- Details
- Category: ซุบซิบการลงทุน
- Published: Tuesday, 17 April 2018 18:22
- Hits: 9855
บล.เออีซี : EA แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน ที่ 40.00 บ.
เนื้อหานี้กว้างกว่างหน้าจอ คุณสามารถ Scroll ซ้าย-ขวาเพื่ออ่านเนื้อหาได้
เนื้อหานี้กว้างกว่างหน้าจอ คุณสามารถ Scroll ซ้าย-ขวาเพื่ออ่านเนื้อหาได้
Stock : EA
Price : 34.25
Target Price : 40.00
Rating : BUY
Best Time to "BUY"
ช่วง 1Q61 คาดกำไรโต 7.4%YoY จากการรับรู้รายได้จากทั้งโซลาร์และลม
แม้ช่วง 1Q61 คาด EA จะมีอัตรากำไรขั้นต้นลดเหลือ 48.2% จาก 49.2% ในช่วง 1Q60 หลังมีรายได้ไบโอดีเซล (มาร์จิ้นต่ำ) เข้ามามีสัดส่วนมากขึ้นหลังใช้สัดส่วน B7 ตั้งแต่เดือนพ.ค.60 แต่คาดถูกชดเชยได้ด้วยปัจจัยบวกจาก 1) รายได้หลักที่คาดโต 17.9%YoY สู่ระดับ 3,120 ล้านบาท ซึ่งหลักๆ มาจากการรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าลมหาดกังหัน (126MW) หลังเริ่ม COD ครบทั้ง 3 โรงตั้งแต่ช่วง 2Q60 โดยคาดมี Capacity Factor ที่ระดับ 27% ในช่วง 1Q61 และรายได้ของธุรกิจไบโอดีเซลที่คาดโตราว 8%YoY หลังใช้สัดส่วน B7 ซึ่งสูงกว่า B5 ในช่วง 1Q60 ส่วนรายได้โรงไฟฟ้าโซลาร์ 4 โรง (278MW) คาดทรงตัวใกล้เคียงช่วงเดียวกันปีก่อน และ 2) SG&A/Sales ที่คาดลดเหลือ 5.3% จาก 5.4% ในช่วง 1Q60 หลังเกิดผลประหยัดต่อขนาดจากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นมากของโรงไฟฟ้าลม ส่งผลให้ช่วง 1Q61 คาด EA จะมีกำไรปกติ 1,017 ล้านบาท โต 7.4%YoY
แม้ช่วง 1Q61 คาด EA จะมีอัตรากำไรขั้นต้นลดเหลือ 48.2% จาก 49.2% ในช่วง 1Q60 หลังมีรายได้ไบโอดีเซล (มาร์จิ้นต่ำ) เข้ามามีสัดส่วนมากขึ้นหลังใช้สัดส่วน B7 ตั้งแต่เดือนพ.ค.60 แต่คาดถูกชดเชยได้ด้วยปัจจัยบวกจาก 1) รายได้หลักที่คาดโต 17.9%YoY สู่ระดับ 3,120 ล้านบาท ซึ่งหลักๆ มาจากการรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าลมหาดกังหัน (126MW) หลังเริ่ม COD ครบทั้ง 3 โรงตั้งแต่ช่วง 2Q60 โดยคาดมี Capacity Factor ที่ระดับ 27% ในช่วง 1Q61 และรายได้ของธุรกิจไบโอดีเซลที่คาดโตราว 8%YoY หลังใช้สัดส่วน B7 ซึ่งสูงกว่า B5 ในช่วง 1Q60 ส่วนรายได้โรงไฟฟ้าโซลาร์ 4 โรง (278MW) คาดทรงตัวใกล้เคียงช่วงเดียวกันปีก่อน และ 2) SG&A/Sales ที่คาดลดเหลือ 5.3% จาก 5.4% ในช่วง 1Q60 หลังเกิดผลประหยัดต่อขนาดจากการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นมากของโรงไฟฟ้าลม ส่งผลให้ช่วง 1Q61 คาด EA จะมีกำไรปกติ 1,017 ล้านบาท โต 7.4%YoY
ปี 61 คาดกำไรโต 25.1%YoY จากการรับรู้รายได้เต็มปีของโรงไฟฟ้าลมหาดกังหัน (126MW)
