- Details
- Category: หุ้นเด่นวันนี้
- Published: Thursday, 15 March 2018 11:26
- Hits: 2441
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์-อิงทางลบ เหตุกังวลสงครามการค้าจากสหรัฐฯ-ราคาน้ำมันทรงตัว
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ อิงทางลบ เนื่องจากมีความกังวลสงครามการค้าจากสหรัฐฯ จากที่สหรัฐฯเตรียมจะเก็บภาษีหลายสินค้าจากจีน ราว 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งพุ่งเป้าไปที่สินค้าเทคโนโลยี, โทรคมนาคม เป็นต้น เพื่อลดการขาดดุลการค้ากับจีน ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่อยู่ในแดนลบ
ส่วนราคาน้ำมันก็ทรงตัวในระดับ 60 เหรียญฯ/บาร์เรล พร้อมให้จับตาเงินเฟ้อยุโรปที่จะออกมาในวันพรุ่งนี้ โดยให้ดูแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับขึ้นหรือไม่ อย่างไร
พร้อมให้แนวรับ 1,795-1,800 จุด ส่วนแนวต้าน 1,820 ถัดไป 1,825-1,830 จุด
ส่วนราคาน้ำมันก็ทรงตัวในระดับ 60 เหรียญฯ/บาร์เรล พร้อมให้จับตาเงินเฟ้อยุโรปที่จะออกมาในวันพรุ่งนี้ โดยให้ดูแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับขึ้นหรือไม่ อย่างไร
พร้อมให้แนวรับ 1,795-1,800 จุด ส่วนแนวต้าน 1,820 ถัดไป 1,825-1,830 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (14 มี.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,758.12 จุด ร่วงลง 248.91 จุด (-1.00%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,749.48 จุด ลดลง 15.83 จุด (-0.57%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,496.81 จุด ลดลง 14.20 จุด (-0.19%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 73.15 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 13.87 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 253.86 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 0.80 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 0.08 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 18.60 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 2.94 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 มี.ค.61) 1,813.40 จุด เพิ่มขึ้น 3.50 จุด (+0.19%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,982.81 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 มี.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (14 มี.ค.61) ปิดที่ระดับ 60.96
ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 25 เซนต์ หรือ 0.4%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 มี.ค.61) ที่ 7.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.13 อ่อนค่าจากวานนี้เล็กน้อย คาดวันนี้แกว่งในกรอบ 31.10-31.20
- "อุตตม" มั่นใจเศษฐกิจไทยจะโตก้าวกระโดดจากการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 โดยเฉพาะอีอีซีที่จะทำให้เกิดดึงดูดการลงทุนครั้งใหญ่ เผย "สมคิด" เตรียมนำทัพโรดโชว์เดือนพ.ค. นี้ ดึงลงทุน เล็งเป้าญี่ปุ่น จีน ยุโรป หลัง พ.ร.บ.อีอีซีมีความชัดเจน ด้านนักลงทุนญี่ปุ่นมองอีอีซีจะสร้างจุดแข็งให้ไทย "คณิศ" ลั่นลงทุนอีอีซี ดันจีดีพีไทยโตได้ 5% แน่ แย้มนักลงทุนจีนสนใจเพียบ
- "สมคิด" คาดเกณฑ์ควบคุมการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลเสร็จภายในเดือนมี.ค.นี้ พร้อมชงเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย ในอัตรา 15% จากกำไรจากการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และคิดภาษี VAT ตามหลักเกณฑ์การซื้อขายสินค้าและบริการด้วย แต่บุคคลธรรมดา จะได้รับการยกเว้น หากมีการซื้อขายในตลาด
- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ยอมรับว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังได้ทำหน้าที่ดูแลเป็นอย่างดี และเชื่อว่าหากสหรัฐเริ่มทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็เชื่อว่าสถานการณ์แรงกดดันเรื่องค่าเงินบาทจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น
- 'คณิศ' ประเมิน 5 ปี ลงทุนภาครัฐและเอกชนในอีอีซีทะลุ 1.7 ล้านล้านบาท แจงคืบหน้า 5 โครงการหลัก 6 แสนล้านบาทเดินหน้าตามแผน ยันลุยแก้กฎหมายหนุนต่างชาติลงทุนแล้ว พ.ค.ร่วมทีม 'สมคิด' เดินสายโรดโชว์จีน ญี่ปุ่น และยุโรป
