- Details
- Category: ซุบซิบการลงทุน
- Published: Wednesday, 14 March 2018 20:34
- Hits: 3219
EA แนะนำ ขาย ราคาพื้นฐาน ที่ 40.00 บ.
Stock : EA
Price : 48.00
Target Price : 40.00
Rating : SELL
ราคาหุ้นสะท้อนอนาคตที่ยังไม่ชัดเจน
ช่วง 4Q60 กำไรสุทธิโต YoY โดยมีแรงหนุนหลักจากโรงไฟฟ้าลมหาดกังหัน
ช่วง 4Q60 EA มีกำไรสุทธิ 896 ล้านบาท โต 7.9%YoY แต่หากไม่รวมผลกำไรจาก Fx 12 ล้านบาทในช่วง 4Q60 อีกทั้งขาดทุนจาก FX 24 ล้านบาทในช่วง 4Q59 พบว่า ช่วง 4Q60 EA มีกำไรปกติ 883 ล้านบาท โต 4%YoY โดยแม้อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงมาที่ 47.8% จาก 52.1% ในช่วง 4Q59 หลังมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจไบโอดีเซลซึ่งมีมาร์จิ้นต่ำเพิ่มขึ้น บวกกับ SG&A/Sales เพิ่มเป็น 7.3% จาก 5.1% ในช่วง 4Q59 หลังมีค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้นตามการขยายธุรกิจใหม่ แต่ปัจจัยลบดังกล่าวถูกชดเชยด้วยรายได้หลักที่โต 27.5%YoY สู่ระดับ 2,904 ล้านบาท โดยแม้รายได้จากธุรกิจโซลาร์หดตัวจากสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน แต่ถูกชดเชยด้วยรายได้จากโรงไฟฟ้าลมหาดกังหัน (126MW) ซึ่งเริ่ม COD ไปทั้ง 3 โรงในช่วง 1H60 ซึ่งมี Capacity Factor ในช่วง 4Q60 อยู่ที่ระดับ 27-30% มากกว่าเป้าหมายที่ 25% และ รายได้จากธุรกิจไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นหลังกระทรวงพลังงานปรับเพิ่มสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซลกลับมาที่ 7% (B7) ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.60 ทำให้ทั้งปี 2560 EA มีกำไรปกติ 3,757 ล้านบาท โต 11.2%YoY และมีกำไรสุทธิ 3,817 ล้านบาท โต 17.4%YoY ต่ำกว่าคาด
ช่วง 4Q60 EA มีกำไรสุทธิ 896 ล้านบาท โต 7.9%YoY แต่หากไม่รวมผลกำไรจาก Fx 12 ล้านบาทในช่วง 4Q60 อีกทั้งขาดทุนจาก FX 24 ล้านบาทในช่วง 4Q59 พบว่า ช่วง 4Q60 EA มีกำไรปกติ 883 ล้านบาท โต 4%YoY โดยแม้อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงมาที่ 47.8% จาก 52.1% ในช่วง 4Q59 หลังมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจไบโอดีเซลซึ่งมีมาร์จิ้นต่ำเพิ่มขึ้น บวกกับ SG&A/Sales เพิ่มเป็น 7.3% จาก 5.1% ในช่วง 4Q59 หลังมีค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้นตามการขยายธุรกิจใหม่ แต่ปัจจัยลบดังกล่าวถูกชดเชยด้วยรายได้หลักที่โต 27.5%YoY สู่ระดับ 2,904 ล้านบาท โดยแม้รายได้จากธุรกิจโซลาร์หดตัวจากสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน แต่ถูกชดเชยด้วยรายได้จากโรงไฟฟ้าลมหาดกังหัน (126MW) ซึ่งเริ่ม COD ไปทั้ง 3 โรงในช่วง 1H60 ซึ่งมี Capacity Factor ในช่วง 4Q60 อยู่ที่ระดับ 27-30% มากกว่าเป้าหมายที่ 25% และ รายได้จากธุรกิจไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นหลังกระทรวงพลังงานปรับเพิ่มสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซลกลับมาที่ 7% (B7) ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค.60 ทำให้ทั้งปี 2560 EA มีกำไรปกติ 3,757 ล้านบาท โต 11.2%YoY และมีกำไรสุทธิ 3,817 ล้านบาท โต 17.4%YoY ต่ำกว่าคาด
อัพเดทความคืบหน้า และพัฒนาการที่สำคัญของ EA ในช่วง 2 ปีนี้
จากการสอบถามผู้บริหาร เราพบว่า EA มีความคืบหน้าในโครงการต่างๆ ที่ลงทุนดังนี้ 1) โรงไฟฟ้าลมหนุมาน (260MW) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยคาดเริ่มทยอย COD ได้ครบทั้ง 5 โรงภายในช่วง 4Q61 (เลื่อนจากเดิมที่กำหนด COD ในช่วง 2Q61) 2) โครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ (EV Charging) ปัจจุบัน (ม.ค.61) บริษัทมี 100 สถานีที่ติดตั้งหัวชาร์จเรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มจุดบริการทั่วประเทศ 1,000 สถานีภายในสิ้นปีนี้ ด้วยงบลงทุน 800 ล้านบาท โดยบริษัทคาดจะคืนทุนภายใน 5-7 ปี และ 3) โครงการลงทุนในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาดกำลังการผลิต 50 GW แบ่งออกเป็น 2 เฟส คือ เฟสที่ 1 เริ่มลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาด 1GW ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ใช้เงินลงทุนไม่เกิน 3 พันล้านบาท โดยใช้เงินทุนจากกำไรสะสมของ EA ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมในการเลือกพื้นที่ก่อสร้าง ซึ่งคาดเริ่มก่อสร้างช่วง 2Q61 (ใช้เวลาก่อสร้าง 14 เดือน) และดำเนินการผลิตแบตเตอรี่ในช่วง 2H62 ส่วนเฟสที่ 2 โรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาด 49GW ใช้เงินลงทุน 1 แสนล้านบาท ยังไม่มีกำหนดการที่ชัดเจน เนื่องจาก EA ต้องดูดีมานด์ของตลาดแบตเตอรี่ในช่วงเฟสที่ 1 เพื่อกำหนดแผนงานลงทุนอีกครั้ง