เรายังคงคาดปี 2561 EA จะมีกำไรปกติ 4,777 ล้านบาท โต 25.1%YoY ด้วยแรงหนุนจากรายได้หลักที่คาดโต 17.5%YoY สู่ระดับ 13,605 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) การรับรู้รายได้เต็มปีของโรงไฟฟ้าลมหาดกังหัน (126MW) เป็นปีแรก โดยคาดมี Capacity Factor ที่ระดับ 25% หรือราว 6 ชั่วโมงต่อวัน 2) การรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องของโรงไฟฟ้าโซลาร์ (278MW) จากปริมาณการผลิตไฟที่ระดับ 620 ล้านหน่วยต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2560 3) รายได้ไบโอดีเซลคาดโต 4%YoY จากสัดส่วนผสมน้ำมันไบโอดีเซลที่ระดับ 7% (B7) ตลอดทั้งปีนี้ และ 4) การเริ่มรับรู้รายได้บางส่วนจากการดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าลมหนุมานอีก 5 โรง (260MW) ในช่วงปลายปีนี้ นอกจากนี้อัตรากำไรขั้นต้นคาดเพิ่มเป็น 50.4% จาก 47.8% ในปี 2560 หลังมีสัดส่วนรายได้จากโรงไฟฟ้าลม (มาร์จิ้นสูง)เพิ่มขึ้น บวกกับ SG&A/Sales คาดลดเหลือ 5.1% จาก 5.8% ในปี 2560 จากเกิดผลประหยัดต่อขนาด
เรายังคงคาดปี 2561 EA จะมีกำไรปกติ 4,777 ล้านบาท โต 25.1%YoY ด้วยแรงหนุนจากรายได้หลักที่คาดโต 17.5%YoY สู่ระดับ 13,605 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) การรับรู้รายได้เต็มปีของโรงไฟฟ้าลมหาดกังหัน (126MW) เป็นปีแรก โดยคาดมี Capacity Factor ที่ระดับ 25% หรือราว 6 ชั่วโมงต่อวัน 2) การรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องของโรงไฟฟ้าโซลาร์ (278MW) จากปริมาณการผลิตไฟที่ระดับ 620 ล้านหน่วยต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2560 3) รายได้ไบโอดีเซลคาดโต 4%YoY จากสัดส่วนผสมน้ำมันไบโอดีเซลที่ระดับ 7% (B7) ตลอดทั้งปีนี้ และ 4) การเริ่มรับรู้รายได้บางส่วนจากการดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าลมหนุมานอีก 5 โรง (260MW) ในช่วงปลายปีนี้ นอกจากนี้อัตรากำไรขั้นต้นคาดเพิ่มเป็น 50.4% จาก 47.8% ในปี 2560 หลังมีสัดส่วนรายได้จากโรงไฟฟ้าลม (มาร์จิ้นสูง)เพิ่มขึ้น บวกกับ SG&A/Sales คาดลดเหลือ 5.1% จาก 5.8% ในปี 2560 จากเกิดผลประหยัดต่อขนาด
เพิ่มคำแนะนำเป็น "ซื้อ" ด้วย Upside 16.8% จากมูลค่าพื้นฐานปี 61 ที่ 40 บาท
เนื่องด้วยช่วง 2 ปีนี้ (ปี 2561-2562) คาดกำไรจะโตเฉลี่ยปีละ 39.6% จากรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าโซลาร์และลมด้วยกำลังผลิตรวม 664MW บวกกับตั้งแต่ช่วง 2H62 คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ธุรกิจแบตเตอรี่เฟสแรก (1GW) ราวปีละ 3,500 ล้านบาท อีกทั้งยังมี Upside Risk จากธุรกิจแบตเตอรี่ในช่วงเฟส 2 (49GW) และธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ที่คาดเริ่มจัดจำหน่ายในปี 2563 หลังเปิดตัวรถต้นแบบในงานมอเตอร์โชว์เมื่อเดือนมี.ค.61 ซึ่งเรายังไม่ได้รวมในประมาณการ อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลงจนกลับมามี Upside 16.8% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2561 ที่ 40 บาท (วิธี SOTP) แบ่งเป็น 1) ธุรกิจโรงไฟฟ้าโซลาร์, ลม และไบโอดีเซล มูลค่าหุ้นละ 30 บาท และ 2) ธุรกิจแบตเตอรี่ในช่วงเฟส 1 มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ดังนั้นเราจึงขอปรับเพิ่มคำแนะนำจากเดิม "ขาย" เป็น "ซื้อลงทุน"
