราคาน้ำมันที่มี Downside Risk
- BBL (แอพเพิล เวลธ์) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 220 บาท/หุ้น หลังกำไร 1Q61 ออกมาใกล้เคียงคาดและความได้เปรียบในเรื่องของฐานลูกค้า corporate ที่เป็นกลุ่มธุรกิจเอกชนและกลุ่มธุรกิจที่อิงโครงการภาครัฐ ทำให้มองว่าสินเชื่อจะกลับมาเติบโตได้ดีในครึ่งปีหลัง คงประมาณการกำไรสุทธิปี 61 ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท +10% YoY โดยการประชุมนักวิเคราะห์ที่ผ่านมา BBL คงเป้าขยายสินเชื่อปีนี้ที่ 5-6% แม้ใน 1Q61 ยอดสินเชื่อจะหดตัว -1.3%QoQ เนื่องจากการชำระคืน working cap ของ corporate, retail และต่างประเทศ ซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาล นอกจากนี้ยังเป็นการครบกำหนดชำระ term loan บางรายการซึ่งกระทบช่วงสั้น ทั้งนี้ ผู้บริหารมองว่าสินเชื่อมีโอกาสจะกลับมาเร่งตัวในครึ่งปีหลังจากการลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐที่ทยอยเบิกจ่าย โดยธนาคารยังคงเป้าหมายทางการเงินทุกรายการ รักษา NIM ไม่ต่ำกว่า 2.2%, NPL ไม่เกิน 3.9%, สำรอง Provision ราว 2 หมื่นล้านบาท Cost to Income ที่ราว 44-46%
- TPIPP (เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท/หุ้น หลังประกาศผลประกอบการ 1Q61 มีกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดใหม่ 754 ล้านบาท โตจากไตรมาสก่อน 27%qoq และ ปีก่อน 8%YoY มากกว่าที่คาดหมายไว้ 700 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่สำคัญจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ 70MW (TG6) รวมกับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง 30MW (TG4) ได้จำหน่ายไฟฟ้าให้กฟผ. 90MW และ ได้ adder 3.50 บาท เพิ่มเติมจากค่าไฟฟ้าพื้นฐาน 7 ปี ได้เริ่มต้น COD เมื่อวันที่ 5 เม.ย. ที่ผ่านมามีการเดินเครื่องดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งโรงไฟฟ้า TG4+TG6 คาดจะช่วยเพิ่มกำไรประมาณ 2-2.5 พันล้านบาทต่อปี ทำให้กำไรตั้งแต่ไตรมาสสองจะเติบโตแบบก้าวกระโดดมากกว่าพันล้านบาท ขณะที่ TPIPP ไม่มีภาระหนี้เงินกู้ มีเงินสดและเงินลงทุนชั่วคราว 3.3 พันล้านบาท คาดจะมีการจ่ายเงินปันผลสำหรับกำไรไตรมาสแรกประมาณ 0.07-0.09 บาทต่อหุ้น
- BBL (แอพเพิล เวลธ์) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 220 บาท/หุ้น หลังกำไร 1Q61 ออกมาใกล้เคียงคาดและความได้เปรียบในเรื่องของฐานลูกค้า corporate ที่เป็นกลุ่มธุรกิจเอกชนและกลุ่มธุรกิจที่อิงโครงการภาครัฐ ทำให้มองว่าสินเชื่อจะกลับมาเติบโตได้ดีในครึ่งปีหลัง คงประมาณการกำไรสุทธิปี 61 ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท +10% YoY โดยการประชุมนักวิเคราะห์ที่ผ่านมา BBL คงเป้าขยายสินเชื่อปีนี้ที่ 5-6% แม้ใน 1Q61 ยอดสินเชื่อจะหดตัว -1.3%QoQ เนื่องจากการชำระคืน working cap ของ corporate, retail และต่างประเทศ ซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาล นอกจากนี้ยังเป็นการครบกำหนดชำระ term loan บางรายการซึ่งกระทบช่วงสั้น ทั้งนี้ ผู้บริหารมองว่าสินเชื่อมีโอกาสจะกลับมาเร่งตัวในครึ่งปีหลังจากการลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐที่ทยอยเบิกจ่าย โดยธนาคารยังคงเป้าหมายทางการเงินทุกรายการ รักษา NIM ไม่ต่ำกว่า 2.2%, NPL ไม่เกิน 3.9%, สำรอง Provision ราว 2 หมื่นล้านบาท Cost to Income ที่ราว 44-46%
- TPIPP (เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 8.50 บาท/หุ้น หลังประกาศผลประกอบการ 1Q61 มีกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดใหม่ 754 ล้านบาท โตจากไตรมาสก่อน 27%qoq และ ปีก่อน 8%YoY มากกว่าที่คาดหมายไว้ 700 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่สำคัญจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ 70MW (TG6) รวมกับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง 30MW (TG4) ได้จำหน่ายไฟฟ้าให้กฟผ. 90MW และ ได้ adder 3.50 บาท เพิ่มเติมจากค่าไฟฟ้าพื้นฐาน 7 ปี ได้เริ่มต้น COD เมื่อวันที่ 5 เม.ย. ที่ผ่านมามีการเดินเครื่องดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งโรงไฟฟ้า TG4+TG6 คาดจะช่วยเพิ่มกำไรประมาณ 2-2.5 พันล้านบาทต่อปี ทำให้กำไรตั้งแต่ไตรมาสสองจะเติบโตแบบก้าวกระโดดมากกว่าพันล้านบาท ขณะที่ TPIPP ไม่มีภาระหนี้เงินกู้ มีเงินสดและเงินลงทุนชั่วคราว 3.3 พันล้านบาท คาดจะมีการจ่ายเงินปันผลสำหรับกำไรไตรมาสแรกประมาณ 0.07-0.09 บาทต่อหุ้น
ตลาดหุ้นเอเชียบวกเช้านี้ ขานรับดาวโจนส์ปิดพุ่งกว่า 300 จุด
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นเช้านี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดพุ่งขึ้นกว่า 300 จุดเมื่อวันศุกร์ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี รวมถึงอัตราว่างงานสหรัฐที่ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 18 ปี