จากการสอบถามผู้บริหาร เราพบว่า EA มีความคืบหน้าในโครงการต่างๆ ที่ลงทุนดังนี้ 1) โรงไฟฟ้าลมหนุมาน (260MW) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยคาดเริ่มทยอย COD ได้ครบทั้ง 5 โรงภายในช่วง 4Q61 (เลื่อนจากเดิมที่กำหนด COD ในช่วง 2Q61) 2) โครงการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ (EV Charging) ปัจจุบัน (ม.ค.61) บริษัทมี 100 สถานีที่ติดตั้งหัวชาร์จเรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มจุดบริการทั่วประเทศ 1,000 สถานีภายในสิ้นปีนี้ ด้วยงบลงทุน 800 ล้านบาท โดยบริษัทคาดจะคืนทุนภายใน 5-7 ปี และ 3) โครงการลงทุนในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาดกำลังการผลิต 50 GW แบ่งออกเป็น 2 เฟส คือ เฟสที่ 1 เริ่มลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาด 1GW ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ใช้เงินลงทุนไม่เกิน 3 พันล้านบาท โดยใช้เงินทุนจากกำไรสะสมของ EA ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมในการเลือกพื้นที่ก่อสร้าง ซึ่งคาดเริ่มก่อสร้างช่วง 2Q61 (ใช้เวลาก่อสร้าง 14 เดือน) และดำเนินการผลิตแบตเตอรี่ในช่วง 2H62 ส่วนเฟสที่ 2 โรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาด 49GW ใช้เงินลงทุน 1 แสนล้านบาท ยังไม่มีกำหนดการที่ชัดเจน เนื่องจาก EA ต้องดูดีมานด์ของตลาดแบตเตอรี่ในช่วงเฟสที่ 1 เพื่อกำหนดแผนงานลงทุนอีกครั้ง
ปี 61-63 กำไรโตเฉลี่ยปีละ 29.4% จากโรงไฟฟ้าลม และธุรกิจแบตเตอรี่
เรามีการปรับลดประมาณกำไรในปี 2561 ลงจากเดิม 24.7% เพื่อสะท้อนผลการเลื่อน COD โรงไฟฟ้าหนุมาน (260MW) ที่ จ.ชัยภูมิ หลังก่อสร้างล่าช้าจากปัญหาที่ดินสปก.เมื่อต้นปี 2560 แต่อย่างไรก็ดี เรามีการปรับเพิ่มประมาณกำไรตั้งแต่ปี 2562-2563 เฉลี่ยปีละ 5.5% หลังคาดโรงไฟฟ้าลมหาดกังหันมี Capacity Factor เพิ่มขึ้นที่ระดับ 27% (จากสมมติฐานก่อนหน้านี้ที่ 25%) บวกกับ ธุรกิจแบตเตอรี่คาดเริ่มรับรู้รายได้ในช่วง 2H62 โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2561 EA จะมีกำไรปกติ 4,777 ล้านบาท โต 25.1%YoY จากรายได้หลักที่คาดโต 17.5%YoY สู่ระดับ 13,605 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) โรงไฟฟ้าลมหนุมาน (260MW) คาดเริ่มรับรู้ในช่วง 4Q61 2) โรงไฟฟ้าลมหาดกังหัน (128MW) จะรับรู้รายได้เต็มปีเป็นปีแรก 3) โรงไฟฟ้าโซลาร์ (278MW) ยังคงรับรู้รายได้ต่อเนื่องจากปริมาณผลิตไฟฟ้าที่คาดใกล้เคียงกับปี 2560 ที่ระดับ 620 ล้านหน่วยต่อปี และ 4) รายได้จากไบโอดีเซลคาดโต YoY จากสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซลที่ระดับ 7% (B7) ตลอดทั้งปีนี้ นอกจากนี้อัตรากำไรขั้นต้นคาดเพิ่มเป็น 50.4% จาก 47.8% ในปี 2560 หลังมีสัดส่วนรายได้จากโรงไฟฟ้าลม(มาร์จิ้นสูง)เพิ่มขึ้น บวกกับ SG&A/Sales คาดลดเหลือ 5.1% จาก 5.8% ในปี 2560 ส่วนในปี 2562-2563 เราคาด EA จะมีกำไรโตต่อปีละ 30.5% หลังรับรู้รายได้เต็มปีจากโรงไฟฟ้าลมหนุมานและโรงไฟฟ้าอื่นๆด้วยกำลังผลิตรวม 664MW บวกกับ คาดเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจแบตเตอรี่ตั้งแต่ช่วง 2H62 ราวปีละ 3,500 ล้านบาท (ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายของ EA ที่ตั้งไว้ราวปีละ 5,000 ล้านบาท)
เรามีการปรับลดประมาณกำไรในปี 2561 ลงจากเดิม 24.7% เพื่อสะท้อนผลการเลื่อน COD โรงไฟฟ้าหนุมาน (260MW) ที่ จ.ชัยภูมิ หลังก่อสร้างล่าช้าจากปัญหาที่ดินสปก.เมื่อต้นปี 2560 แต่อย่างไรก็ดี เรามีการปรับเพิ่มประมาณกำไรตั้งแต่ปี 2562-2563 เฉลี่ยปีละ 5.5% หลังคาดโรงไฟฟ้าลมหาดกังหันมี Capacity Factor เพิ่มขึ้นที่ระดับ 27% (จากสมมติฐานก่อนหน้านี้ที่ 25%) บวกกับ ธุรกิจแบตเตอรี่คาดเริ่มรับรู้รายได้ในช่วง 2H62 โดยภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 2561 EA จะมีกำไรปกติ 4,777 ล้านบาท โต 25.1%YoY จากรายได้หลักที่คาดโต 17.5%YoY สู่ระดับ 13,605 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) โรงไฟฟ้าลมหนุมาน (260MW) คาดเริ่มรับรู้ในช่วง 4Q61 2) โรงไฟฟ้าลมหาดกังหัน (128MW) จะรับรู้รายได้เต็มปีเป็นปีแรก 3) โรงไฟฟ้าโซลาร์ (278MW) ยังคงรับรู้รายได้ต่อเนื่องจากปริมาณผลิตไฟฟ้าที่คาดใกล้เคียงกับปี 2560 ที่ระดับ 620 ล้านหน่วยต่อปี และ 4) รายได้จากไบโอดีเซลคาดโต YoY จากสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซลที่ระดับ 7% (B7) ตลอดทั้งปีนี้ นอกจากนี้อัตรากำไรขั้นต้นคาดเพิ่มเป็น 50.4% จาก 47.8% ในปี 2560 หลังมีสัดส่วนรายได้จากโรงไฟฟ้าลม(มาร์จิ้นสูง)เพิ่มขึ้น บวกกับ SG&A/Sales คาดลดเหลือ 5.1% จาก 5.8% ในปี 2560 ส่วนในปี 2562-2563 เราคาด EA จะมีกำไรโตต่อปีละ 30.5% หลังรับรู้รายได้เต็มปีจากโรงไฟฟ้าลมหนุมานและโรงไฟฟ้าอื่นๆด้วยกำลังผลิตรวม 664MW บวกกับ คาดเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจแบตเตอรี่ตั้งแต่ช่วง 2H62 ราวปีละ 3,500 ล้านบาท (ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายของ EA ที่ตั้งไว้ราวปีละ 5,000 ล้านบาท)
CHG แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน ที่ 2.18 บ.
