WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

26ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีฯเช้านี้แกว่ง Sideway Down ไร้ปัจจัยใหม่หนุน ,กังวลการค้าสหรัฐฯ-จีน
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งตัว Sideway Down เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังคงติดตามการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน วันนี้เป็นวันที่สองซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ปรับตัวลง
สำหรับตลาดหุ้นไทยวันนี้จะมีหุ้นที่ขึ้นเครื่องหมาย XD ราว 30 ตัว ซึ่งกดดันดัชนีไปแล้วถึง 1.5 จุด ประกอบกับเงินทุนต่างชาติยังคงมีทิศทางไหลออกต่อเนื่อง จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ของสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้น และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งขึ้น อย่างไรก็ดี แนะนำให้เข้าเก็งกำไรระยะสั้นอิงตามงบการเงินไตรมาส 1/61
"ช่วงนี้ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากเงินทุนต่างชาติไหลออก และสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯยังอยู่ ประกอบกับวันนี้จะมีหุ้นขึ้นเครื่องหมาย XD อยู่ราว 30 ตัว ซึ่งจะเป็นผลกระทบต่อดัชนี 1.5 จุด แต่อย่างไรก็ตามมองว่าการปรับลงจะไม่มากนัก เพราะงบหลายบริษัทที่ออกมาดีกว่าตลาดคาด"นายอภิชาติ กล่าว
พร้อมให้แนวรับ 1,785 จุด หากหลุดแนวรับดังกล่าวให้มองที่ 1,778-1,780 จุด ส่วนแนวต้าน 1,795 จุด หากผ่านไปได้ให้ดูที่ระดับ 1,800-1,805 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (3 พ.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,930.15 จุด เพิ่มขึ้น 5.17 จุด (+0.02%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,629.73 จุด ลดลง 5.94 จุด (-0.23%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,088.15 จุด ลดลง 12.75 จุด (-0.18%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 7.74 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 3.61 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 2.27 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 0.78 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 1.14 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.56 จุด
ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันสีเขียว
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (3 พ.ค.61) 1,790.80 จุด ลดลง 0.33 จุด (-0.02%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,036.54 ล้านบาท เมื่อวันที่ 3 พ.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (3 พ.ค.61) ปิดที่ระดับ 68.43 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 50 เซนต์ หรือ 0.7%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (3 พ.ค.61) ที่ 6.32 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.62 แข็งค่าตามทิศทางภูมิภาค หลังนักลงทุนขายดอลล์ทำกำไร มองกรอบวันนี้ 31.55-31.70
- เจบิค หารือ "ประยุทธ์-สมคิด" สนใจปล่อยกู้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ชี้นักลงทุนญี่ปุ่น ให้ความสนใจลงทุนเหมือนชาติอื่น เผยชูความร่วมมือ 3 ประเทศญี่ปุ่น-จีน-ไทย สร้างความร่วมมือร่วมกันเป็นโครงการแรกในภูมิภาค
- สำนักงาน กสทช.และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พร้อมทั้งผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ ได้ร่วมประชุมเพื่อหาแนวทางระงับการออกอากาศผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางที่ไม่ผ่าน อย. และไม่ได้รับอนุญาตโฆษณาออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์ โดยจากนี้จะมีเจ้าหน้าที่ อย.มาประจำที่ศูนย์ตรวจสอบเนื้อหาวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ (โซเชียลมีเดีย) ที่ผิดกฎหมาย ที่สำนักงาน กสทช. ทำให้สามารถระงับการออกอากาศชั่วคราวได้ทันที
- เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันวิตกราคาปาล์มจะตกต่ำหนักอีกต่อเนื่องหลังพบสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) จ่อแตะ 5 แสนตัน ล่าสุดแม้ว่าก.พลังงานเตรียมจำหน่ายบี 20 ให้กับ ฟลีทรถบรรทุกเพื่อเป็นทางเลือกไม่มั่นใจว่าจะดูดซับได้มากเหตุไม่ใช่มาตรการบังคับ ขณะที่กลุ่มรถบรรทุกยอมรับบี 20 ใช้ได้กับรถรุ่นเก่าเท่านั้นมองแก้ปัญหาปลายเหตุ
- กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มองว่าเงินบาทมีทิศทางผันผวนและอ่อนค่าต่อเนื่องในไตรมาส 2 หลังเฟดมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแสดงความมั่นใจต่อสัญญาณการฟื้นตัวของเงินเฟ้อที่เริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยเฟดตอกย้ำว่าจะยังคงปรับนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ท่าทีเช่นนี้ทำให้ประเมินว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 2 ครั้งในปี 61หากตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ยังคงตึงตัวและค่าจ้างสามารถปรับตัวสูงขึ้นตามได้อย่างแข็งแกร่ง
- ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในไตรมาสแรกปีนี้ (มกราคม-มีนาคม 2561) พบว่าเอสเอ็มอีมีการเติบโตดี สอดคล้องกับภาคการผลิตที่ขยายตัวเช่นกัน อาทิ ยอดขายรถยนต์โดยเฉพาะรถกระบะเติบโตสะท้อนกำลังซื้อของภาคประชาชน คาดว่ายอดขายรถยนต์รวมทุกชนิดจะทะลุ 9 แสนคัน ขณะที่ราคาสินค้าเกษตร อาทิ ข้าว ปาล์มก็ปรับสูงขึ้น นอกจากนี้รัฐบาลยังมีโครงการสำคัญ ๆ อย่างไทยนิยม การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) เหล่านี้น่าจะทำให้เอสเอ็มอี ได้อานิสงส์ โดยจะเห็นชัดเจนตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้เป็นต้นไป
*หุ้นเด่นวันนี้
- SC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 4.80 บาท คาดกำไรสุทธิ Q1/61 ที่ 240 ล้านบาท +219% Y-Y แต่ -57% Q-Q ตามฤดูกาล แม้เปิดโครงการใหม่ไม่มาก แต่คาดยอดโอนสูงถึง 2.4 พันล้านบาท จากสินค้าแนวราบเป็นหลัก และแนวโน้มกำไรจะเร่งตัวอีกใน Q2/61 จากการโอนคอนโด Super Luxury 2 แห่ง กว่า 9 พันล้านบาท ใน 2Q-3Q61 และการรุกตลาดแนวราบที่เป็น Mid-to-Low โดยคาดกำไรทั้งปี 2 พันล้านบาท +58% Y-Y ด้าน PE2561 อยู่ที่ 8 เท่า ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตและกลุ่มอสังหาที่ 9-10 เท่า
- SNC (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 22 บาท งบ Q1/61 ออกมาดีเกินคาดมีกำไรสุทธิ 175 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 47%qoq และ 80%yoy มากกว่าที่คาดไว้ 17% และ Consensus 25% เป็นผลจากพัฒนาการที่ดีขึ้นในทุกไลน์ธุรกิจ ส่วนภาพรวมทั้งปีคาดมีกำไรสุทธิ 480 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 20%yoy
- IVL (ยูโอบี เคย์เฮียน) คาดกำไรไตรมาส 1/61 เพิ่มขึ้นโดดเด่น QoQ และ YoY รวมถึงดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 2/61 ขณะที่ไม่ได้รับผลประทบจากราคาน้ำมันดิบที่เริ่มปรับลดลงหรืออาจมีแรงทำกำไร
- PTT (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 58 บาท ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผ่านธุรกิจก๊าซฯ และสำรวจและผลิตผ่าน PTTEP แนวโน้มผลประกอบการ Q1/61 ยังแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมี Catalyst จากการเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมต่ออายุผ่าน PTTEP ในช่วงที่เหลือของปี 2561 และการ IPO ของธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก ผ่าน PTTOR ในปี 2562 พร้อมคาดกำไรจากการดำเนินงาน Q1/61 ที่ 3.62 หมื่นล้านบาท (+5.8%YoY, -0.5%QoQ) สนับสนุนจากธุรกิจ PTTEP, PTTGC พร้อมปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 61/62 ขึ้นเป็น 1.35 และ 1.37 แสนล้านบาท สะท้อนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ 60 เหรียญ/บาร์เรล

ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบเช้านี้ เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายในช่วงที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐและจีนกำลังเจรจาด้านการค้าที่กรุงปักกิ่ง
ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,093.12 จุด ลดลง 7.74 จุด, -0.25% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 30,316.98 จุด เพิ่มขึ้น 3.61 จุด, +0.01% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,516.45 จุด เพิ่มขึ้น 2.27 จุด, +0.02% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,486.47 จุด ลดลง 0.78 จุด, -0.03% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,574.54 จุด ลดลง 1.14 จุด, -0.03% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,851.24 จุด ลดลง 0.56 จุด, -0.03% ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้เนื่องในวันสีเขียว
นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และนายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ ได้เข้าร่วมประชุมเป็นเวลา 2 วันกับเจ้าหน้าที่ของจีนที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งการประชุมได้เริ่มขึ้นเมื่อวานนี้และจะเสร็จสิ้นในวันนี้ โดยคาดว่าการเจรจาระหว่างนายมนูชิน และนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน จะครอบคลุมประเด็นกว้างๆเกี่ยวกับความไม่พอใจที่สหรัฐมีต่อการดำเนินนโยบายการค้าของจีน นับตั้งแต่ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการถ่ายโอนเทคโนโลยี ไปจนถึงการที่รัฐบาลจีนยื่นมือเข้ามาอุดหนุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี
ล่าสุด นายมนูชินเปิดเผยในวันนี้ว่า การเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่ตัวแทนสหรัฐและจีนนั้น ดำเนินไปด้วยดี โดยนายมนูชินแสดงความเห็นดังกล่าวต่อผู้สื่อข่าวในขณะที่เขาเดินทางออกจากโรงแรมในกรุงปักกิ่ง เพื่อเข้าร่วมเจรจาการค้าวันสุดท้ายในวันนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนเม.ย.ของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะพุ่งขึ้น 192,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้นเพียง 103,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค.

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 40.51 จุด หลังเฟดส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (3 พ.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า ดัชนี PMI ภาคบริการของสหราชอาณาจักรขยายตัวน้อยกว่าการคาดการณ์ในเดือนเม.ย.
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,502.69 จุด ลดลง 40.51 จุด หรือ -0.54%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดอ่อนแรงลง หลังจากประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ที่ระดับ 1.50-1.75% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา แต่ได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย. โดยระบุว่า อัตราเงินเฟ้อกำลังเข้าใกล้ระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด ซึ่งสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากไอเอชเอส มาร์กิต/ซีไอพีเอส ระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหราชอาณาจักรอยู่ที่ระดับ 52.8 ในเดือนเม.ย. ซึ่งแม้ว่าเพิ่มขึ้นจากระดับ 51.7 ในเดือนมี.ค. แต่ยังน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวแตะระดับ 53.5
หุ้นสมิธ แอนด์ เนฟิว ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ ร่วงลง 7% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการตลอดปีงบการเงิน 2561
หุ้นบีที กรุ๊ป ดิ่งลง 4.2% หลังจากนักวิเคราะห์ของธนาคารบาร์เคลย์สได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นบีทีลงสู่ระดับ "equalweight" จากระดับ "overweight"
ส่วนหุ้นของหลายบริษัทที่เข้าสู่วันที่ผู้ซื้อหลักทรัพย์ไม่ได้สิทธิรับเงินปันผล (XD) ต่างก็ร่วงลงถ้วนหน้า ซึ่งรวมถึงหุ้นยูนิลีเวอร์ ปรับตัวลง 0.3.% หุ้น G4S ลดลง 0.3% และหุ้นคิงฟิสเชอร์ ดิ่งลง 1.5%

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดร่วง วิตกผลประกอบการอ่อนแอ,เฟดส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (3 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.7% ปิดที่ 384.62 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย.ปีนี้
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,690.15 จุด ลดลง 112.10 จุด หรือ -0.88% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,501.66 จุด ลดลง 27.56 จุด หรือ -0.50% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,502.69 จุด ลดลง 40.51 จุด หรือ -0.54%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยกดดันหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ที่ระดับ 1.50-1.75% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา แต่ได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย. โดยระบุว่า อัตราเงินเฟ้อกำลังเข้าใกล้ระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟด ซึ่งสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
หุ้นสมิธ แอนด์ เนฟิว ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ ร่วงลง 7% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการตลอดปีงบการเงิน 2561
หุ้นบีที กรุ๊ป ดิ่งลง 4.2% หลังจากนักวิเคราะห์ของธนาคารบาร์เคลย์สได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นบีทีลงสู่ระดับ "equalweight" จากระดับ "overweight"
ส่วนหุ้นของหลายบริษัทที่เข้าสู่วันที่ผู้ซื้อหลักทรัพย์ไม่ได้สิทธิรับเงินปันผล (XD) ต่างก็ร่วงลงถ้วนหน้า ซึ่งรวมถึงหุ้นยูนิลีเวอร์ ปรับตัวลง 0.3.% หุ้น G4S ลดลง 0.3% และหุ้นคิงฟิสเชอร์ ดิ่งลง 1.5%
หุ้นอาดิอาส ร่วงลง 6.8% หลังจากบริษัทได้คงตัวเลขคาดการณ์รายได้ในปีงบการเงิน 2561 แม้กำไรสุทธิในไตรมาสแรกปีนี้เพิ่มขึ้นแตะระดับ 540 ล้านยูโรก็ตาม
นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และนายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ ได้เข้าร่วมประชุมเป็นเวลา 2 วันกับเจ้าหน้าที่ของจีนที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งการประชุมได้เริ่มขึ้นเมื่อวานนี้และจะเสร็จสิ้นในวันนี้