เนื่องด้วยช่วง 2 ปีนี้ (ปี 2561-2562) คาดกำไรจะโตเฉลี่ยปีละ 39.6% จากรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าโซลาร์และลมด้วยกำลังผลิตรวม 664MW บวกกับตั้งแต่ช่วง 2H62 คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ธุรกิจแบตเตอรี่เฟสแรก (1GW) ราวปีละ 3,500 ล้านบาท อีกทั้งยังมี Upside Risk จากธุรกิจแบตเตอรี่ในช่วงเฟส 2 (49GW) และธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ที่คาดเริ่มจัดจำหน่ายในปี 2563 หลังเปิดตัวรถต้นแบบในงานมอเตอร์โชว์เมื่อเดือนมี.ค.61 ซึ่งเรายังไม่ได้รวมในประมาณการ อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลงจนกลับมามี Upside 16.8% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2561 ที่ 40 บาท (วิธี SOTP) แบ่งเป็น 1) ธุรกิจโรงไฟฟ้าโซลาร์, ลม และไบโอดีเซล มูลค่าหุ้นละ 30 บาท และ 2) ธุรกิจแบตเตอรี่ในช่วงเฟส 1 มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ดังนั้นเราจึงขอปรับเพิ่มคำแนะนำจากเดิม "ขาย" เป็น "ซื้อลงทุน"
บล.เออีซี : Action Strategy
เนื้อหานี้กว้างกว่างหน้าจอ คุณสามารถ Scroll ซ้าย-ขวาเพื่ออ่านเนื้อหาได้
MARKET OUTLOOK
SET กลับมาคึกคัก หลังพักสงกรานต์ ! ดัชนี SET ตลอดทั้งสัปดาห์ (9-12 เม.ย.) ที่ผ่านมา สะท้อนภาพตลาดฟื้นตัวดีขึ้น หลังพลิกกลับมาทะลุแนวต้าน 1,760 จุด ได้สำเร็จ จากกราฟรายวัน ดัชนี SET ดีดตัวกลับเข้าสู่กรอบ Bollinger Band โดยดัชนีรีบาวด์ขึ้นมาจากกรอบล่าง Bottom Line (-2SD.) โดยมีแรงส่งจากทิศทางของโมเมนตัมที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นจากสัญญาณการกลับตัว Bullish Divergence จาก Modified Stochastic ขณะเดียวกัน RSI เริ่มฟื้นตัวขึ้นจาก Oversold Zone (RSI<30%) พลิกกลับมาแกว่งตัวใน Neutral Zone (RSI50%,?10%) ทำให้ภาพของการรีบาวด์ยังคงเป็นบวก ปัจจัยข้างต้น ทำให้เรามองว่า SET สัปดาห์นี้น่าจะรีบาวด์ต่อ โดยมีแนวต้านแรกที่ 1,780 จุด (Average Line จากกรอบ Bollinger Band) หากทะลุมองแนวต้านถัดไป 1,805 จุด (แนวต้านจากเส้นกด Downward Slope) โดยมองแนวรับสัปดาห์นี้บริเวณ 1,755-1,760 จุด ฉะนั้นกลยุทธ์รายสัปดาห์ที่เหมาะสม นักเก็งกำไร กรณีมีหุ้นถือต่อ กรณีไม่มีหุ้นแนะนำซื้อแนวรับ คาดหวังแนวต้าน 1,780/1,805 จุด สำหรับนัลงทุนระยะกลางรอดัชนีทะลุเหนือเส้นกด Downward Slope ก่อน ทั้งนี้ให้ระมัดระวัง SET ไม่ควรกลับมาปิดต่ำกว่ากรอบแนวรับดังกล่าว หากปิดหลุดแนะนำ Stop Loss ก่อน กลุ่มที่คาดว่าปรับตัวบวก ได้แก่ กลุ่มธนาคาร (BANK) ( TOPPICK : BBL, TISCO ) , กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP) ( TOPPICK : AMATA, WHA )
MARKET OUTLOOK
SET กลับมาคึกคัก หลังพักสงกรานต์ ! ดัชนี SET ตลอดทั้งสัปดาห์ (9-12 เม.ย.) ที่ผ่านมา สะท้อนภาพตลาดฟื้นตัวดีขึ้น หลังพลิกกลับมาทะลุแนวต้าน 1,760 จุด ได้สำเร็จ จากกราฟรายวัน ดัชนี SET ดีดตัวกลับเข้าสู่กรอบ Bollinger Band โดยดัชนีรีบาวด์ขึ้นมาจากกรอบล่าง Bottom Line (-2SD.) โดยมีแรงส่งจากทิศทางของโมเมนตัมที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นจากสัญญาณการกลับตัว Bullish Divergence จาก Modified Stochastic ขณะเดียวกัน RSI เริ่มฟื้นตัวขึ้นจาก Oversold Zone (RSI<30%) พลิกกลับมาแกว่งตัวใน Neutral