Stock : CHG
Price : 1.90
Target Price : 2.18
Rating : BUY
ราคาหุ้นลงแรงจนกลับมามี Upside น่าสนใจอีกครั้ง
ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้โต 10-15%YoY จากกลุ่มเงินสดและประกันสังคม
วานนี้จากการเข้าพบผู้บริหาร CHG เราสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ 1) ปี 2561 บริษัทตั้งเป้ารายได้ค่ารักษาโตราว 10-15%YoY โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากการเติบโตของรายได้กลุ่มเงินสด (รวมประกันสุขภาพภาคเอกชน) และรายได้กลุ่มประกันสังคม หลังช่วงที่ผ่านมามีการเพิ่มกำลังให้บริการอย่างต่อเนื่องและจะรับรู้ผลบวกเต็มปีจากการปรับขึ้นค่าบริการต่างๆ ของประกันสังคม อีกทั้งยังมีการปรับขึ้นค่าบริการเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 2-3%YoY ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นและ SG&A/Sales จะพยายามรักษาระดับให้ทรงตัวใกล้เคียงปีก่อน หลังยังคงดำเนินนโยบายคุมเข้มต้นทุนค่าใช้จ่าย และ 2) ปีนี้ตั้งงบลงทุนไว้ 500-600 ล้านบาท สำหรับปรับปรุง รพ.เดิมและสร้าง รพ. ใหม่ตามแผนเดิม อาทิ ช่วง 3Q61 รพ.จุฬารัตน์ 304 อินเตอร์ จะขยาย OPD จาก 2 ห้องตรวจเป็น 5 ห้องตรวจ และจะเปิดให้บริการ IPD เฟสแรก 30 เตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยกลุ่มเงินสด, ช่วง 3Q61 รพ. จุฬารัตน์ชลเวชคาดจะรีโนเวตห้อง IPD พร้อมเปิดให้บริการครบ 59 เตียง (ปัจจุบันเปิดใช้ 28 เตียง) เพื่อรองรับผู้ป่วยกลุ่มเงินสด ส่วนรพ. รวมแพทย์ฉะเชิงเทรา (ขนาด 100 เตียงและตั้งงบลงทุนไว้ 600 ล้านบาท) คาดเริ่มเปิดให้บริการปี 2562 โดยเฟสแรกจะมี IPD 30 เตียงและใช้เงินทุน 375 ล้านบาท ทั้งนี้แหล่งเงินทุนหลักจะยังคงมาจากเงินสดดำเนินงานและการกู้ยืมสถาบันการเงิน
วานนี้จากการเข้าพบผู้บริหาร CHG เราสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ 1) ปี 2561 บริษัทตั้งเป้ารายได้ค่ารักษาโตราว 10-15%YoY โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากการเติบโตของรายได้กลุ่มเงินสด (รวมประกันสุขภาพภาคเอกชน) และรายได้กลุ่มประกันสังคม หลังช่วงที่ผ่านมามีการเพิ่มกำลังให้บริการอย่างต่อเนื่องและจะรับรู้ผลบวกเต็มปีจากการปรับขึ้นค่าบริการต่างๆ ของประกันสังคม อีกทั้งยังมีการปรับขึ้นค่าบริการเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 2-3%YoY ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นและ SG&A/Sales จะพยายามรักษาระดับให้ทรงตัวใกล้เคียงปีก่อน หลังยังคงดำเนินนโยบายคุมเข้มต้นทุนค่าใช้จ่าย และ 2) ปีนี้ตั้งงบลงทุนไว้ 500-600 ล้านบาท สำหรับปรับปรุง รพ.เดิมและสร้าง รพ. ใหม่ตามแผนเดิม อาทิ ช่วง 3Q61 รพ.จุฬารัตน์ 304 อินเตอร์ จะขยาย OPD จาก 2 ห้องตรวจเป็น 5 ห้องตรวจ และจะเปิดให้บริการ IPD เฟสแรก 30 เตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยกลุ่มเงินสด, ช่วง 3Q61 รพ. จุฬารัตน์ชลเวชคาดจะรีโนเวตห้อง IPD พร้อมเปิดให้บริการครบ 59 เตียง (ปัจจุบันเปิดใช้ 28 เตียง) เพื่อรองรับผู้ป่วยกลุ่มเงินสด ส่วนรพ. รวมแพทย์ฉะเชิงเทรา (ขนาด 100 เตียงและตั้งงบลงทุนไว้ 600 ล้านบาท) คาดเริ่มเปิดให้บริการปี 2562 โดยเฟสแรกจะมี IPD 30 เตียงและใช้เงินทุน 375 ล้านบาท ทั้งนี้แหล่งเงินทุนหลักจะยังคงมาจากเงินสดดำเนินงานและการกู้ยืมสถาบันการเงิน
ช่วง 1Q61-2Q61 คาดกำไรโต YoY หลังมีโรคระบาดและรับรู้ขึ้นค่าเหมาจ่าย
เราคงมุมมองเป็นกลางต่อ CHG โดยช่วง 1Q61-2Q61 คาดจะเห็นกำไรสุทธิเติบโต YoY จากฐาน ปีก่อนที่ต่ำ บวกกับ ตั้งแต่ช่วงต้นปีมีหลายโรคระบาดซึ่งช่วยหนุนอัตราเข้ารักษาให้เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังจะรับรู้ผลบวกจากการปรับขึ้นค่าบริการของกลุ่มประกันสังคม อย่างไรก็ดีช่วง 2H61 เรายังกังวลค่าใช้จ่ายขายและบริหารที่อาจจะเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์เพื่อรองรับแผนเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการของ รพ. จุฬารัตน์ 304 อินเตอร์ ซึ่งอาจกดดันศักยภาพทำกำไรปีนี้ ดังนั้นปี 2561 เราจึงยังคงคาด CHG จะมีกำไรสุทธิ 601 ล้านบาท โต 6.2%YoY ตามประมาณการเดิม
