WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

9 ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซต์เวย์กรอบ แคบ ชะลอลงทุนช่วงตรุษจีน-รอดูตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯคืนนี้
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซต์เวย์ในกรอบแคบ จากนักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มชะลอการลงทุนในช่วงเทศกาลตรุษจีน และรอดูการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่จะออกมาวันนี้ ซึ่งตรงกับช่วงกลางคืนตามเวลาไทย เพื่อจับทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย มีบางประเทศที่ปิดทำการแล้ว เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน เช่น ไต้หวัน และเวียดนาม ส่วนตลาดฯที่ยังเปิดทำการอยู่ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในทิศทางแดนบวกและลบสลับกัน
พร้อมให้กรอบแนวรับ 1,786-1,797 จุด แนวต้าน 1,806-1,813 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (13 ก.พ.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,640.45 จุด เพิ่มขึ้น 39.18 จุด (+0.16%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,662.94 จุด เพิ่มขึ้น 6.94 จุด (+0.26%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,013.51 จุด เพิ่มขึ้น 31.55 จุด (+0.45%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 6.56 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 3.29 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 184.94 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 17.28 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 16.54 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.63 จุด
ส่วนตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันเปิดให้ชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์เท่านั้น
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (13 ก.พ.61) 1,800.03 จุด เพิ่มขึ้น 0.58 จุด (+0.03%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,493.58 ล้านบาท เมื่อวันที่ 13 ก.พ.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มี.ค. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (13 ก.พ.61) ปิดที่ระดับ 59.19 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 10 เซนต์ หรือ 0.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (13 ก.พ.61) ที่ 7.40 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.44 มองกรอบวันนี้ 31.40 - 31.55 ตลาดรอกนง.ประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ
- พาณิชย์คาดสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ สิ้นก.พ.กลับเข้าสู่ภาวะปกติแตะ 3.14 แสนตันต่อวัน หลังร่วมมือพลังงาน บริหารสต็อกช่วง 2 เดือน คาดดันราคาแตะ 4.20 บาท "ศิริ" จ่อส่งออกไบโอดีเซล หากรัฐให้เพิ่มจัดเก็บสต็อกถาวร ขณะที่เกษตรกร แนะรัฐวางโครงสร้างระบบราคาตามมาตรฐานสากล
- บริษัท นีลเส็น (ประเทศไทย) รายงานภาพรวมเม็ดเงินโฆษณาเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาว่า อุตสาหกรรมโฆษณาของไทยยังหดตัวติดลบอยู่ที่ประมาณลบ 8.51% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน หรือมีเม็ดเงินประมาณ 7,429 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2560 ที่มีเม็ดเงินประมาณ 8,120 ล้านบาท ถือเป็นการติดลบต่อเนื่องจากเดือน ธ.ค. 2560 ซึ่งเดือนดังกล่าวเม็ดเงินโฆษณาหดตัวติดลบอยู่ที่ประมาณลบ 8.49%
- การดำเนินนโยบายการคลังตั้งแต่ปี 2550 รัฐบาลต้องทำงบประมาณแบบขาดดุล เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยังช่วยกระตุ้นและดึงดูดการลงทุนเพิ่มจากภาคเอกชนด้วย
- เจมาร์ทไม่สนประกาศแบงก์ชาติ เดินหน้าขายเจฟินคอยน์ มั่นใจนักลงทุนตอบรับ เผยหารือ ธปท.แล้ว ด้าน ส.ธนาคารไทยรับลูกประกาศ ธปท.ไม่ทำธุรกรรมเงินดิจิทัล