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (14 มี.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,758.12 จุด ร่วงลง 248.91 จุด (-1.00%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,749.48 จุด ลดลง 15.83 จุด (-0.57%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,496.81 จุด ลดลง 14.20 จุด (-0.19%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 73.15 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 13.87 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 253.86 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 0.80 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 0.08 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 18.60 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 2.94 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 มี.ค.61) 1,813.40 จุด เพิ่มขึ้น 3.50 จุด (+0.19%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 3,982.81 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 มี.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (14 มี.ค.61) ปิดที่ระดับ 60.96
ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 25 เซนต์ หรือ 0.4%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 มี.ค.61) ที่ 7.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.13 อ่อนค่าจากวานนี้เล็กน้อย คาดวันนี้แกว่งในกรอบ 31.10-31.20
- "อุตตม" มั่นใจเศษฐกิจไทยจะโตก้าวกระโดดจากการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 โดยเฉพาะอีอีซีที่จะทำให้เกิดดึงดูดการลงทุนครั้งใหญ่ เผย "สมคิด" เตรียมนำทัพโรดโชว์เดือนพ.ค. นี้ ดึงลงทุน เล็งเป้าญี่ปุ่น จีน ยุโรป หลัง พ.ร.บ.อีอีซีมีความชัดเจน ด้านนักลงทุนญี่ปุ่นมองอีอีซีจะสร้างจุดแข็งให้ไทย "คณิศ" ลั่นลงทุนอีอีซี ดันจีดีพีไทยโตได้ 5% แน่ แย้มนักลงทุนจีนสนใจเพียบ
- "สมคิด" คาดเกณฑ์ควบคุมการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลเสร็จภายในเดือนมี.ค.นี้ พร้อมชงเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย ในอัตรา 15% จากกำไรจากการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล และคิดภาษี VAT ตามหลักเกณฑ์การซื้อขายสินค้าและบริการด้วย แต่บุคคลธรรมดา จะได้รับการยกเว้น หากมีการซื้อขายในตลาด
- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ยอมรับว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังได้ทำหน้าที่ดูแลเป็นอย่างดี และเชื่อว่าหากสหรัฐเริ่มทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก็เชื่อว่าสถานการณ์แรงกดดันเรื่องค่าเงินบาทจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น
- 'คณิศ' ประเมิน 5 ปี ลงทุนภาครัฐและเอกชนในอีอีซีทะลุ 1.7 ล้านล้านบาท แจงคืบหน้า 5 โครงการหลัก 6 แสนล้านบาทเดินหน้าตามแผน ยันลุยแก้กฎหมายหนุนต่างชาติลงทุนแล้ว พ.ค.ร่วมทีม 'สมคิด' เดินสายโรดโชว์จีน ญี่ปุ่น และยุโรป
*หุ้นเด่นวันนี้
- GFPT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 18 บาท ได้อานิสงส์จากรัฐบาลจีนที่อนุญาตให้นำเข้าไก่สดและชิ้นส่วนไก่แช่แข็งจาก 7 โรงงานของไทย หนึ่งในนั้นมี GFPT CPF และ TFG ซึ่งจะช่วยหนุนให้ราคาไก่ในประเทศปรับขึ้นในระยะถัดไป ล่าสุดบริษัทได้รับการติดต่อจากลูกค้าจีนแล้ว อยู่ระหว่างการเจรจาเงื่อนไขการค้า คาดจะเริ่มส่งออก เม.ย.61 เป็นต้นไป และ GFPT ไม่มีธุรกิจหมูมาถ่วง และราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีที่ลง 3% ยัง Laggard CPF ที่ขึ้น 6% อยู่มาก
- CHG (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 2.50 บาท ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรทั้งใน Q1/61 ที่คาดโตดีจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นตามโรคระบาด รวมถึงทั้งปี 2561 ที่จะถูกขับเคลื่อนจากทั้งฝั่งรายได้ที่โตในอัตราเร่ง และ Margin ที่คาดขยายตัวหลังผ่านช่วงลงทุนใหญ่ไปแล้ว โดยยังคงประมาณการกำไรปกติปีนี้เร่งตัว +15% Y-Y อยู่ที่ 650 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงสวนทางกับแนวโน้มกำไรและการเคลื่อนไหวของ SET และ SETHELTH รวมถึงปัจจุบันซื้อขายที่ PE ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก
- KTB (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 22.70 บาท คาดอาจมีกำไรพิเศษจากกรณี AQ โดยคาด KTB ยังรอบันทึกกำไรจากการขายทอดตลาดที่ดินของ AQ คาดสูงเกือบ 10,000 ล้านบาท (ยังไม่ได้รวมเข้าในประมาณการ) อย่างไรก็ตามคาดกำไรพิเศษดังกล่าว บางส่วนจะนำกลับไปเป็นสำรองส่วนเกินเพื่อรองรับกับมาตรฐาน IFRS9 ที่จะบังคับใช้ในต้นปี 62 พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 61 เติบโตกว่า 40% คาดอยู่ที่ 31,841 ล้านบาท หรือ 2.28 บาท/หุ้น โดยคาดว่าค่าใช้จ่ายในการสำรองหนี้จะลดลง 28.5% จากปี 60 จากคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น และคาดไม่มีการตั้งสำรองหนี้ก้อนใหญ่ เช่นปี 60 (EARTH 12,000 ล้านบาท)