เราคงมุมมองเป็นกลางต่อ CHG โดยช่วง 1Q61-2Q61 คาดจะเห็นกำไรสุทธิเติบโต YoY จากฐาน ปีก่อนที่ต่ำ บวกกับ ตั้งแต่ช่วงต้นปีมีหลายโรคระบาดซึ่งช่วยหนุนอัตราเข้ารักษาให้เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังจะรับรู้ผลบวกจากการปรับขึ้นค่าบริการของกลุ่มประกันสังคม อย่างไรก็ดีช่วง 2H61 เรายังกังวลค่าใช้จ่ายขายและบริหารที่อาจจะเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์เพื่อรองรับแผนเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการของ รพ. จุฬารัตน์ 304 อินเตอร์ ซึ่งอาจกดดันศักยภาพทำกำไรปีนี้ ดังนั้นปี 2561 เราจึงยังคงคาด CHG จะมีกำไรสุทธิ 601 ล้านบาท โต 6.2%YoY ตามประมาณการเดิม
ราคาหุ้นปรับลงจนเกิด Upside 14.7% จึงปรับเพิ่มคำแนะนำ "ซื้อ"
ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลง 29.5% นับตั้งแต่เราปรับลดคำแนะนำเป็นถือเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 60 จนกระทั่งราคาหุ้นกลับมามี Upside 14.7% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2561 (วิธี DCF) ที่ 2.18 บาท และยังมีเงินปันผลจ่าย 0.012 บาท (XD 30 เม.ย. 61) ดังนั้นเราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น "ซื้อ" รอบใหม่
ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลง 29.5% นับตั้งแต่เราปรับลดคำแนะนำเป็นถือเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 60 จนกระทั่งราคาหุ้นกลับมามี Upside 14.7% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2561 (วิธี DCF) ที่ 2.18 บาท และยังมีเงินปันผลจ่าย 0.012 บาท (XD 30 เม.ย. 61) ดังนั้นเราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น "ซื้อ" รอบใหม่
บล.เออีซี : Action Strategy
MARKET OUTLOOK
กลับเข้าสู่แนวโน้มหลัก! .. ดัชนี SET วานนี้ปรับตัวบวกขึ้นต่อเนื่อง โดยช่วงเช้าดัชนีเปิดลบเล็กน้อยและแกว่งตัวในกรอบแคบ ก่อนมีแรงซื้อหนุนเข้ามาช่วงบ่าย ส่งผลให้ดัชนีปิดบวกกว่า 10 จุด ที่ระดับดัชนี 1,809.90 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายราว 7.2 หมื่นล้านบาท ส่งผลต่อภาพรวมของดัชนี SET ช่วยยืนยันการกลับสู่แนวโน้มกรอบ Uptrend จากวันก่อนหน้าได้เป็นอย่างดี กราฟรายวัน เริ่มมีสัญญาณเชิงบวกเข้ามา ทั้งการเกิดสัญญาณซื้อ จาก Modified Stochastic (%K>%D) , MACD เริ่มโค้งตัวขึ้น และที่สำคัญคือ การที่แท่งเทียนพลิกกลับยืนเหนือกรอบล่างของ Uptrend Channel ได้เป็นวันที่สองติดต่อกัน ทำให้เราเชื่อว่า SET กลับสู่แนวโน้มหลัก(ขาขึ้น)แล้ว ฉะนั้นจึงมองว่าเป็นจังหวะของการเข้าลงทุนรอบใหม่ โดยคาดหวังเป้าหมายของการลงทุนรอบนี้ที่จุดสูงสุดก่อนหน้า 1,852 จุด อย่างไรก็ดี SET ไม่ควรวกกลับมาเทรดต่ำกว่า 1,785 จุด เพราะจะทำให้ภาพการขึ้นรอบใหม่ของ SET กลับดูแย่ลงอีกครั้ง หากหลุดให้ใช้เป็นจุด Stop Loss ของการลงทุนรอบนี้ สำหรับนักเก็งกำไรระยะสั้น แนะนำซื้อ โดยคาดหวังการยืนทะลุแนวต้าน 1,820 จุด ในวันนี้ โดยมีแนวรับระหว่างวัน 1,795 จุด
MARKET OUTLOOK
กลับเข้าสู่แนวโน้มหลัก! .. ดัชนี SET วานนี้ปรับตัวบวกขึ้นต่อเนื่อง โดยช่วงเช้าดัชนีเปิดลบเล็กน้อยและแกว่งตัวในกรอบแคบ ก่อนมีแรงซื้อหนุนเข้ามาช่วงบ่าย ส่งผลให้ดัชนีปิดบวกกว่า 10 จุด ที่ระดับดัชนี 1,809.90 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขายราว 7.2 หมื่นล้านบาท ส่งผลต่อภาพรวมของดัชนี SET ช่วยยืนยันการกลับสู่แนวโน้มกรอบ Uptrend จากวันก่อนหน้าได้เป็นอย่างดี กราฟรายวัน เริ่มมีสัญญาณเชิงบวกเข้ามา ทั้งการเกิดสัญญาณซื้อ จาก Modified Stochastic (%K>%D) , MACD เริ่มโค้งตัวขึ้น และที่สำคัญคือ การที่แท่งเทียนพลิกกลับยืนเหนือกรอบล่างของ Uptrend Channel ได้เป็นวันที่สองติดต่อกัน ทำให้เราเชื่อว่า SET กลับสู่แนวโน้มหลัก(ขาขึ้น)แล้ว ฉะนั้นจึงมองว่าเป็นจังหวะของการเข้าลงทุนรอบใหม่ โดยคาดหวังเป้าหมายของการลงทุนรอบนี้ที่จุดสูงสุดก่อนหน้า 1,852 จุด อย่างไรก็ดี SET ไม่ควรวกกลับมาเทรดต่ำกว่า 1,785 จุด เพราะจะทำให้ภาพการขึ้นรอบใหม่ของ SET กลับดูแย่ลงอีกครั้ง หากหลุดให้ใช้เป็นจุด Stop Loss ของการลงทุนรอบนี้ สำหรับนักเก็งกำไรระยะสั้น แนะนำซื้อ โดยคาดหวังการยืนทะลุแนวต้าน 1,820 จุด ในวันนี้ โดยมีแนวรับระหว่างวัน 1,795 จุด