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,513.22 จุด เพิ่มขึ้น 40.44 จุด, +0.18% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,094.90 จุด เพิ่มขึ้น 3.87 จุด, +0.13% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 30,102.06 จุด เพิ่มขึ้น 175.56 จุด, +0.59% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,581.78 จุด เพิ่มขึ้น 52.41 จุด, +0.50% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,553.47 จุด เพิ่มขึ้น 8.09 จุด, +0.23% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,842.56 จุด เพิ่มขึ้น 0.73 จุด, +0.04% ส่วนตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันหยุดชดเชยวันเด็ก
ตลาดได้แรงหนุนจากการที่หุ้นแอปเปิล ซึ่งเป็น 1 ในหุ้น 30 ตัวของดัชนีดาวโจนส์ ทะยานขึ้นถึง 3.92% หลังมีรายงานว่า บริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ ของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีชาวสหรัฐ ได้ทุ่มเงินซื้อหุ้นของบริษัทแอปเปิลมากถึง 75 ล้านหุ้นในไตรมาสแรกของปีนี้ จากเดิมที่มีอยู่แล้วราว 165.3 ล้านหุ้น
ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2543 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 4.0%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก รับตัวเลขอัตราว่างงานสหรัฐ ผลเจรจาสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (4 พ.ค.) ขานรับอัตราการว่างงานของสหรัฐที่ลดลงสู่ระดับ 3.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2543 และยังต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยนักลงทุนมองว่าข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงความแข็งแกร่งในตลาดแรงงานสหรัฐ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังมองว่าสถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นบ้างแล้ว หลังสหรัฐได้เสร็จสิ้นการเจรจาการค้ากับจีนเป็นเวลา 2 วัน
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.6% ปิดที่ 387.03 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,819.60 จุด เพิ่มขึ้น 129.45 จุด หรือ +1.02% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,516.05 จุด เพิ่มขึ้น 14.39 จุด หรือ +0.26% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,567.14 จุด เพิ่มขึ้น 64.45 จุด หรือ +0.86%
การซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยหนุน หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2543 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 4.0%
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังจับตาผลการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีน
สื่อรายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐสามารถบรรลุฉันทามติร่วมกันในบางประเด็น อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันค่อนข้างมากเกี่ยวกับประเด็นอื่นๆ แต่ก็เห็นพ้องกันว่าจะมีการแก้ไขความขัดแย้งทางการค้าผ่านทางการเจรจา
สำหรับหุ้นที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนตลาดได้แก่หุ้นเฟอร์รารี่ ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 7.71% ขานรับผลประกอบการที่ออกมาแข็งแกร่งกว่าการคาดการณ์
ส่วนหุ้นแอร์ฟรานซ์ ปรับตัวลดลงเกือบ 3% หลังทางสายการบินคาดการณ์ว่าปีนี้จะมีกำไรลดลง หลังจากพนักงานหยุดงานประท้วงขอขึ้นค่าจ้าง ซึ่งส่งผลให้ทางสายการบินต้องยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมาก
หุ้นเอชเอสบีซี ปรับตัวลดลงเกือบ 1% หลังเผยกำไรก่อนหักภาษีร่วงลง 4% ในไตรมาส 1 อันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนจากการดำเนินงาน
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวก 64.45 จุด นำโดยหุ้นเหมืองแร่-เงินปอนด์อ่อน
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ (4 พ.ค.) นำโดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และการอ่อนค่าของเงินปอนด์เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,567.14 จุด เพิ่มขึ้น 64.45 จุด หรือ +0.86%
การซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนได้รับปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์เทียบดอลลาร์สหรัฐ ขานรับอัตราการว่างงานของสหรัฐที่ลดลงสู่ระดับ 3.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2543 และยังต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยดัชนี FTSE 100 มีหุ้นกลุ่มบริษัทส่งออกค่อนข้างมาก การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยบวกสำหรับบริษัทส่งออกเหล่านี้