- HARN (เออีซี) "ซื้อ"คงคาดปี 61 HARN จะมีกำไรสุทธิ 145 ล้านบาท โตต่อ 11.7%YoY จากแผนเพิ่มสินค้าใหม่ๆและแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และมี Upside 53.6% และคาดให้ Div.Yield ปีนี้ที่ 6.1%
- PACE-W1 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (PACE) ครั้งที่ 1) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 1,476,132,380 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 0.80 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 6 เดือน นับแต่วันออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย โดยกำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 22 พ.ค. 2561 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 22 ส.ค. 2561
- PACE-W2 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (PACE) ครั้งที่ 2) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 2,460,220,171 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 2.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 5 ปี นับแต่วันออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย โดยกำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 21 ก.พ. 2563 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 22 ก.พ. 2566
- CHG (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 2.50 บาท ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรทั้งใน Q1/61 ที่คาดโตดีจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นตามโรคระบาด รวมถึงทั้งปี 2561 ที่จะถูกขับเคลื่อนจากทั้งฝั่งรายได้ที่โตในอัตราเร่ง และ Margin ที่คาดขยายตัวหลังผ่านช่วงลงทุนใหญ่ไปแล้ว โดยยังคงประมาณการกำไรปกติปีนี้เร่งตัว +15% Y-Y อยู่ที่ 650 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงสวนทางกับแนวโน้มกำไรและการเคลื่อนไหวของ SET และ SETHELTH รวมถึงปัจจุบันซื้อขายที่ PE ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก
- KTB (ไอร่า) "ซื้อ"เป้า 22.70 บาท คาดอาจมีกำไรพิเศษจากกรณี AQ โดยคาด KTB ยังรอบันทึกกำไรจากการขายทอดตลาดที่ดินของ AQ คาดสูงเกือบ 10,000 ล้านบาท (ยังไม่ได้รวมเข้าในประมาณการ) อย่างไรก็ตามคาดกำไรพิเศษดังกล่าว บางส่วนจะนำกลับไปเป็นสำรองส่วนเกินเพื่อรองรับกับมาตรฐาน IFRS9 ที่จะบังคับใช้ในต้นปี 62 พร้อมคาดกำไรสุทธิปี 61 เติบโตกว่า 40% คาดอยู่ที่ 31,841 ล้านบาท หรือ 2.28 บาท/หุ้น โดยคาดว่าค่าใช้จ่ายในการสำรองหนี้จะลดลง 28.5% จากปี 60 จากคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น และคาดไม่มีการตั้งสำรองหนี้ก้อนใหญ่ เช่นปี 60 (EARTH 12,000 ล้านบาท)
- HARN (เออีซี) "ซื้อ"คงคาดปี 61 HARN จะมีกำไรสุทธิ 145 ล้านบาท โตต่อ 11.7%YoY จากแผนเพิ่มสินค้าใหม่ๆและแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และมี Upside 53.6% และคาดให้ Div.Yield ปีนี้ที่ 6.1%
- PACE-W1 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (PACE) ครั้งที่ 1) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 1,476,132,380 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 0.80 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 6 เดือน นับแต่วันออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย โดยกำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 22 พ.ค. 2561 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 22 ส.ค. 2561
- PACE-W2 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (PACE) ครั้งที่ 2) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 2,460,220,171 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 2.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 5 ปี นับแต่วันออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย โดยกำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 21 ก.พ. 2563 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 22 ก.พ. 2566
ตลาดหุ้นเอเชียอ่อนตัวลงเช้านี้ หลังดาวโจนส์ร่วงกว่า 200 จุด