STRATEGY
นักลงทุนระยะสั้น : นักเก็งกำไร แนะนำซื้อ คาดหวังยืนทะลุแนวต้าน 1,820 จุด ทั้งนี้หากปิดหลุด 1,785 จุด Cut Loss ก่อน
นักลงทุนระยะกลาง : สำหรับนักลงทุนระยะกลางเริ่มซื้อสะสมรอบใหม่ โดยมีเป้าหมายระยะกลางที่ 1,852 จุด(All Time High) หรือกรอบบนของ Uptrend Channel โดยมีจุด Cut loss รอบนี้ที่ 1,785 จุด
นักลงทุนระยะสั้น : นักเก็งกำไร แนะนำซื้อ คาดหวังยืนทะลุแนวต้าน 1,820 จุด ทั้งนี้หากปิดหลุด 1,785 จุด Cut Loss ก่อน
นักลงทุนระยะกลาง : สำหรับนักลงทุนระยะกลางเริ่มซื้อสะสมรอบใหม่ โดยมีเป้าหมายระยะกลางที่ 1,852 จุด(All Time High) หรือกรอบบนของ Uptrend Channel โดยมีจุด Cut loss รอบนี้ที่ 1,785 จุด
SECTOR FOCUS
SECTOR RECOMMEND กลุ่มสื่อชวนมอง! Sector Focus วันนี้เลือกกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ MEDIA เป็นกลุ่มที่มีลุ้นไปต่อ กราฟรายวัน แสดงให้เห็นว่าดัชนีดีดตัวขึ้นมาจากแนวรับเส้นระนาบ สนับสนุนด้วยสัญญาณเชิงบวกทางเทคนิค แท่งเทียน Bullish Engulfing ปิดบวกกลืนแท่งก่อนหน้า , MACD โค้งตัวตัดขึ้นเหนือ Signal Line และ RSI พลิกกลับสู่ Positive Zone อีกครั้ง ทำให้เรามีมุมมองว่ากลุ่ม Media น่าจะไปต่อได้ในวันนี้ โดยมี TOP PICK ดังนี้ MONO (แนวรับ: 4.10 บาท / ต้าน 4.90 บาท) และ BEC (รับ: 12.50 บาท / ต้าน: 14.20 บาท)
SECTOR RECOMMEND กลุ่มสื่อชวนมอง! Sector Focus วันนี้เลือกกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ MEDIA เป็นกลุ่มที่มีลุ้นไปต่อ กราฟรายวัน แสดงให้เห็นว่าดัชนีดีดตัวขึ้นมาจากแนวรับเส้นระนาบ สนับสนุนด้วยสัญญาณเชิงบวกทางเทคนิค แท่งเทียน Bullish Engulfing ปิดบวกกลืนแท่งก่อนหน้า , MACD โค้งตัวตัดขึ้นเหนือ Signal Line และ RSI พลิกกลับสู่ Positive Zone อีกครั้ง ทำให้เรามีมุมมองว่ากลุ่ม Media น่าจะไปต่อได้ในวันนี้ โดยมี TOP PICK ดังนี้ MONO (แนวรับ: 4.10 บาท / ต้าน 4.90 บาท) และ BEC (รับ: 12.50 บาท / ต้าน: 14.20 บาท)
STOCK HUNTER
Point of view Rounding Bottom โค้งขึ้นสวยๆ! Stock Hunter วันนี้เลือก FSMART มองว่าหุ้นเริ่มกระตุกขึ้นมาจากกรอบสะสม โดยกราฟ 120 นาที เกิดสัญญาณการกลับตัว Bullish Divergence (จากลงเป็นขึ้น) บน RSI ที่เริ่มเชิดขึ้นเข้าสู่ Positive Zone (RSI>50) ประกอบกับการเคลื่อนไหวของราคา เริ่มฟอร์มตัวดีดขึ้นจากฐานคล้ายกับรูปแบบราคา Rounding Bottom ทั้งปริมาณการซื้อขายวานนี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายการขึ้นครั้งนี้ที่ 13.80 บาท แนวรับ 11.00 บาท หลุด 10.70 บาท ให้ Stop Loss
Point of view Rounding Bottom โค้งขึ้นสวยๆ! Stock Hunter วันนี้เลือก FSMART มองว่าหุ้นเริ่มกระตุกขึ้นมาจากกรอบสะสม โดยกราฟ 120 นาที เกิดสัญญาณการกลับตัว Bullish Divergence (จากลงเป็นขึ้น) บน RSI ที่เริ่มเชิดขึ้นเข้าสู่ Positive Zone (RSI>50) ประกอบกับการเคลื่อนไหวของราคา เริ่มฟอร์มตัวดีดขึ้นจากฐานคล้ายกับรูปแบบราคา Rounding Bottom ทั้งปริมาณการซื้อขายวานนี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายการขึ้นครั้งนี้ที่ 13.80 บาท แนวรับ 11.00 บาท หลุด 10.70 บาท ให้ Stop Loss
อิศรา เลิศสุดคนึง (เลขทะเบียน 033432) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ (ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เทคนิค)
จิรภัทร โบสุวรรณ (ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เทคนิค)
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ (ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เทคนิค)
จิรภัทร โบสุวรรณ (ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เทคนิค)
ตฤณ สิทธิสวัสดิ์ (ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เทคนิค)
บล.เออีซี : Derivatives Signals
SET50 Index Futures
มุมมองทางทฤษฎี: ระยะสั้นนักลงทุนกลับมา Bullish ตลาด!!!