Zone (RSI50%,?10%) ทำให้ภาพของการรีบาวด์ยังคงเป็นบวก ปัจจัยข้างต้น ทำให้เรามองว่า SET สัปดาห์นี้น่าจะรีบาวด์ต่อ โดยมีแนวต้านแรกที่ 1,780 จุด (Average Line จากกรอบ Bollinger Band) หากทะลุมองแนวต้านถัดไป 1,805 จุด (แนวต้านจากเส้นกด Downward Slope) โดยมองแนวรับสัปดาห์นี้บริเวณ 1,755-1,760 จุด ฉะนั้นกลยุทธ์รายสัปดาห์ที่เหมาะสม นักเก็งกำไร กรณีมีหุ้นถือต่อ กรณีไม่มีหุ้นแนะนำซื้อแนวรับ คาดหวังแนวต้าน 1,780/1,805 จุด สำหรับนัลงทุนระยะกลางรอดัชนีทะลุเหนือเส้นกด Downward Slope ก่อน ทั้งนี้ให้ระมัดระวัง SET ไม่ควรกลับมาปิดต่ำกว่ากรอบแนวรับดังกล่าว หากปิดหลุดแนะนำ Stop Loss ก่อน กลุ่มที่คาดว่าปรับตัวบวก ได้แก่ กลุ่มธนาคาร (BANK) ( TOPPICK : BBL, TISCO ) , กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP) ( TOPPICK : AMATA, WHA )
STOCK HUNTER
Point of view เพราะเป็น AMATA จึงฟื้นคืนได้ใหม่! … STOCK HUNTER วันนี้เลือกหุ้นนิคมอุตสาหกรรม AMATA หลังจากราคายืนเหนือเส้นแนวรับกรอบล่างของ Downtrend Channel โดยกราฟรายวัน พบการรีบาวด์จากกรอบแนวรับ พร้อมกับสัญญาณเชิงบวกจากแท่งเทียน Bullish Engulfing ขณะที่สัญญาณโมเมนตัมเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น MACD พลิกกลับเหนือเส้น Signal ทำให้เรามองว่า AMATA มีโอกาสรบาวด์ต่อ โดยมีแนวต้าน 21.20 บาท รอทดสอบ หากทะลุคาดหวังขึ้นทดสอบจุดสูงก่อนหน้า 23.40 บาท อย่างไรก็ตาม หากราคาปิดหลุด 18.60 บาท แนะนำ Stop Loss ออกก่อน
Point of view เพราะเป็น AMATA จึงฟื้นคืนได้ใหม่! … STOCK HUNTER วันนี้เลือกหุ้นนิคมอุตสาหกรรม AMATA หลังจากราคายืนเหนือเส้นแนวรับกรอบล่างของ Downtrend Channel โดยกราฟรายวัน พบการรีบาวด์จากกรอบแนวรับ พร้อมกับสัญญาณเชิงบวกจากแท่งเทียน Bullish Engulfing ขณะที่สัญญาณโมเมนตัมเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น MACD พลิกกลับเหนือเส้น Signal ทำให้เรามองว่า AMATA มีโอกาสรบาวด์ต่อ โดยมีแนวต้าน 21.20 บาท รอทดสอบ หากทะลุคาดหวังขึ้นทดสอบจุดสูงก่อนหน้า 23.40 บาท อย่างไรก็ตาม หากราคาปิดหลุด 18.60 บาท แนะนำ Stop Loss ออกก่อน
อิศรา เลิศสุดคนึง (เลขทะเบียน 033432) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ (ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เทคนิค)
จิรภัทร โบสุวรรณ (ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เทคนิค)
ตฤณ สิทธิสวัสดิ์ (ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เทคนิค)
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ (ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เทคนิค)
จิรภัทร โบสุวรรณ (ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เทคนิค)
ตฤณ สิทธิสวัสดิ์ (ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เทคนิค)
บล.เออีซี : Derivatives Signals
เนื้อหานี้กว้างกว่างหน้าจอ คุณสามารถ Scroll ซ้าย-ขวาเพื่ออ่านเนื้อหาได้
SET50 Index Futures
SET50 Index Futures
มุมมองทางทฤษฎี: ระยะสั้นตลาดมองดัชนีขึ้นต่อ!!!