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดร่วงลงเมื่อคืน เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ โทรคมนาคม และสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีน นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังกดดันให้จีนปรับลดยอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐลง 1 แสนล้านดอลลาร์
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 21,704.14 จุด ลดลง 73.15 จุด, -0.34% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,277.51 จุด ลดลง 13.87 จุด, -0.42% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 31,181.15 จุด ลดลง 253.86 จุด, -0.81% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 11,039.60 จุด เพิ่มขึ้น 0.80 จุด, +0.01% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,486.00 จุด ลดลง 0.08 จุด, -0.00% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,520.81 จุด ลดลง 18.60 จุด, -0.53% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,854.12 จุด ลดลง 2.94 จุด, -0.16%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับแรงกดดันหลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกปรับตัวลง 0.1% ในเดือนก.พ. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากที่ปรับตัวลง 0.1% ในเดือนม.ค.
ทั้งนี้ ยอดค้าปลีกสหรัฐร่วงลงเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2555 ที่ยอดค้าปลีกลดลง 3 เดือนติดต่อกัน
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 6.09 จุด วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 มี.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากมีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแผนที่จะออกมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน โดยพุ่งเป้าไปที่สินค้าในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการสื่อสาร
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,132.69 จุด ลดลง 6.09 จุด หรือ -0.09%
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากหลังจากสื่อรายงานว่า ปธน.ทรัมป์มีแผนที่จะออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ, โทรคมนาคม และสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีน วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้การทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งอาจมีการจำกัดการออกวีซ่าต่อชาวจีนที่ต้องการเดินทางเข้าสู่สหรัฐ
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังกดดันให้จีนจัดทำแผนลดตัวเลขเกินดุลการค้า 1 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมกล่าวว่า สหรัฐไม่สามารถเมินเฉยต่อการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม
หุ้นมอร์ริสัน ซูเปอร์มาร์เก็ตส์ ร่วงลง 4.9% แม้บริษัทได้ประกาศปรับเพิ่มการจ่ายเงินปันผล และปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีงบการเงิน 2561 ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของหุ้นพรูเดนเชียลและหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ได้ช่วยสกัดแรงลบในตลาดหุ้นลอนดอน โดยหุ้นพรูเดนเชียลดีดตัวขึ้น 5.1% หลังจากบริษัทประกาศแผนการแยกธุรกิจเอ็มแอนด์จี พรูเดนเชียล ซึ่งจะทำให้เอ็มแอนด์จี พรูเดนเชียล สามารถให้บริการด้านการลงทุนและเงินออมได้อย่างเป็นอิสระ
ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานเมื่อวานนี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 7.2% โดยหุ้นแองโกล อเมริกา พุ่งขึ้น 3.3% และหุ้นอันโตฟากัสตา เพิ่มขึ้น 3.5%
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 6.09 จุด วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 มี.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากมีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแผนที่จะออกมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน โดยพุ่งเป้าไปที่สินค้าในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการสื่อสาร
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,132.69 จุด ลดลง 6.09 จุด หรือ -0.09%
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากหลังจากสื่อรายงานว่า ปธน.ทรัมป์มีแผนที่จะออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ, โทรคมนาคม และสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีน วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้การทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งอาจมีการจำกัดการออกวีซ่าต่อชาวจีนที่ต้องการเดินทางเข้าสู่สหรัฐ