BASIS (S50H18-SET50): เมื่อวานนี้ S50H18 ปิดบวกด้วย % มากกว่า Spot ส่งผลให้ Basis เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 1.85 จุด โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ +1.79 จุด มากกว่า Theory Basis ที่ +0.60 จุด สะท้อนมุมมองเป็นบวกในระยะสั้น (<1 เดือน) ของนักลงทุนที่มีต่อ SET50 Index ส่วน Calendar Spread (S50M18-S50H18) ลดลงจากวันก่อนหน้า 1.2 จุด โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ -5.9 จุด มากกว่า Theory Spread ที่ -7.06 จุด สะท้อนมุมมองเป็นบวกในระยะกลาง (3 เดือน) ของนักลงทุนที่มีต่อ SET50 Index
PUT/CALL Ratio: ปัจจุบันอัตราส่วนการเทรด SET50 Index Option ฝั่ง PUT เทียบกับฝั่ง CALL พบว่าปริมาณซื้อขาย (Volume) อยู่ที่ 1.29 ลดลงจากวันก่อนหน้า 0.2x ขณะที่ฝั่งสถานะคงค้าง (Open Interest) ปัจจุบันอยู่ที่ 1.21x ใกล้เคียงจากวันก่อนหน้า ซึ่งขณะนี้ PUT/CALL Ratio ทั้งฝั่ง Volume และ OI อยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต แสดงให้เห็นถึงการกลัวความเสี่ยงพักฐานขาขึ้นของดัชนี (ดูรายละเอียดจากหน้า 2)
Fund Flow Analysis: แม้เมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้น 342 ล้านบาท แต่กลับมีสถานะ Net Long 1,829 สัญญา ใน Index Futures โดยตั้งแต่เริ่มต้นปี 2561 นักลงทุนต่างชาติมียอดคงค้างเป็นสถานะขายสุทธิในตลาดทุน (หุ้น + Index Futures) ลดลงเหลือ 59,856 ล้านบาท
SET50 Index Futures
มุมมองทางทฤษฎี: ระยะสั้นนักลงทุนกลับมา Bullish ตลาด!!!
BASIS (S50H18-SET50): เมื่อวานนี้ S50H18 ปิดบวกด้วย % มากกว่า Spot ส่งผลให้ Basis เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 1.85 จุด โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ +1.79 จุด มากกว่า Theory Basis ที่ +0.60 จุด สะท้อนมุมมองเป็นบวกในระยะสั้น (<1 เดือน) ของนักลงทุนที่มีต่อ SET50 Index ส่วน Calendar Spread (S50M18-S50H18) ลดลงจากวันก่อนหน้า 1.2 จุด โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ -5.9 จุด มากกว่า Theory Spread ที่ -7.06 จุด สะท้อนมุมมองเป็นบวกในระยะกลาง (3 เดือน) ของนักลงทุนที่มีต่อ SET50 Index
PUT/CALL Ratio: ปัจจุบันอัตราส่วนการเทรด SET50 Index Option ฝั่ง PUT เทียบกับฝั่ง CALL พบว่าปริมาณซื้อขาย (Volume) อยู่ที่ 1.29 ลดลงจากวันก่อนหน้า 0.2x ขณะที่ฝั่งสถานะคงค้าง (Open Interest) ปัจจุบันอยู่ที่ 1.21x ใกล้เคียงจากวันก่อนหน้า ซึ่งขณะนี้ PUT/CALL Ratio ทั้งฝั่ง Volume และ OI อยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต แสดงให้เห็นถึงการกลัวความเสี่ยงพักฐานขาขึ้นของดัชนี (ดูรายละเอียดจากหน้า 2)
Fund Flow Analysis: แม้เมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้น 342 ล้านบาท แต่กลับมีสถานะ Net Long 1,829 สัญญา ใน Index Futures โดยตั้งแต่เริ่มต้นปี 2561 นักลงทุนต่างชาติมียอดคงค้างเป็นสถานะขายสุทธิในตลาดทุน (หุ้น + Index Futures) ลดลงเหลือ 59,856 ล้านบาท
Technical Analysis
มุมมองด้านเทคนิค: กลับมามองขึ้นต่อหลังทะลุกรอบบน Sideway!!!
เมื่อวานนี้ S50H18 เปิดแล้วแกว่งทรงตัวแต่ช่วงท้ายตลาดปรับขึ้น จนปิด +7.1 จุด และสามารถทะลุกรอบบน Sideway ที่ 1,197.5 จุด ทำให้วันนี้เรากลับมุมมองจากเดิมที่คิดว่าดัชนีจะแกว่งลงหลังเข้าใกล้แนวต้านดังกล่าว เปลี่ยนเป็นมีโอกาสขึ้นต่อ เพราะ 1) ในกราฟ 120 นาทีเทรนด์ระยะสั้นของ S50H18 เริ่มเป็นขาขึ้น โดยทั้งค่า MACD และ Signal ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และ 2) ในกราฟ 120 นาทีโมเมนตัมระยะสั้นของ S50H18 เริ่มเป็นขาขึ้น โดยค่า RSI กลับเข้าสู่เขต Positive Zone (>50%) ดังนั้นมองวันนี้ดัชนีอาจขึ้นต่อเพื่อปิด Gap Down ที่เคยทำไว้ 1,200 จุด และหากทะลุต่อจะมีแนวต้านถัดไปที่ 1,220 จุด (ระดับ High เก่า)
เมื่อวานนี้ S50H18 เปิดแล้วแกว่งทรงตัวแต่ช่วงท้ายตลาดปรับขึ้น จนปิด +7.1 จุด และสามารถทะลุกรอบบน Sideway ที่ 1,197.5 จุด ทำให้วันนี้เรากลับมุมมองจากเดิมที่คิดว่าดัชนีจะแกว่งลงหลังเข้าใกล้แนวต้านดังกล่าว เปลี่ยนเป็นมีโอกาสขึ้นต่อ เพราะ 1) ในกราฟ 120 นาทีเทรนด์ระยะสั้นของ S50H18 เริ่มเป็นขาขึ้น โดยทั้งค่า MACD และ Signal ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และ 2) ในกราฟ 120 นาทีโมเมนตัมระยะสั้นของ S50H18 เริ่มเป็นขาขึ้น โดยค่า RSI กลับเข้าสู่เขต Positive Zone (>50%) ดังนั้นมองวันนี้ดัชนีอาจขึ้นต่อเพื่อปิด Gap Down ที่เคยทำไว้ 1,200 จุด และหากทะลุต่อจะมีแนวต้านถัดไปที่ 1,220 จุด (ระดับ High เก่า)
กลยุทธ์การลงทุน
