- Details
- Category: บลจ.
- Published: Wednesday, 09 November 2016 23:20
- Hits: 7119
บลจ.กสิกรไทย จ่ายปันผล 3 กองทุนต่างประเทศ รวมกว่า 179 ล้านบาท ชี้ความผันผวนของตลาดหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นเฉพาะบางภูมิภาค ที่ราคายังปรับตัวได้ดี
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ. กสิกรไทย มีกำหนดจ่ายเงินปันผลกองทุนต่างประเทศจำนวน 3 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2559 - 31 ตุลาคม 2559 และกองทุนเปิดเค เอเชียน สมอลเลอร์ หุ้นทุน (K-ASIA) ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 - 31 ตุลาคม 2559 โดยทั้ง 2 กองทุนจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 31 ตุลาคม 2559 ด้านกองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA) จ่ายในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 - 31 ตุลาคม 2559 โดยจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 และทั้ง 3 กองทุนมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 179.36 ล้านบาท
นายนาวิน กล่าวต่อไปว่า ผลการดำเนินงานของกองทุน K-USA ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา สามารถปรับตัวเป็นบวก 6.25% โดยเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 4.29% (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 59) เนื่องจากกองทุนหลักมีสัดส่วนในหุ้นกลุ่มไอทีเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งผลประกอบการในไตรมาส 3/2559 ของหุ้นในกลุ่มไอทีที่ออกมามีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯในภาพรวมยังมีทิศทางเติบโตที่ดี โดยตัวเลขประมาณการณ์ GDP ล่าสุดในไตรมาส 3 อยู่ที่ 2.9% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าตลาดคาดและสูงสุดในรอบ 2 ปี ประกอบกับภาคเอกชนมีการฟื้นตัวที่ดีโดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศ รวมทั้งการจ้างงานที่เต็มศักยภาพ อย่างไรก็ตามตลาดยังติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้ ทั้งนี้เนื่องจากราคาหุ้นสหรัฐฯปัจจุบันซื้อขายอยู่ในระดับราคาค่อนข้างแพงแล้ว และแนวโน้มอัตราการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนเริ่มจำกัด ผู้ลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังหรือรอประเมินสถานการณ์หากต้องการเข้าลงทุนเพิ่มเติม
ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน K-ASIA ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา สามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานกว่า 9% โดยให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 10.57% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 1.36% (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 59) ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปี 59 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเอเชียให้ผลตอบแทนโดดเด่นจากเศรษฐกิจในภูมิภาคที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวได้ดีกว่าประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงยังมีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาสู่ภูมิภาคหลังจากที่ได้ไหลออกไปเมื่อช่วงปีก่อนหน้า
"บลจ.กสิกรไทย มีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นเอเชีย โดยมองว่ายังมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการปฏิรูปประเทศของจีนและอินเดียที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียในระยะยาว นอกจากนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะส่งผลให้ค่าเงินของประเทศเกิดใหม่รวมทั้งเอเชีย มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออก ดังนั้นผู้ลงทุนสามารถเข้าลงทุนเพิ่มเติมในตลาดหุ้นเอเชียได้ โดยมองว่าระดับราคาหุ้นเอเชียยังมีความน่าสนใจและมีศักยภาพในการเติบโตที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นๆ" นายนาวินกล่าว
ส่วนสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย นายนาวินกล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี – 31 ต.ค. 59 ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวเป็นบวกกว่า 7% เนื่องจากผลประกอบการบริษัทที่ออกมาดีขึ้นจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจอินเดียยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2/2559 ที่ออกมา เติบโตอยู่ที่ 7.1% และสูงกว่าประเทศแกนหลักในเอเชียอย่างจีน ส่วนตัวเลข GDP ในปีนี้คาดการณ์อยู่ที่ 7.6% ซึ่งถือเป็นระดับที่สูง โดยปัจจัยบวกจะมาจากการปฎิรูปเศรษฐกิจของภาครัฐที่มีความคืบหน้ามากขึ้นซึ่งจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบอัตราเงินเฟ้อที่ยังชะลอตัวจะทำให้ธนาคารกลางอินเดียสามารถดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมได้ ซึ่งล่าสุดเมื่อต้นเดือนตุลาคม ได้มีการปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 6.25%
นายนาวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานของกองทุน K-INDIA ในรอบผลดำเนินงานที่ผ่านมา (1 ก.พ.59 – 31 ต.ค.59) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 21.38% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 18.27% โดยปัจจุบันกองทุนหลักจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูงที่ยังสามารถสร้างผลตอบแทนดีได้ในระยะยาว ทั้งนี้แม้ว่าระดับราคาหุ้นอินเดียในปัจจุบันเริ่มแพง แต่บลจ.กสิกรไทยมองว่ายังมีโอกาสเข้าลงทุนได้และมีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ รวมถึงกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ
"ส่วนผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นทางการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ สามารถเอาชนะนางฮิลลารี คลินตัน ส่งผลให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวเป็นลบ โดยผลกระทบต่อตลาดการเงินการลงทุน บลจ.กสิกรไทยมองว่าจะส่งผลต่อสินทรัพย์ต่างๆ ในระยะสั้น โดยตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะมีความผันผวนเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้คำแนะนำสำหรับนักลงทุน เนื่องด้วยผลการเลือกตั้งจะมีผลต่อทิศทางของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว ดังนั้นบลจ.กสิกรไทยแนะนำให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะยาวใช้เป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในบางภูมิภาค อาทิ หุ้นไทยและเอเชียที่คาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า รวมถึงในแง่ของระดับราคายังมีความน่าสนใจและเศรษฐกิจยังมีโอกาสเติบโตได้ดี" นายนาวินกล่าวในที่สุด