BASIS (S50M18-SET50): เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานี้ S50M18 ปิดบวกด้วย % มากกว่า Spot ส่งผลให้ Basis เพิ่มขึ้นจากวันทำการก่อนหน้า โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ -1.38 จุด สูงกว่า Theory Basis ที่ -2.45 จุด สะท้อนมุมมองเป็นบวกเล็กน้อยในระยะสั้น (3 เดือน) ของนักลงทุนที่มีต่อ SET50 Index ส่วน Calendar Spread (S50U18-S50M18) ลดลงจากวันทำการก่อนหน้า 0.2 จุด โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ -4.8 จุด ใกล้เคียง Theory Spread ที่ -4.47 จุด สะท้อนมุมมองเป็นกลางในระยะกลาง (6 เดือน) ของนักลงทุนที่มีต่อ SET50 Index
PUT/CALL Ratio: ปัจจุบันอัตราส่วนการเทรด SET50 Index Option ฝั่ง PUT เทียบกับฝั่ง CALL พบว่าปริมาณซื้อขาย (Volume) อยู่ที่ 1.04x เพิ่มขึ้นจากวันทำการก่อนหน้า 0.15x ขณะที่ฝั่งสถานะคงค้าง (Open Interest) ปัจจุบันอยู่ที่ 0.80x ลดลงจากวันทำการก่อนหน้า 0.01x ซึ่งเราให้น้ำหนักกับการเปลี่ยนแปลงของ OI มากกว่า Volume เพราะแสดงถึงอุปสงค์ที่แท้จริง โดย PUT/CALL Ratio ฝั่ง OI มีค่าต่ำว่า 1x บ่งชี้ถึงสภาวะความกล้าในตลาด Sideway (ดูรายละเอียดหน้า 2)
Fund Flow Analysis: แม้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานี้นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ Net Long 2,525 สัญญา ใน Index Futures แต่กลับขายสุทธิในตลาดหุ้น 1,498.5 ล้านบาท โดยตั้งแต่เริ่มต้นช่วง 2Q61 นักลงทุนต่างชาติมียอดคงค้างเป็นสถานะซื้อสุทธิในตลาดทุน (หุ้น + Index Futures) ลดลงเหลือ 7,287.7 ล้านบาท
BASIS (S50M18-SET50): เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานี้ S50M18 ปิดบวกด้วย % มากกว่า Spot ส่งผลให้ Basis เพิ่มขึ้นจากวันทำการก่อนหน้า โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ -1.38 จุด สูงกว่า Theory Basis ที่ -2.45 จุด สะท้อนมุมมองเป็นบวกเล็กน้อยในระยะสั้น (3 เดือน) ของนักลงทุนที่มีต่อ SET50 Index ส่วน Calendar Spread (S50U18-S50M18) ลดลงจากวันทำการก่อนหน้า 0.2 จุด โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ -4.8 จุด ใกล้เคียง Theory Spread ที่ -4.47 จุด สะท้อนมุมมองเป็นกลางในระยะกลาง (6 เดือน) ของนักลงทุนที่มีต่อ SET50 Index
PUT/CALL Ratio: ปัจจุบันอัตราส่วนการเทรด SET50 Index Option ฝั่ง PUT เทียบกับฝั่ง CALL พบว่าปริมาณซื้อขาย (Volume) อยู่ที่ 1.04x เพิ่มขึ้นจากวันทำการก่อนหน้า 0.15x ขณะที่ฝั่งสถานะคงค้าง (Open Interest) ปัจจุบันอยู่ที่ 0.80x ลดลงจากวันทำการก่อนหน้า 0.01x ซึ่งเราให้น้ำหนักกับการเปลี่ยนแปลงของ OI มากกว่า Volume เพราะแสดงถึงอุปสงค์ที่แท้จริง โดย PUT/CALL Ratio ฝั่ง OI มีค่าต่ำว่า 1x บ่งชี้ถึงสภาวะความกล้าในตลาด Sideway (ดูรายละเอียดหน้า 2)
Fund Flow Analysis: แม้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานี้นักลงทุนต่างชาติมีสถานะ Net Long 2,525 สัญญา ใน Index Futures แต่กลับขายสุทธิในตลาดหุ้น 1,498.5 ล้านบาท โดยตั้งแต่เริ่มต้นช่วง 2Q61 นักลงทุนต่างชาติมียอดคงค้างเป็นสถานะซื้อสุทธิในตลาดทุน (หุ้น + Index Futures) ลดลงเหลือ 7,287.7 ล้านบาท
Technical Analysis
มุมมองด้านเทคนิค: คาดแกว่งขึ้นต่อในกรอบ Sideway!!!