Outright Trading: Trading Long หากทะลุแนวต้าน 1,200 จุด มองแนวต้านถัดไปที่ 1,220 จุด พร้อมกับตั้ง Stop Loss หากต่ำกว่า Low ของวันก่อนหน้าที่ 1,186.5 จุด
Outright Trading: Trading Long หากทะลุแนวต้าน 1,200 จุด มองแนวต้านถัดไปที่ 1,220 จุด พร้อมกับตั้ง Stop Loss หากต่ำกว่า Low ของวันก่อนหน้าที่ 1,186.5 จุด
นักวิเคราะห์: อิศรา เลิศสุดคนึง (ID:033432)
บล.เออีซี : Daily Focus
AECS Daily Focus
Trading Idea: FSMART
Connect the World- (P.2)
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดในแดนลบ หลังรมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ถูกปลด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดในแดนลบ หลังรมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ถูกปลด
Market Outlook
วันนี้คาด SET แกว่งตัวกรอบ 1,795-1,820 จุด โดยมองดัชนีผันผวนและมี Upside จำกัด หลังยังขาดปัจจัยหนุนใหม่และกังวลนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
วันนี้คาด SET แกว่งตัวกรอบ 1,795-1,820 จุด โดยมองดัชนีผันผวนและมี Upside จำกัด หลังยังขาดปัจจัยหนุนใหม่และกังวลนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
Market Factors
(-) ตลาดหุ้น DJIA ปิด -0.68%DoD จากแรงขายหุ้นกลุ่มการเงินและเทคโนโลยี รวมทั้งกังวลข่าวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศปลด รมว. ต่างประเทศ
(-) ตลาดน้ำมัน WTI ปิด -1.1%DoD หลัง EIA คาดการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น
(+/-) วันนี้ติดตามข้อมูล ศก.สหรัฐฯ ที่สำคัญ อาทิ ยอดค้าปลีก ก.พ., ดัชนีราคาผู้ผลิต ก.พ., สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จาก EIA, สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ ม.ค.
(-) ตลาดหุ้น DJIA ปิด -0.68%DoD จากแรงขายหุ้นกลุ่มการเงินและเทคโนโลยี รวมทั้งกังวลข่าวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศปลด รมว. ต่างประเทศ
(-) ตลาดน้ำมัน WTI ปิด -1.1%DoD หลัง EIA คาดการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น
(+/-) วันนี้ติดตามข้อมูล ศก.สหรัฐฯ ที่สำคัญ อาทิ ยอดค้าปลีก ก.พ., ดัชนีราคาผู้ผลิต ก.พ., สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จาก EIA, สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ ม.ค.
Investment Strategy
แม้ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญความผันผวนและมีโอกาสพักฐานต่อหลังขาดปัจจัยหนุน อีกทั้งนักลงทุนยังอยู่ระหว่างจับตานโยบายภาษีของสหรัฐและผลประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 20-21 มี.ค. นี้ (BloombergConsensus 92% คาดจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.75%) แต่ระยะกลาง-ยาวพื้นฐาน ศก. ไทยยังคงมีความแข็งแกร่ง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ "แบ่งทยอยซื้อสะสม โดย Selective Buy หุ้นมีปัจจัยบวก" ดังนี้
1) หุ้นที่จ่ายปันผลสูงซึ่งเดือน มี.ค. -พ.ค. นี้ จะขึ้นเครื่องหมายXD โดยให้ Div. Yield เกิน 3% : KKP, ASP, AIT, SC, AP, LH
2) หุ้นอิงการบริโภคและศก. ไทยที่ฟื้นตัวดีขึ้น : KBANK, BBL, SCB, BJC, CPALL
3) หุ้นโรงแรมได้อานิสงส์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยยังแข็งแกร่ง โดย ม.ค. และ ก.พ. 61 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทยโต 10.87%YoY และ 19.29%YoY ตามลำดับ : MINT, CENTEL, ERW
แม้ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญความผันผวนและมีโอกาสพักฐานต่อหลังขาดปัจจัยหนุน อีกทั้งนักลงทุนยังอยู่ระหว่างจับตานโยบายภาษีของสหรัฐและผลประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 20-21 มี.ค. นี้ (BloombergConsensus 92% คาดจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.75%) แต่ระยะกลาง-ยาวพื้นฐาน ศก. ไทยยังคงมีความแข็งแกร่ง ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ "แบ่งทยอยซื้อสะสม โดย Selective Buy หุ้นมีปัจจัยบวก" ดังนี้
1) หุ้นที่จ่ายปันผลสูงซึ่งเดือน มี.ค. -พ.ค. นี้ จะขึ้นเครื่องหมายXD โดยให้ Div. Yield เกิน 3% : KKP, ASP, AIT, SC, AP, LH
2) หุ้นอิงการบริโภคและศก. ไทยที่ฟื้นตัวดีขึ้น : KBANK, BBL, SCB, BJC, CPALL
3) หุ้นโรงแรมได้อานิสงส์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยยังแข็งแกร่ง โดย ม.ค. และ ก.พ. 61 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทยโต 10.87%YoY และ 19.29%YoY ตามลำดับ : MINT, CENTEL, ERW
Fundamental Reports