*หุ้นเด่นวันนี้

- AP (ไอร่า) เป้า 10.20 บาท คาด Q4/60 มีกำไรสุทธิ 1,138 ล้านบาท (+79%QoQ แต่ -10%YoY) สูงสุดในรอบปี 60 จาก Backlog รอโอนทั้งโครงการแนวราบและคอนโด ประมาณ 5,700 ล้านบาท และการส่งมอบโครงการคอนโดใหม่ อีก 3 โครงการ แบ่งเป็น (1) โครงการของ AP เอง 2 โครงการ ได้แก่ Aspire Erawan เฟส 1 มูลค่า 3,500 ล้านบาท มียอดขาย 44% และ Life Sukhumvit 48 มูลค่า 2,200 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 100% และ (2) โครงการร่วมทุน ที่พร้อมส่งมอบ อีก 1 โครงการ ได้แก่ Rhythm Rangnam มูลค่า 2,700 ล้านบาท ขายหมดแล้ว 100% ซึ่งคาดเข้ามาช่วยเพิ่มส่วนแบ่งกำไรใน Q4/60 ขณะที่คาดทั้งปี 60 มีกำไรสุทธิ 3,087 ล้านบาท เติบโต 14%
- GOLD (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 12 บาท มีจุดเด่นที่มีสัดส่วนของ Recurring ประมาณ 10% ของรายได้รวมและ Asset Value ที่โดดเด่นทั้ง Asset ปัจจุบันและที่อยู่ระหว่างก่อสร้างคือ สามย่าน มิตรทาวน์ รวมทั้งผลประกอบการที่ทำ New Record High ได้ต่อเนื่องมากว่า 4 ปีและคาดว่าจะทำได้ต่อในปีนี้
- IRPC (เอเอสแอล) "ซื้อ"ฌป้า 8.7 บาท รายงานกำไรสุทธิ Q4/60 อยู่ที่ 4.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 39%QoQ โดยบริษัทมีค่าการกลั่นรวมทุกธุรกิจ (Accounting GIM) อยู่ที่ 17.2 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 7%QoQ ทำให้กำไรสุทธิปี 60 อยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 17%YoY โดยยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของผลประกอบการจากโครงการใหม่ที่ทยอยเริ่มผลิตตั้งแต่ปลายปี 60 หนุนกำไรสุทธิปี 61 เติบโตต่อเนื่อง และยังคงโดดเด่นกว่ากลุ่ม ด้านเงินปันผลบริษัทประกาศจ่ายในอัตรา 0.29 บาท (ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 26 ก.พ. และจ่ายเงินปันผลวันที่ 19 เม.ย.)
- PT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 8.80 บาท คาดกำไรสุทธิ Q4/60 ที่ 73 ล้านบาท +57% Q-Q, +8% Y-Y (ประกาศงบ 16 ก.พ.) จากการเร่งรับมอบงานของลูกค้ากลุ่มสถาบันการเงิน และด้วยกำไรทั้งปี 2560 ที่คาดจบด้วยการทำสถิติสูงสุดใหม่ 170 ล้านบาท +4% Y-Y ทำให้คาดว่าปันผลงวด 2H60 จะจ่ายสูงถึง 0.20 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 3% ขณะที่ แนวโน้มปีนี้คาดกำไร +10% Y-Y จากงานวางระบบไอทีให้แบงก์และอัตรากำไรที่ดีขึ้นจากบาทแข็ง