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังกดดันให้จีนจัดทำแผนลดตัวเลขเกินดุลการค้า 1 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมกล่าวว่า สหรัฐไม่สามารถเมินเฉยต่อการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม
หุ้นมอร์ริสัน ซูเปอร์มาร์เก็ตส์ ร่วงลง 4.9% แม้บริษัทได้ประกาศปรับเพิ่มการจ่ายเงินปันผล และปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีงบการเงิน 2561 ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของหุ้นพรูเดนเชียลและหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ได้ช่วยสกัดแรงลบในตลาดหุ้นลอนดอน โดยหุ้นพรูเดนเชียลดีดตัวขึ้น 5.1% หลังจากบริษัทประกาศแผนการแยกธุรกิจเอ็มแอนด์จี พรูเดนเชียล ซึ่งจะทำให้เอ็มแอนด์จี พรูเดนเชียล สามารถให้บริการด้านการลงทุนและเงินออมได้อย่างเป็นอิสระ
ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานเมื่อวานนี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 7.2% โดยหุ้นแองโกล อเมริกา พุ่งขึ้น 3.3% และหุ้นอันโตฟากัสตา เพิ่มขึ้น 3.5%
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ เหตุนักลงทุนกังวลสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 มี.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากมีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแผนที่จะออกมาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยหนุนในระหว่างวัน หลังจากนายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยืนยันว่า ECB จะยังคงเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรต่อไป หากอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนยังคงอยู่ในระดับต่ำ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.2% ปิดที่ 374.94 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,233.36 จุด ลดลง 9.43 จุด หรือ -0.18% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,132.69 จุด ลดลง 6.09 จุด หรือ -0.09% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,237.74 จุด เพิ่มขึ้น 16.71 จุด หรือ +0.14%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากสื่อรายงานว่า ปธน.ทรัมป์มีแผนที่จะออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ, โทรคมนาคม และสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีน วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้การทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังกดดันให้จีนจัดทำแผนลดตัวเลขเกินดุลการค้า 1 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมกับกล่าวว่า สหรัฐไม่สามารถเมินเฉยต่อการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปลดช่วงลบ เนื่องจากนักลงทุนขานรับถ้อยแถลงของนายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB ซึ่งกล่าวว่า ECB จะยังคงเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตร หากอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยนายดรากียังกล่าวด้วยว่า ECB ต้องการเห็นหลักฐานที่ชัดเจนมากกว่านี้ว่า เงินเฟ้อในยูโรโซนกำลังปรับตัวเพิ่มขึ้น ก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้ปัจจัยหนุนในระหว่างวัน จากสกุลเงินยูโรที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันที่เกิดขึ้นผลประกอบการของบริษัทข้ามชาติ อันเนื่องมาจากการแข็งค่าของยูโรในช่วงก่อนหน้านี้
หุ้นอาดิดาส ทะยานขึ้น 11% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปีงบการเงิน 2561 พร้อมประกาศเพิ่มการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น
หุ้นพรูเดนเชียลดีดตัวขึ้น 5.1% หลังจากบริษัทประกาศแผนการแยกธุรกิจเอ็มแอนด์จี พรูเดนเชียล ซึ่งจะทำให้เอ็มแอนด์จี พรูเดนเชียล สามารถให้บริการด้านการลงทุนและเงินออมได้อย่างเป็นอิสระ
ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานเมื่อวานนี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 7.2% โดยหุ้นแองโกล อเมริกา พุ่งขึ้น 3.3% และหุ้นอันโตฟากัสตา เพิ่มขึ้น 3.5%