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานี้ S50M18 แกว่งขึ้นจนปิด +0.46%DoD มากกว่า SET50 Index (+0.20%DoD) และ SET Index (+0.22%DoD) แสดงให้เห็นถึงความต้องการเปิดสถานะ Long ที่สูงใน Index Futures จนทำให้ S50M18 ปิดยืนเหนือแนวรับค่าเฉลี่ยEMA20วันได้อีกครั้ง โดยแม้เทรนด์หลักจะยังคงเป็น Sideway ที่มีกรอบการแกว่งค่อนข้างกว้าง 1,130-1,190 จุด แต่เราพบว่าเทรนด์ย่อยมีแนวโน้มขึ้นต่อจากสัญญาณซื้อใน Modified Stochastic ที่นอกจาก %K มากกว่า %D แล้ว ทั้งคู่ยังคงปรับเพิ่มต่อเนื่อง ซึ่ง S50M18 มีแนวต้านที่ 1,180 จุด และแนวปะทะถัดไปที่ 1,190 จุด ตามลำดับ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานี้ S50M18 แกว่งขึ้นจนปิด +0.46%DoD มากกว่า SET50 Index (+0.20%DoD) และ SET Index (+0.22%DoD) แสดงให้เห็นถึงความต้องการเปิดสถานะ Long ที่สูงใน Index Futures จนทำให้ S50M18 ปิดยืนเหนือแนวรับค่าเฉลี่ยEMA20วันได้อีกครั้ง โดยแม้เทรนด์หลักจะยังคงเป็น Sideway ที่มีกรอบการแกว่งค่อนข้างกว้าง 1,130-1,190 จุด แต่เราพบว่าเทรนด์ย่อยมีแนวโน้มขึ้นต่อจากสัญญาณซื้อใน Modified Stochastic ที่นอกจาก %K มากกว่า %D แล้ว ทั้งคู่ยังคงปรับเพิ่มต่อเนื่อง ซึ่ง S50M18 มีแนวต้านที่ 1,180 จุด และแนวปะทะถัดไปที่ 1,190 จุด ตามลำดับ
กลยุทธ์การลงทุน
Outright Trading: Trading Long คาดหวังแนวต้าน 1,180 จุด และ 1,190 จุด ตามลำดับ Stop Loss หากหลุด 1,155 จุด
Outright Trading: Trading Long คาดหวังแนวต้าน 1,180 จุด และ 1,190 จุด ตามลำดับ Stop Loss หากหลุด 1,155 จุด
นักวิเคราะห์: อิศรา เลิศสุดคนึง (ID:033432)
บล.เออีซี : Daily Focus
เนื้อหานี้กว้างกว่างหน้าจอ คุณสามารถ Scroll ซ้าย-ขวาเพื่ออ่านเนื้อหาได้
AECS Daily Focus
Trading Idea: AMATA
AECS Daily Focus
Trading Idea: AMATA
Connect the World- (P.2)
สัปดาห์นี้ติดตามสถานการณ์ในซีเรียอย่างใกล้ชิด
สัปดาห์นี้ติดตามสถานการณ์ในซีเรียอย่างใกล้ชิด
Market Outlook
สัปดาห์ก่อนดัชนี SET ฟื้นตัวขึ้นและกลับมายืนเหนือ 1,760 จุด หลังนักลงทุนคลายกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน อีกทั้งยังมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบพุ่ง และแรงซื้อคืนหุ้นกลุ่ม ธพ.ที่ปรับลงไปแรง หนุนให้ดัชนีปิดที่ 1,767.17 จุด เพิ่มขึ้น 1.57%WoW
สัปดาห์นี้คาด SET Index แกว่งตัวกรอบระหว่าง 1,760-1,800 จุด ทั้งนี้ลุ้นดัชนีปรับขึ้นต่อได้หลังตลาดคลายกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน อีกทั้งมองหากดัชนีสามารถกลับมาปิดเหนือ 1,780 จุดจะช่วยหนุนให้บรรยากาศลงทุนและแรงซื้อเก็งกำไรกลับมาคึกคักอีกครั้ง
สัปดาห์ก่อนดัชนี SET ฟื้นตัวขึ้นและกลับมายืนเหนือ 1,760 จุด หลังนักลงทุนคลายกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน อีกทั้งยังมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบพุ่ง และแรงซื้อคืนหุ้นกลุ่ม ธพ.ที่ปรับลงไปแรง หนุนให้ดัชนีปิดที่ 1,767.17 จุด เพิ่มขึ้น 1.57%WoW
สัปดาห์นี้คาด SET Index แกว่งตัวกรอบระหว่าง 1,760-1,800 จุด ทั้งนี้ลุ้นดัชนีปรับขึ้นต่อได้หลังตลาดคลายกังวลสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน อีกทั้งมองหากดัชนีสามารถกลับมาปิดเหนือ 1,780 จุดจะช่วยหนุนให้บรรยากาศลงทุนและแรงซื้อเก็งกำไรกลับมาคึกคักอีกครั้ง
Market Factors
(+) ตลาดหุ้น DJIA ปิด +0.87%DoD ขานรับข้อมูล ศก. สหรัฐฯ และผลประกอบการ บจ. ที่ออกมาสดใส อีกทั้งยังคลายกังวลสถานการณ์ซีเรีย