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า การเจรจาระหว่างนายมนูชิน และนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน จะครอบคลุมประเด็นกว้างๆเกี่ยวกับความไม่พอใจที่สหรัฐมีต่อการดำเนินนโยบายการค้าของจีน นับตั้งแต่ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการถ่ายโอนเทคโนโลยี ไปจนถึงการที่รัฐบาลจีนยื่นมือเข้ามาอุดหนุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวกเพียง 5.17 จุด เหตุนักลงทุนกังวลผลเจรจาการค้าสหรัฐ-จีน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (3 พ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ต่างก็ปิดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายในช่วงที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐและจีนกำลังเจรจาด้านการค้า โดยความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้บดบังปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงยอดสั่งซื้อภาคโรงงานที่เพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนมี.ค.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,930.15 จุด เพิ่มขึ้น 5.17 จุด หรือ +0.02% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,629.73 จุด ลดลง 5.94 จุด หรือ -0.23% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,088.15 จุด ลดลง 12.75 จุด หรือ -0.18%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และนายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ ได้เข้าร่วมประชุมเป็นเวลา 2 วันกับเจ้าหน้าที่ของจีนที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งการประชุมได้เริ่มขึ้นเมื่อวานนี้และจะเสร็จสิ้นในวันนี้ โดยคาดว่าการเจรจาระหว่างนายมนูชิน และนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน จะครอบคลุมประเด็นกว้างๆเกี่ยวกับความไม่พอใจที่สหรัฐมีต่อการดำเนินนโยบายการค้าของจีน นับตั้งแต่ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการถ่ายโอนเทคโนโลยี ไปจนถึงการที่รัฐบาลจีนยื่นมือเข้ามาอุดหนุนเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี
ทั้งนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้สกัดปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งได้แก่ ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐที่ปรับตัวลดลง 15.2% ในเดือนมี.ค. สู่ระดับ 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว โดยแรงหนุนจากยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้น 2.0% สู่ระดับ 2.085 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การนำเข้าลดลง 1.8% สู่ระดับ 2.575 แสนล้านดอลลาร์
ส่วนคำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนมี.ค. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.4% โดยยอดสั่งซื้อที่ปรับตัวขึ้นได้รับผลบวกจากการพุ่งขึ้นของคำสั่งซื้อเครื่องบิน นอกจากนี้ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐซึ่งสำรวจโดยไอเอชเอส มาร์กิตนั้น ดีดตัวสู่ระดับ 54.6 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 54.0 ในเดือนมี.ค.
หุ้นเทสลา มอเตอร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ร่วงลง 5.6% แม้บริษัทเปิดเผยยอดขายรายไตรมาสที่สูงกว่าคาดก็ตาม ขณะที่หุ้นคาร์ดินาล เฮลธ์ ดิ่งลง 21% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3 ของปีงบการเงินของบริษัท พร้อมกับปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการตลอดปีงบการเงิน 2561
หุ้นอเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป (AIG) ร่วงลง 5.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรไตรมาส 1 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ ขณะที่หุ้นสปอติฟาย เทคโนโลยี ดิ่งลง 5.7% เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อผลประกอบการของบริษัท
อย่างไรก็ดี หุ้นคราฟท์ ไฮนซ์ ดีดตัวขึ้น 1.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของวอลล์สตรีท ขณะที่หุ้น FireEye ซึ่งเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ทะยานขึ้น 9.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่สูงเกินคาด และยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการตลอดปีงบการเงิน 2561
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนเม.ย.ของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะพุ่งขึ้น 192,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้นเพียง 103,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค.
--อินโฟเควสท์
OO8341

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!