- Details
- Category: ซุบซิบการลงทุน
- Published: Tuesday, 25 August 2015 23:05
- Hits: 4962
บล.คันทรี่ กรุ๊ป : บทวิเคราะห์เด็กแนว
เด็กแนว : อีกหลายมุกเด็ดที่จะงัดออกมา
ทิศทางของหุ้นไทย หรือหุ้นทั่วโลกในรอบนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นขาลงมาหลายเดือนแล้ว เพียงแต่การลงนั้นมีลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป นักลงทุนถูกประเด็นทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐบดบังการตัดสินใจมาหลายเดือน มัวแต่รอข่าวว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ วันไหนรู้สึกว่าไม่ขึ้นดอกเบี้ยก็เข้าเก็งกำไร วันไหนไม่มั่นใจว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยก็ขายหุ้นออก ทำให้ขาดกลยุทธ์ที่เด็ดขาด
จีนไม่ได้สนใจ หรือรอช้า สำหรับภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนนี้ เนื่องจากการตัดสินใจสามารถทำได้รวดเร็วกว่า เมื่อมองเห็นแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ส่อปัญหา ก็จะออกมาตรการอย่างรวดเร็ว ซึ่งล่าสุดการการลดเงินหยวนลง 2 ครั้งรวม 3.5% เพื่อกระตุ้นการแข่งขันทางการค้านี้ ซึ่งว่าไปแล้วจะเป็นตัวช่วยให้ภูมิภาคเอเชียได้เปรียบยุโรปและอเมริการที่เศรษฐกิจยังคงย่ำแย่ ความอ่อนแอของต่างชาติเห็นได้ชัดเจนว่าการออกมาตรการของจีนกลับทำให้สั่นสะเทือนทั้งตลาดเงินสกุลดอลล่าร์ และตลาดหุ้นอย่างรุนแรง ทำไมฝรั่งจึงต้องตกใจกันขนาดนั้น โดยเฉพาะอเมริกา ได้รับผลโดยตรง เนื่องจากเศรษฐกิจที่ทำท่าจะฟื้นตัว และกำลังจะเตรียมขึ้นดอกเบี้ย กลับถูกจีนตัดหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นอาจทำให้สหรัฐต้องคิดให้ดีกับแผนทางเศรษฐกิจที่กำลังจะทำ การพลาดท่านี้เองทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวนรุนแรงมาก ถ้าแข็งแกร่งจริง ทำไมต้องเละได้ขนาดนี้
การลดหยวนของจีนราว 3.5% ทำให้ทองคำขึ้นราว 5% ขณะที่จีนมีทองคำสำรอง 1.05 ล้านตันมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทันที และพันธบัตรสหรัฐที่จีนถือครองอันดับ 1 ของโลก 1.3 ล้านล้านดอลล่าร์เพิ่มขึ้นทันทีกว่า 3% เงินดอลล่าร์ที่แข็งเมื่อเทียบหยวน ทำให้จีนได้ประโยชน์จากสินทรัพย์สกุลดอลล่าร์เพิ่มขึ้นในทันที และหากสหรัฐจะถือโอกาสนี้ชำระหนี้ให้จีนก็ยิ่งทำให้จีนได้เปรียบอยู่ดี
ล่าสุด กลเม็ดที่สองของจีน คือ ให้กองทุนบำเหน็จบำนาญที่มีขนาดใหญ่กว่า 3.5 ล้านล้านหยวนลงทุนในหุ้นจีนได้ 30% เป็นมาตรการอุ้มหุ้นไม้แรก ซึ่งจีนยังมีอีกหลายมุกเด็ดที่จะงัดออกมา ขณะที่ยุโรปนิ่งเงียบ เพราะไม่มีเครื่องมืออะไรที่จะไปสู้ ส่วนสหรัฐก็แทบไม่มีเครื่องมืออะไรช่วยแล้ว สิ่งที่ทำได้ และทำมาตลอดคือได้แต่โจมตีจีนด้วยทฤษฏีต่างๆ และพยายามมองในแง่ร้ายไว้ก่อน เพื่อให้ชาวโลกพยายามเชื่อว่าจีนนั้นกำลังแย่ แต่กลับไม่ว่าตัวเองถึงทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายที่คิดขึ้นมาเองใช้เองจนเศรษฐกิจทรุดโทรมได้ขนาดนี้ เกือบทุกตัวเลขชี้วัดทางเศรษฐกิจสหรัฐสู้จีนไม่ได้เลย แต่พยายามที่จะผลักดันแนวคิดของตัวเองว่าเป็นมาตรฐานโลก เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าใครจะมีเสถียรภาพ นักลงทุนคงต้องประคองตัวเองต่อไป แต่เชื่อว่าเอเชียได้เปรียบในที่สุด และหุ้นเอเชียจะกลับมาฟื้นตัวก่อนใคร
SET วันนี้ยังแกว่งตัวได้ทั้งสองทิศทาง ข้อดีอันหนึ่งคือภาวะฟองสบู่ของตลาดหุ้นไทยผ่านพ้นไปแล้วเมื่อ market cap. มีขนาดต่ำกว่าขนาดของ GDP แล้ว 5% ตลาดหุ้นไทยกำลังจะเข้าสู่จุดสมดุล และเชื่อว่าลงได้ไม่มากกว่านี้ หากประเมินด้วยตัวเลขสำคัญย้อนหลัง 10ปีดูเหมือนว่าใกล้จุดสิ้นสุดการลงทุนเต็มที
- หุ้นขนาดใหญ่ เช่นกลุ่มพลังงาน เคมี ยังฟื้นตัวจำกัด เพราะเม็ดเงินก้อนใหญ่ยังไม่เข้าในกลุ่มนี้ อีกทั้งผลประกอบการไตรมาส 3 ยังกดดัน ดังนั้นหุ้นกลุ่มใหญ่จึงยังไม่ใช่ทางเลือกแรก
- หุ้นขนาดกลาง เป็นหุ้นที่น่าสนใจเข้าสะสม เน้นหุ้นที่มีปัจจัยกระตุ้นดี และผลประกอบการที่จะโดดเด่นในครึ่งปีหลัง เม็ดเงินขนาดกลางมีโอกาสเข้ากลุ่มนี้ โดยเฉพาะกองทุนในประเทศที่เริ่มมีนักลงทุนเข้าซื้อกองทุนระยะยาว ดังนั้นหุ้นขนาดกลางจะฟื้นตัวเร็ว เช่นกลุ่มรับเหมา หุ้นที่ undervalue มากๆรวมทั้งหุ้นกำไรโดดเด่นเช่น TVO, VNG, MCS, TPIPL, BANPU, SPALI
- หุ้นขนาดเล็กเก็งกำไร จะดีดตัวได้ไม่ยาก เน้นไปที่หุ้นยอดนิยมที่คุ้นหน้าเป็นหลัก การเก็งกำไรยังหวือหวา แต่มักจะถูกกลับมาเล่นได้ไม่ยาก เช่น HFT, KKC, ASIMAR, MILL, AJD, CEI, Wiik เป็นต้น