(-) ตลาดน้ำมัน WTI ปิด -1.7%DoD หลังคลายกังวลสถานการณ์ซีเรีย เนื่องจากการโจมตีซีเรียที่เกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ผ่านมา ไม่ได้สร้างความเผชิญหน้ากันระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซีย
(+/-) สัปดาห์นี้ติดตามข้อมูล ศก. สหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลอสังหา, สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์จาก EIA, รายงานสรุปภาวะ ศก.จากเฟด, การออกมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่อรัสเซียเพื่อตอบโต้การใช้อาวุธเคมีในซีเรียรวมทั้งยอดค้าปลีก มี.ค. และ GDP1Q61 ของจีน, เงินเฟ้อ มี.ค. ของอังกฤษและอียู
(+) ตลาดหุ้น DJIA ปิด +0.87%DoD ขานรับข้อมูล ศก. สหรัฐฯ และผลประกอบการ บจ. ที่ออกมาสดใส อีกทั้งยังคลายกังวลสถานการณ์ซีเรีย
(-) ตลาดน้ำมัน WTI ปิด -1.7%DoD หลังคลายกังวลสถานการณ์ซีเรีย เนื่องจากการโจมตีซีเรียที่เกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ผ่านมา ไม่ได้สร้างความเผชิญหน้ากันระหว่างสหรัฐฯ-รัสเซีย
(+/-) สัปดาห์นี้ติดตามข้อมูล ศก. สหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลอสังหา, สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์จาก EIA, รายงานสรุปภาวะ ศก.จากเฟด, การออกมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่อรัสเซียเพื่อตอบโต้การใช้อาวุธเคมีในซีเรียรวมทั้งยอดค้าปลีก มี.ค. และ GDP1Q61 ของจีน, เงินเฟ้อ มี.ค. ของอังกฤษและอียู
Investment Strategy
แม้ความผ่อนคลายต่อการเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนซึ่งหนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัว อีกทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับขึ้น และหุ้นกลุ่มธพ. ที่คาดปรับลงสะท้อนข่าวสงครามค่าฟีผ่านออนไลน์ไปแล้ว จะทำให้ SET Index ฟื้นตัวกลับมายืนเหนือ 1,760 จุดได้ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีต่อบรรยากาศลงทุนระยะสั้น แต่ระยะกลางเพื่อยืนยันทิศทางขาขึ้นที่ชัดเจนยังคงต้องรอดูดัชนีกลับมาปิดเหนือ 1,780 จุดอีกครั้ง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ "แบ่งซื้อสะสม โดย Selective Buy หุ้นที่คาดจะ Outperform" ดังนี้
1) หุ้นพลังงานซึ่งได้อานิสงส์ราคาน้ำมันยังสูงเกิน 65 ดอลลาร์/บาร์เรล : PTT, PTTEP
2) หุ้นธพ. ซึ่งคาดจะยังฟื้นตัวต่อหลังปรับลงแรงก่อนหน้า : KBANK, SCB, BBL, TMB
3) หุ้น Domestic Play ที่ยังโตแกร่ง: กลุ่มค้าปลีก (HMPRO, CPALL, BJC), กลุ่ม รพ. (BCH, RJH), กลุ่มโรงแรม (MINT, ERW) , กลุ่มบันเทิง (RS, MONO, WORK)
4) หุ้นจ่าย Div. Yield เกิน 3% โดยจะขึ้น XD เม.ย.-พ.ค. นี้ : KKP, AIT, SC, AP, LH
แม้ความผ่อนคลายต่อการเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนซึ่งหนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัว อีกทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับขึ้น และหุ้นกลุ่มธพ. ที่คาดปรับลงสะท้อนข่าวสงครามค่าฟีผ่านออนไลน์ไปแล้ว จะทำให้ SET Index ฟื้นตัวกลับมายืนเหนือ 1,760 จุดได้ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีต่อบรรยากาศลงทุนระยะสั้น แต่ระยะกลางเพื่อยืนยันทิศทางขาขึ้นที่ชัดเจนยังคงต้องรอดูดัชนีกลับมาปิดเหนือ 1,780 จุดอีกครั้ง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ "แบ่งซื้อสะสม โดย Selective Buy หุ้นที่คาดจะ Outperform" ดังนี้