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ เนื่องจากนักลงทุนมองว่าสถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นบ้างแล้ว หลังสหรัฐได้เสร็จสิ้นการเจรจาการค้ากับจีนเป็นเวลา 2 วัน โดยจีนเป็นประเทศที่มีการซื้อโลหะอุตสาหกรรมและโลหะมีค่ารายใหญ่ของโลก ข้อมูลที่เกี่ยวกับจีนจึงมีอิทธิพลต่อหุ้นกลุ่มนี้
หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.79% หุ้นเฟรสนิลโล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.96% และหุ้นอันโตฟากัสตา ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.26%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,567.14 จุด เพิ่มขึ้น 64.45 จุด หรือ +0.86%
การซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนได้รับปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์เทียบดอลลาร์สหรัฐ ขานรับอัตราการว่างงานของสหรัฐที่ลดลงสู่ระดับ 3.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2543 และยังต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยดัชนี FTSE 100 มีหุ้นกลุ่มบริษัทส่งออกค่อนข้างมาก การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยบวกสำหรับบริษัทส่งออกเหล่านี้
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ เนื่องจากนักลงทุนมองว่าสถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นบ้างแล้ว หลังสหรัฐได้เสร็จสิ้นการเจรจาการค้ากับจีนเป็นเวลา 2 วัน โดยจีนเป็นประเทศที่มีการซื้อโลหะอุตสาหกรรมและโลหะมีค่ารายใหญ่ของโลก ข้อมูลที่เกี่ยวกับจีนจึงมีอิทธิพลต่อหุ้นกลุ่มนี้
หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.79% หุ้นเฟรสนิลโล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.96% และหุ้นอันโตฟากัสตา ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.26%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 332.36 จุด นำโดยหุ้นเทคโนโลยี
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดตลาดในแดนบวกเมื่อวันศุกร์ (4 พ.ค.) เช่นเดียวกับดัชนี S&P 500 และ Nasdaq โดยได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ขานรับรายงานข่าวที่ว่าบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ ของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีชาวสหรัฐ ได้ทุ่มเงินซื้อหุ้นของบริษัทแอปเปิลมากถึง 75 ล้านหุ้นในไตรมาสแรกของปีนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,262.51 จุด เพิ่มขึ้น 332.36 จุด หรือ +1.39% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,663.42 จุด เพิ่มขึ้น 33.69 จุด หรือ +1.28% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,209.62 จุด เพิ่มขึ้น 121.47 จุด หรือ +1.71%
ตลาดได้แรงหนุนจากการที่หุ้นแอปเปิล ซึ่งเป็น 1 ในหุ้น 30 ตัวของดัชนีดาวโจนส์ ทะยานขึ้นถึง 3.92% หลังมีรายงานว่า บริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ ของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีชาวสหรัฐ ได้ทุ่มเงินซื้อหุ้นของบริษัทแอปเปิลมากถึง 75 ล้านหุ้นในไตรมาสแรกของปีนี้ จากเดิมที่มีอยู่แล้วราว 165.3 ล้านหุ้น
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ระบุว่า การเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่ซบเซาของสหรัฐ จะช่วยลดแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนเม.ย. โดยเพิ่มขึ้นเพียง 164,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 192,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มขึ้น 135,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2543 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 4.0%
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 4 เซนต์/ชั่วโมง หรือ 0.15% โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.2% จากระดับ 0.3% ในเดือนมี.ค. และเพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 2.7% ในเดือนมี.ค.
ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างต่อชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาผลการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีน
สื่อรายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐสามารถบรรลุฉันทามติร่วมกันในบางประเด็น อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันค่อนข้างมากเกี่ยวกับประเด็นอื่นๆ แต่ก็เห็นพ้องกันว่าจะมีการแก้ไขความขัดแย้งทางการค้าผ่านทางการเจรจา
นอกเหนือจากปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีแล้ว ตลาดยังได้แรงหนุนจากการประกาศผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากหลายๆบริษัท โดยหุ้นของอาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิง อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.35% หลังผลประกอบการไตรมาสสี่ปรากฏว่าอยู่เหนือการคาดการณ์
หุ้นบริษัทโกโปร พุ่งถึง 9.88% ขานรับผลประกอบการดีกว่าการคาดการณ์เช่นกัน
--อินโฟเควสท์
OO8417