ผู้ที่สนใจลงทุนในกองทุน K-USA กองทุน K-ASIA และกองทุน K-INDIA สามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือติดต่อ KAsset Contact Center 02673 3888
บลจ.กสิกรฯชี้หุ้นโลกผันผวนสูงหลังทรัมป์คว้าชัยเลือกตั้งปธน.สหรัฐ มองเป็นจังหวะลงทุนหุ้นไทย-เอเชียรับผลกระทบน้อย
นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนต่างประเทศ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า สำหรับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ อย่างไม่เป็นทางการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน สามารถเอาชนะนางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ส่งผลให้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวเป็นลบ และเชื่อว่าผลกระทบต่อตลาดการเงินการลงทุนนั้นจะส่งผลต่อสินทรัพย์ต่างๆ ในระยะสั้น โดยตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะมีความผันผวนเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตามผลการเลือกตั้งจะมีผลต่อทิศทางของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว ดังนั้น แนะนำให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะยาวใช้เป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในบางภูมิภาค อาทิ หุ้นไทยและเอเชียที่คาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า รวมถึงในแง่ของระดับราคายังมีความน่าสนใจและเศรษฐกิจยังมีโอกาสเติบโตได้ดี
"มีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นเอเชีย โดยมองว่ายังมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการปฏิรูปประเทศของจีนและอินเดียที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียในระยะยาว นอกจากนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะส่งผลให้ค่าเงินของประเทศเกิดใหม่รวมทั้งเอเชีย มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออก ดังนั้น ผู้ลงทุนสามารถเข้าลงทุนเพิ่มเติมในตลาดหุ้นเอเชียได้ โดยมองว่าระดับราคาหุ้นเอเชียยังมีความน่าสนใจและมีศักยภาพในการเติบโตที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่น ๆ"นายนาวินกล่าว
นายนาวิน กล่าวว่า ส่วนสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ตั้งแต่ต้นปี–31 ต.ค. 59 ตลาดหุ้นอินเดียปรับตัวเป็นบวกกว่า 7% เนื่องจากผลประกอบการบริษัทที่ออกมาดีขึ้นจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจอินเดียยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2/2559 ที่ออกมา เติบโตอยู่ที่ 7.1% และสูงกว่าประเทศแกนหลักในเอเชียอย่างจีน ส่วนตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปีนี้คาดการณ์อยู่ที่ 7.6% ซึ่งถือเป็นระดับที่สูง โดยปัจจัยบวกจะมาจากการปฎิรูปเศรษฐกิจของภาครัฐที่มีความคืบหน้ามากขึ้นซึ่งจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ประกอบอัตราเงินเฟ้อที่ยังชะลอตัวจะทำให้ธนาคารกลางอินเดียสามารถดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมได้ ซึ่งล่าสุดเมื่อต้นเดือนตุลาคม ได้มีการปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 6.25%
สำหรับ ผลการดำเนินงานของกองทุน K-INDIA ในรอบผลดำเนินงานที่ผ่านมา (1 ก.พ.59 – 31 ต.ค.59) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 21.38% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 18.27% โดยปัจจุบันกองทุนหลักจะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูงที่ยังสามารถสร้างผลตอบแทนดีได้ในระยะยาว ทั้งนี้แม้ว่าระดับราคาหุ้นอินเดียในปัจจุบันเริ่มแพง แต่บลจ.กสิกรไทยมองว่ายังมีโอกาสเข้าลงทุนได้และมีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ รวมถึงกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มีกำหนดจ่ายเงินปันผลกองทุนต่างประเทศจำนวน 3 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2559-31 ตุลาคม 2559 และกองทุนเปิดเค เอเชียน สมอลเลอร์ หุ้นทุน (K-ASIA) ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2558-31 ตุลาคม 2559 โดยทั้ง 2 กองทุนจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 31 ตุลาคม 2559 ด้านกองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA) จ่ายในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559-31 ตุลาคม 2559 โดยจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น.ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 และทั้ง 3 กองทุนมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2559 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 179.36 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานของกองทุน K-USA ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา สามารถปรับตัวเป็นบวก 6.25% โดยเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 4.29% (ข้อมูล ณ 31 ต.ค.59) เนื่องจากกองทุนหลักมีสัดส่วนในหุ้นกลุ่มไอทีเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งผลประกอบการในไตรมาส 3/2559 ของหุ้นในกลุ่มไอทีที่ออกมามีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯในภาพรวมยังมีทิศทางเติบโตที่ดี โดยตัวเลขประมาณการณ์ GDP ล่าสุดในไตรมาส 3 อยู่ที่ 2.9% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าตลาดคาดและสูงสุดในรอบ 2 ปี ประกอบกับภาคเอกชนมีการฟื้นตัวที่ดีโดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศ รวมทั้งการจ้างงานที่เต็มศักยภาพ อย่างไรก็ตามตลาดยังติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้ ทั้งนี้เนื่องจากราคาหุ้นสหรัฐฯปัจจุบันซื้อขายอยู่ในระดับราคาค่อนข้างแพงแล้ว และแนวโน้มอัตราการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนเริ่มจำกัด ผู้ลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังหรือรอประเมินสถานการณ์หากต้องการเข้าลงทุนเพิ่มเติม
ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน K-ASIA ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา สามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานกว่า 9% โดยให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 10.57% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 1.36% (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 59) ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปี 59 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเอเชียให้ผลตอบแทนโดดเด่นจากเศรษฐกิจในภูมิภาคที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวได้ดีกว่าประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงยังมีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาสู่ภูมิภาคหลังจากที่ได้ไหลออกไปเมื่อช่วงปีก่อนหน้า