1) หุ้นพลังงานซึ่งได้อานิสงส์ราคาน้ำมันยังสูงเกิน 65 ดอลลาร์/บาร์เรล : PTT, PTTEP
2) หุ้นธพ. ซึ่งคาดจะยังฟื้นตัวต่อหลังปรับลงแรงก่อนหน้า : KBANK, SCB, BBL, TMB
3) หุ้น Domestic Play ที่ยังโตแกร่ง: กลุ่มค้าปลีก (HMPRO, CPALL, BJC), กลุ่ม รพ. (BCH, RJH), กลุ่มโรงแรม (MINT, ERW) , กลุ่มบันเทิง (RS, MONO, WORK)
4) หุ้นจ่าย Div. Yield เกิน 3% โดยจะขึ้น XD เม.ย.-พ.ค. นี้ : KKP, AIT, SC, AP, LH
Market Talk and News
กลุ่มสินเชื่อฯ (Underweight): สศค. เริ่มเปิดรับฟังความเห็นต่อร่างพ.ร.บ. คุมสินเชื่อลิสซิ่ง(ถึงวันที่ 30 เม.ย.) เพื่อกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของธปท. ซึ่งคาดยังเป็นปัจจัยลบกดดันกลุ่มสินเชื่อNon-Bank ที่เราดูแลอย่าง SAWAD, MTLS และ LIT อย่างไรก็ดีเราคาด SAWAD (TP@71) จะไม่ได้รับผลกระทบจากกฏหมายดังกล่าวเพราะได้ถ่ายโอนธุรกิจปล่อยสินเชื่อส่วนใหญ่ไปดำเนินการผ่านBFIT ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินฯ และอยู่ภายใต้ พ.ร.บ. สถาบันการเงินเช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์อื่นแล้ว อีกทั้ง ปี 61 คาดกำไรยังโตเด่น 38.4%YoY จึงยังคงเลือก SAWAD เป็น Top Pick กลุ่ม
AAV (BUY:Consensus [email protected]): ปี 61 คาดกำไรโต10.1%YoY หนุนด้วยเป้าหมายจำนวนผู้โดยสารปีนี้ที่ 23.2 ล้านคนเติบโต 17%YoY และแผนปรับเพิ่มค่าโดยสารเฉลี่ยทั้งเส้นทางในประเทศและต่างประเทศเป็น 1,650 บาท/คน เพิ่มขึ้น 4-5%YoY + ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside 12.7% จึงแนะนำ "ซื้อ"
กลุ่มสินเชื่อฯ (Underweight): สศค. เริ่มเปิดรับฟังความเห็นต่อร่างพ.ร.บ. คุมสินเชื่อลิสซิ่ง(ถึงวันที่ 30 เม.ย.) เพื่อกำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของธปท. ซึ่งคาดยังเป็นปัจจัยลบกดดันกลุ่มสินเชื่อNon-Bank ที่เราดูแลอย่าง SAWAD, MTLS และ LIT อย่างไรก็ดีเราคาด SAWAD (TP@71) จะไม่ได้รับผลกระทบจากกฏหมายดังกล่าวเพราะได้ถ่ายโอนธุรกิจปล่อยสินเชื่อส่วนใหญ่ไปดำเนินการผ่านBFIT ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินฯ และอยู่ภายใต้ พ.ร.บ. สถาบันการเงินเช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์อื่นแล้ว อีกทั้ง ปี 61 คาดกำไรยังโตเด่น 38.4%YoY จึงยังคงเลือก SAWAD เป็น Top Pick กลุ่ม
AAV (BUY:Consensus [email protected]): ปี 61 คาดกำไรโต10.1%YoY หนุนด้วยเป้าหมายจำนวนผู้โดยสารปีนี้ที่ 23.2 ล้านคนเติบโต 17%YoY และแผนปรับเพิ่มค่าโดยสารเฉลี่ยทั้งเส้นทางในประเทศและต่างประเทศเป็น 1,650 บาท/คน เพิ่มขึ้น 4-5%YoY + ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside 12.7% จึงแนะนำ "ซื้อ"
Quantitative Screening
หุ้น High Alpha ซึ่งคาด Outperform ตลาดวันนี้เลือก CPALL , QH
หุ้น High Alpha ซึ่งคาด Outperform ตลาดวันนี้เลือก CPALL , QH
AECS - Fundamental and Strategic Team
ณัฏฐ์วริน ไตรภพสกุล (ID. 027445) [email protected]
อิศรา เลิศสุดคนึง (ID.033432) [email protected]
ตฤณ สิทธิสวัสดิ์ (ID. 091364) [email protected]
จิรภัทร โบสุวรรณ (ID. 040051) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ Data Support / Secretary
ณัฏฐ์วริน ไตรภพสกุล (ID. 027445) [email protected]
อิศรา เลิศสุดคนึง (ID.033432) [email protected]
ตฤณ สิทธิสวัสดิ์ (ID. 091364) [email protected]
จิรภัทร โบสุวรรณ (ID. 040051) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ Data Support / Secretary
OO7565