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 248.91 จุด เหตุวิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (14 มี.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากมีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ, โทรคมนาคม และสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีน นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังกดดันให้จีนปรับลดยอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐลง 1 แสนล้านดอลลาร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,758.12 จุด ร่วงลง 248.91 จุด หรือ -1.00% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,749.48 จุด ลดลง 15.83 จุด หรือ -0.57% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,496.81 จุด ลดลง 14.20 จุด หรือ -0.19%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากสื่อรายงานว่า ปธน.ทรัมป์มีแผนที่จะออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ, โทรคมนาคม และสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีน วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้การทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งอาจมีการจำกัดการออกวีซ่าต่อชาวจีนที่ต้องการเดินทางเข้าสู่สหรัฐ
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังกดดันให้จีนจัดทำแผนลดตัวเลขเกินดุลการค้า 1 แสนล้านดอลลาร์ หลังจากเมื่อปีที่แล้ว จีนมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐจำนวน 3.752 แสนล้านดอลลาร์ โดยปธน.ทรัมป์เปิดเผยผ่านการทวีตข้อความว่า สหรัฐไม่สามารถเมินเฉยต่อการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรม
รายงานล่าสุดของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนเพิ่มขึ้น 16.7% สู่ระดับ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2558 โดยตัวเลขส่งออกไปยังจีนดิ่งลง 28.1% ขณะที่นำเข้าเพิ่มขึ้น 2.9%
หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 2.6% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดในบรรดาหุ้นบลูชิพที่คำนวณในดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ อันเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ
หุ้นบรอดคอม ซึ่งเป็นบริษัทเซมิคอนดัคเตอร์รายใหญ่ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสิงคโปร์ ปรับตัวลง 0.2% หลังจากบรอดคอมได้ประกาศยกเลิกการยื่นข้อเสนอซื้อกิจการควอลคอมม์ อิงค์ ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายชิพโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ระดับโลก ภายหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเมื่อวันจันทร์ เพื่อสกัดข้อเสนอซื้อกิจการดังกล่าว โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ
หุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการสายการบินรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 2.6% หลังจากเกิดกระแสโจมตีสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์สอีกครั้ง จากกรณีสุนัขของผู้โดยสายตายบนเครื่องบิน เนื่องจากพนักงานต้อนรับของยูไนเต็ด แอร์ไลน์สบังคับให้ผู้โดยสารนำกระเป๋าใส่สุนัขที่มีสุนัขตัวดังกล่าว ใส่ไว้ในช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะ จนทำให้สุนัขตายเพราะขาดอากาศ
หุ้นฟอร์ด มอร์เตอร ดีดตัวขึ้น 2.2% หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักในระหว่างวัน จากการที่ฟอร์ดประกาศเรียกคืนรถยนต์ราว 1.38 ล้านคันในอเมริกาเหนือ เนื่องจากพบความบกพร่องของพวงมาลัยรถยนต์
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับปัจจัยหนุนในระดับหนึ่งจากข้อมูลเศรษฐกิจที่บ่งชี้ว่าภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐยังคงไม่สูงมากและอาจจะไม่ผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยทางการสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ขยายตัว 0.2% ในเดือนก.พ.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือนม.ค.ที่มีการขยายตัว 0.4% ขณะที่ยอดค้าปลีกปรับตัวลง 0.1% ในเดือนก.พ. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% และยังเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 20-21 มี.ค. ขณะที่ CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 86% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในปีนี้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในเดือนมิ.ย. และครั้งที่ 3 ในเดือนก.ย.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเงินเฟ้อและข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนมี.ค.จากเฟดนิวยอร์ก, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนก.พ., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนมี.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.พ., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนมี.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์
OO6472