ตลาดหุ้นเอเชียบวกเช้านี้ตามทิศทางดาวโจนส์ ขณะนักลงทุนจับตา CPI สหรัฐ
       ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืน
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 21,251.24 จุด เพิ่มขึ้น 6.56 จุด, +0.03% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,188.25 จุด เพิ่มขึ้น 3.29 จุด, +0.10% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 30,024.47 จุด เพิ่มขึ้น 184.94 จุด, +0.62% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,412.47 จุด เพิ่มขึ้น 17.28 จุด, +0.72% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,431.61 จุด เพิ่มขึ้น 16.54 จุด, +0.48% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,835.65 จุด เพิ่มขึ้น 2.63 จุด, +0.14% ส่วนตลาดหุ้นไต้หวันปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันเปิดให้ชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์เท่านั้น
นักลงทุนจับตากระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนม.ค.ในวันนี้ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่สามารถบ่งชี้ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และยังบ่งชี้ถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เช่นกัน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI เดือนม.ค.จะขยายตัวที่ระดับ 1.9% เมื่อเทียบรายปี หลังจากขยายตัว 2.1% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนม.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)เดือนม.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนธ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนก.พ. จากเฟดนิวยอร์ก, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนม.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค., ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนม.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดลบ 9.05 จุด วิตกแบงก์ชาติอังกฤษขึ้นดบ.หลัง CPI สูงกว่าคาด
       ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ก.พ.) หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อ เคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 6 ปีในเดือนม.ค. ซึ่งส่งผลให้เกิดความกังวลว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้ช่วยสกัดแรงลบในตลาด
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,168.01 จุด ลดลง 9.05 จุด หรือ -0.13%
รายงานของ ONS ระบุว่า ดัชนี CPI เดือนม.ค.อยู่ที่ระดับ 3.0% ซึ่งแม้ว่าไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนธ.ค. แต่ก็ใกล้เคียงกับระดับ 3.1% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2555 นอกจากนี้ ดัชนี CPI เดือนม.ค.ยังอยู่ในระดับสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.9%
ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า มีโอกาส 70% ที่ BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนพ.ค. และมีโอกาส 50% ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 1% ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2552
หุ้นเซเวิร์น เทรนท์ ซึ่งเป็นบริษัทปะปารายใหญ่ของอังกฤษ ร่วงลง 3.4% หุ้นยูไนเต็ด ยูทิลิตี้ ดิ่งลง 3.1% และหุ้นฮาร์เกรฟ แลนส์ดาวน์ ร่วงลง 2.6%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้นสวนทางการปิดลบของตลาด โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 1.7% หุ้นเกลนคอร์ ดีดตัวขึ้น 2.5% หุ้นแรนด์โกลด์ รีซอสเซส ขยับลง 0.8%
หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน พุ่งขึ้น 1.8% แม้มีรายงานว่าบริษัทอาจมีการใช้จ่ายในการจัดทำบัญชีใหม่ราว 1.8 พันล้านดอลลาร์ จาการที่รัฐบาลสหรัฐปฏิรูประบบภาษีครั้งใหญ่

ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดลบ นักลงทุนวิตกตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน
      ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นสหรัฐ อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ ได้ช่วยสกัดแรงลบในตลาดยุโรปในระหว่างวัน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.6% ปิดที่ 370.58 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,196.50 จุด ลดลง 86.27 จุด หรือ -0.70% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,168.01 จุด ลดลง 9.05 จุด หรือ -0.13% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,109.24 จุด ลดลง 30.82 จุด หรือ -0.60%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดในแดนลบ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความผันผวนในตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังคงกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น
ส่วนตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อ อยู่ที่ระดับ 3.0% ซึ่งแม้ว่าไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนธ.ค. แต่ก็ใกล้เคียงกับระดับ 3.1% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2555 นอกจากนี้ ดัชนี CPI เดือนม.ค.ยังอยู่ในระดับสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.9%
ทั้งนี้ ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า มีโอกาส 70% ที่ BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนพ.ค. และมีโอกาส 50% ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 1% ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2552
หุ้นเคอริ่ง เอสเอ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแบรนด์กุชชี่ ร่วงลง 4% แม้บริษัทเปิดเผยกำไรสุทธิในปี 2560 เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.79 พันล้านยูโร
หุ้นเซเวิร์น เทรนท์ ซึ่งเป็นบริษัทปะปารายใหญ่ของอังกฤษ ร่วงลง 3.4% หุ้นยูไนเต็ด ยูทิลิตี้ ดิ่งลง 3.1% และหุ้นฮาร์เกรฟ แลนส์ดาวน์ ร่วงลง 2.6%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ดีดตัวขึ้นสวนทางการปิดลบของตลาด โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน พุ่งขึ้น 1.7% หุ้นเกลนคอร์ ดีดตัวขึ้น 2.5% แต่หุ้นแรนด์โกลด์ รีซอสเซส ขยับลง 0.8% และหุ้นโบลิเดน ร่วงลง 1.1%
หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน พุ่งขึ้น 1.8% แม้มีรายงานว่าบริษัทอาจมีการใช้จ่ายในการจัดทำบัญชีใหม่ราว 1.8 พันล้านดอลลาร์ จาการที่รัฐบาลสหรัฐปฏิรูประบบภาษีครั้งใหญ่