AH ([email protected]) จากงาน Opp.Day วานนี้เราคงคาดปี 61 AH จะมีกำไรปกติ 1,112 ลบ. เติบโต 10.0%YoY จากการรับรู้ดอกเบี้ยรับ SGAH แบบเต็มปีบวกกับมีแผนขยายธุรกิจสู่การเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในระดับโลกด้วยการรุกตลาดเม็กซิโกอินเดียโปรตุเกสสหรัฐอเมริกาและจีนอีกทั้งมีUpside 30.7% จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ"
CHG (BUY:[email protected]): ช่วง 1Q61-2Q61 คาดกำไรโต YoY จากฐานปีก่อนที่ต่ำ บวกกับตั้งแต่ช่วงต้นปีมีหลายโรคระบาดซึ่งช่วยหนุนอัตราเข้ารักษาสูงขึ้นอีกทั้งจะรับรู้ผลบวกจากการขึ้นค่าบริการประกันสังคมแต่ช่วง2H61 คาดกำไรอ่อนตัวลงจากรับรู้ค่าใช้จ่าย รพ. เปิดใหม่จุฬารัตน์ 304 อินเตอร์ดังนั้นทั้งปี 61 จึงคงคาดกำไรโต 6.2%YoY อย่างไรก็ดีช่วง ที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลงจนเกิด Upside 14.7% จึงปรับเพิ่มคำแนะนำ "ซื้อ"
EA (SELL:TP@40): ปี 61 คาดกำไรโต 25.1%YoY หลังโรงไฟฟ้าลมหนุมาน (260MW) คาดเริ่ม COD ช่วง 4Q61 บวกกับรับรู้รายได้เต็มปีโรงไฟฟ้าโซลาร์และลมอีก 404MW ส่วนปี 62-63 คาดกำไรโตต่อปีละ 28.2% หลังโรงไฟฟ้าทั้งหมด (664MW) รับรู้รายได้เต็มปี บวกกับธุรกิจแบตเตอรี่คาดเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วง2H62 ราวปีละ 3.5 พัน ลบ. ทั้งนี้แม้กำไรจะโตดีและมีปันผล 0.20 บาท (XD 19 มี.ค.) แต่ราคาหุ้นสะท้อนพื้นฐานแล้ว คงแนะนำ "ขาย"
AH ([email protected]) จากงาน Opp.Day วานนี้เราคงคาดปี 61 AH จะมีกำไรปกติ 1,112 ลบ. เติบโต 10.0%YoY จากการรับรู้ดอกเบี้ยรับ SGAH แบบเต็มปีบวกกับมีแผนขยายธุรกิจสู่การเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในระดับโลกด้วยการรุกตลาดเม็กซิโกอินเดียโปรตุเกสสหรัฐอเมริกาและจีนอีกทั้งมีUpside 30.7% จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ"
CHG (BUY:[email protected]): ช่วง 1Q61-2Q61 คาดกำไรโต YoY จากฐานปีก่อนที่ต่ำ บวกกับตั้งแต่ช่วงต้นปีมีหลายโรคระบาดซึ่งช่วยหนุนอัตราเข้ารักษาสูงขึ้นอีกทั้งจะรับรู้ผลบวกจากการขึ้นค่าบริการประกันสังคมแต่ช่วง2H61 คาดกำไรอ่อนตัวลงจากรับรู้ค่าใช้จ่าย รพ. เปิดใหม่จุฬารัตน์ 304 อินเตอร์ดังนั้นทั้งปี 61 จึงคงคาดกำไรโต 6.2%YoY อย่างไรก็ดีช่วง ที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลงจนเกิด Upside 14.7% จึงปรับเพิ่มคำแนะนำ "ซื้อ"
EA (SELL:TP@40): ปี 61 คาดกำไรโต 25.1%YoY หลังโรงไฟฟ้าลมหนุมาน (260MW) คาดเริ่ม COD ช่วง 4Q61 บวกกับรับรู้รายได้เต็มปีโรงไฟฟ้าโซลาร์และลมอีก 404MW ส่วนปี 62-63 คาดกำไรโตต่อปีละ 28.2% หลังโรงไฟฟ้าทั้งหมด (664MW) รับรู้รายได้เต็มปี บวกกับธุรกิจแบตเตอรี่คาดเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วง2H62 ราวปีละ 3.5 พัน ลบ. ทั้งนี้แม้กำไรจะโตดีและมีปันผล 0.20 บาท (XD 19 มี.ค.) แต่ราคาหุ้นสะท้อนพื้นฐานแล้ว คงแนะนำ "ขาย"
Market Talk and News
กลุ่มโรงแรม (Overweight) : ช่วง ม.ค.-ก.พ. 61 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยราว 7.1 ล้านคน เติบโต 14.94%YoY และมีรายได้รวม 3.82 แสน ลบ. โต 16.38%YoY ตามการขยายตัวของนักท่องเที่ยวจากทุกภูมิภาคนับเป็นผลบวกโดยตรงต่อผลประกอบการของหุ้นกลุ่มโรงแรมซึ่งปีนี้คาดกำไรกลุ่มนี้จะโตอย่างน้อย 11.7%YoY ดังนั้นจึงแนะนำ "ซื้อลงทุน" ERW([email protected]), MINT(TP@50) และ CENTEL(TP@53)
กลุ่มโรงแรม (Overweight) : ช่วง ม.ค.-ก.พ. 61 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยราว 7.1 ล้านคน เติบโต 14.94%YoY และมีรายได้รวม 3.82 แสน ลบ. โต 16.38%YoY ตามการขยายตัวของนักท่องเที่ยวจากทุกภูมิภาคนับเป็นผลบวกโดยตรงต่อผลประกอบการของหุ้นกลุ่มโรงแรมซึ่งปีนี้คาดกำไรกลุ่มนี้จะโตอย่างน้อย 11.7%YoY ดังนั้นจึงแนะนำ "ซื้อลงทุน" ERW([email protected]), MINT(TP@50) และ CENTEL(TP@53)
Quantitative Screening
หุ้น High Alpha ซึ่งคาด Outperform ตลาดวันนี้เลือก PCSGH , BANPU
หุ้น High Alpha ซึ่งคาด Outperform ตลาดวันนี้เลือก PCSGH , BANPU
AECS - Fundamental and Strategic Team
ณัฏฐ์วริน ไตรภพสกุล (ID. 027445) [email protected]
อิศรา เลิศสุดคนึง (ID.033432) [email protected]
ตฤณ สิทธิสวัสดิ์ (ID. 091364) [email protected]
จิรภัทร โบสุวรรณ (ID. 040051) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ Data Support / Secretary
ณัฏฐ์วริน ไตรภพสกุล (ID. 027445) [email protected]
อิศรา เลิศสุดคนึง (ID.033432) [email protected]
ตฤณ สิทธิสวัสดิ์ (ID. 091364) [email protected]
จิรภัทร โบสุวรรณ (ID. 040051) [email protected]
ธีรยุทธ ฤทธิเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
สุวรรณา อัศวเหล่าวรพงศ์ Data Support / Secretary
บOO6443