- Details
- Category: บลจ.
- Published: Tuesday, 21 June 2016 16:03
- Hits: 1602
บลจ.กรุงไทยขายตราสารหนี้ 3 เดือนชู 1.40% ช่วงเศรษฐกิจผันผวนแนะจัดพอร์ตลงทุน
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกกรุงไทยตราสารหนี้เอฟไอเอฟ 102 (KTFF102) เสนอขาย วันที่ 22-28 มิถุนายน 2559 อายุ 3 เดือน เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศทั้ง100% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนซึ่งประกอบด้วย เงินฝากประจำ Bank of china (Macau) , China Construcytion Bank (Asia) Corp.Ltd , Agricultural Bank of CHINA ,Union National Bank PJSC และ First Gulf Bank PJSC ผลตอบแทนประมาณ 1.40% ต่อปีเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการล็อคผลตอบแทนในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจมีความผันผวนจากปัจจัยต่างๆ และผลตอบแทนสำหรับบุคคลธรรมดาไม่เสียภาษี
นางชวินดา กล่าวว่า ในช่วงเวลานี้ตลาดหุ้นมีความผันผวน สาเหตุหลักมาจากการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นซึ่งทำให้ตลาดตราสารหนี้และทองคำ มีการขายทำกำไรออกมา ปัจจัยหลักๆเป็นเรื่องของความไม่แน่นอนในเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด การประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น และสิ่งที่ตลาดให้ความสำคัญมากคือเรื่องของประชามติ Brexiเกี่ยวกับการถอนตัวของสหราชอาณาจักรจากการเป็นสมาชิกกลุ่มสหภาพยุโรปในวันที่ 23 มิถุนายนนี้
ทั้งนี้ หากอังกฤษเลือกที่จะออกจากกลุ่มสหภาพยุโรป จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน รวมถึงระบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ตลาดเข้าสู่โหมดการปกป้องตัวเองจากความเสี่ยง ( Risk-Off) เม็ดเงินลงทุน จะเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ-เยอรมนี และทองคำในขณะที่ตลาดหุ้นในยุโรปเกิดแรงเทขายอย่างมาก
ในมุมองของบลจ.กรุงไทย คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายโดยเฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ย ในช่วงเดือน กรกฎาคม กันยายน หรือ ธันวาคม อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน คาดว่าจะมีผลต่อการตัดสินในการดำเนินนโยบายของเฟด
ด้านปัจจัยการลงคะแนนประชามติ Brexit บลจ.กรุงไทย คาดว่า มีโอกาสอยู่บ้างที่จะอยู่ต่อในยูโรโซนต่อไป ทั้งนี้จากสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ การจัดพอร์ตการลงทุนนับเป็นเรื่องสำคัญสำหรับประชาชนที่ต้องการลงทุน เพื่อเก็บออมไว้ใช้ในอนาคต และเป็นการสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่มากขึ้น ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศยังมีความผันผวนต่อการลงทุน จึงไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ควรจะมีการกระจายพอร์ตการลงทุน
การปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนที่พอรับความเสี่ยงได้ อาจจะพิจารณาลงทุนในตราสารทุน 46% ตราสารหนี้ 38% สินทรัพย์ทางเลือก 11% และเงินสด 5% โดยคิดเป็นสินทรัพย์ที่อยู่ภายในประเทศ 68% ต่างประเทศ 32% ทั้งนี้เชื่อว่าตลาดตราสารทุนยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า หากสามารถผ่านพ้นปัจจัยลบที่เป็นเหตุการณ์ต่างๆไปได้ จะทำให้บรรยากาศการลงทุนกลับมาดีและเพิ่ม Upside ให้กับตลาดตราสารทุนได้อีกครั้ง