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: แรงซื้อหุ้นแบงก์หนุนดาวโจนส์ปิดบวก 39.18 จุด ขณะนักลงทุนจับตา CPI สหรัฐ
        ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ (13 ก.พ.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ ซึ่งรวมถึง บริษัทอันเดอร์ อาร์เมอร์ ผู้ผลิตเครื่องกีฬาชั้นนำ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนม.ค.ของสหรัฐในวันนี้อย่างใกล้ชิด โดยตัวเลขดังกล่าวจะบ่งชี้ถึงสถานการณ์เงินเฟ้อในสหรัฐ และทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,640.45 จุด เพิ่มขึ้น 39.18 จุด หรือ +0.16% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,662.94 จุด เพิ่มขึ้น 6.94 จุด หรือ +0.26% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,013.51 จุด เพิ่มขึ้น 31.55 จุด หรือ +0.45%
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น โดยหุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ทะยานขึ้น 2.7% หลังจากนายทิโมธี สโลน ซีอีโอของเวลส์ ฟาร์โก ได้ออกมาสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่า การที่คณะกรรมการเฟดมีคำสั่งให้เวลส์ ฟาร์โก ควบคุมการเติบโตทางธุรกิจนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อทางธนาคาร
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา เฟดได้ออกคำสั่งไม่ให้ธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ทำการขยายธุรกิจต่างๆ หลังจากมีรายงานว่าธนาคารแห่งนี้ยังคงมีพฤติกรรมเอาเปรียบลูกค้า และละเมิดกฎระเบียบของภาคธนาคาร นอกจากนี้ เฟดยังห้ามไม่ให้เวลส์ ฟาร์โก มีสินทรัพย์โดยรวมมากไปกว่ามูลค่าสินทรัพย์ที่ถือครอง ณ สิ้นปี 2560 จนกว่าธนาคารแห่งนี้จะปรับปรุงระบบการบริหารจัดการให้ดีขึ้น
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มธนาคารนั้น หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปรับตัวขึ้น 0.9% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ขยับขึ้น 0.6% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา เพิ่มขึ้น 0.2% และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ดีดตัวขึ้น 0.6%
หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ ทะยานขึ้น 17.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 4/2560 ที่ระดับ 1.4 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.3 พันล้านดอลลาร์
หุ้นเป๊ปซี่โค ดีดตัวขึ้น 0.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4/2560 ที่ระดับ 1.31 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1.30 ดอลลาร์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ 1.953 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1.939 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นอเมซอน ทะยานขึ้น 2% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงาว่า บริษัทอเมซอนเตรียมรุกธุรกิจเดลิเวอรี่ ภายใต้ชื่อ "Shipping with Amazon"
หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ร่วงลง 1.4% หลังจากมีรายงานว่า GM เตรียมปิดโรงงานประกอบรถยนต์ในเมืองกุนซานของเกาหลีใต้ ภายในสิ้นเดือนพ.ค.นี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างธุรกิจ หลังจากความต้องการรถยนต์ชะลอตัวลง
นักลงทุนจับตากระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนม.ค.ในวันนี้ เนื่องจากเป็นปัจจัยที่สามารถบ่งชี้ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และยังบ่งชี้ถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดเช่นกัน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI เดือนม.ค.จะขยายตัวที่ระดับ 1.9% เมื่อเทียบรายปี หลังจากขยายตัว 2.1% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนม.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)เดือนม.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนธ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนก.พ. จากเฟดนิวยอร์ก, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนม.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค., ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนม.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์

OO5485

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!