- Details
- Category: บลจ.
- Published: Tuesday, 29 March 2016 17:40
- Hits: 1599
ทิสโก้ขนทัพกูรู 'จับตาโอกาส-ความเสี่ยง สร้าง Wealth รอบใหม่' แนะ'ยุโรป-ญี่ปุ่น-จีน-อินเดีย'ดาวเด่นครึ่งหลัง '59
ทิสโก้ จัดงานสัมมนาใหญ่ TISCO Investment Forum’จับตาโอกาส ความเสี่ยง สร้าง Wealth รอบใหม่ ท่ามกลางความผันผวนโลก’ ขนทัพกูรูแนะนำการจัดพอร์ต ‘ยุโรป-ญี่ปุ่น-จีน-อินเดีย’ เป็นโอกาสการลงทุนปี 2559 รับธีม ECB-BoJ ผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง แนะ REITs เป็นทางเลือกลงทุน ตอบโจทย์ยุคดอกเบี้ยต่ำ
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวว่า ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในช่วงเดือนที่ผ่านมา นำโดยตลาดยุโรปและญี่ปุ่นรวมถึงจีนที่ปรับตัวขึ้นราว 10-15% ตาม Sentiment ของตลาดที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น โดยปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ การคลายความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของราคาน้ำมัน ประกอบกับการแข็งค่าของค่าเงินหยวนและการชะลอตัวของกระแสเงินทุนไหลออกจากจีน ซึ่งเป็นไปตามที่เราคาดไว้
ด้านการล้มละลายของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันจะส่งผลกระทบจำกัดต่อภาคการเงิน ตลาดน้ำมันดิบโลกกำลังปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่ โดยราคาน้ำมันที่ตกต่ำ เริ่มส่งผลกดดันให้ผู้ผลิตน้ำมัน Shale Oil ประสบปัญหาขาดทุนและบางแห่งต้องถึงกับประกาศล้มละลายลงไป อย่างไรก็ดีเราคาดว่าผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้ดังกล่าวจะไม่ลุกลามจนเป็นปัญหาเชิงระบบ การผลิตน้ำมันที่ลดลงตามการปิดตัวของบริษัทน้ำมันในสหรัฐฯ จะช่วยให้ภาวะอุปสงค์-อุปทานกลับสู่สมดุล และทำให้ราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้นได้ในที่สุด
นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา หัวหน้าฝ่ายจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ. ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นยังเป็นการลงทุนที่น่าสนใจในปีนี้ เพราะภาวะ Oversold ช่วงต้นปีทำให้ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวกลับขึ้นมา ประกอบกับ Valuation ของตลาดยังอยู่ในช่วงต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี อีกทั้งยังไม่มีภาพว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย จึงนับเป็นโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้น โดยแนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นกลุ่ม Developed Market (DM) เช่น ตลาดหุ้นยุโรปหรือญี่ปุ่น ที่จะได้รับปัจจัยบวกจากการใช้มาตรการ QE อีกทั้ง Valuation ของทั้ง 2ตลาดปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ขณะที่ตลาด Emerging Market (EM) ยังคงมีความเสี่ยงต่อภาวะเงินทุนไหลออกอีกครั้ง จากการปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลกหลังจากตลาดหุ้นและสกุลเงินของกลุ่ม EM ปรับตัวขึ้นในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นไทยนั้นมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดกลุ่มประเทศ EM อื่นๆ เนื่องจากสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติในหุ้นไทยถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่าน ทำให้ความเสี่ยงจากเงินทุนไหลออกอยู่ในระดับต่ำ
“เราแนะนำให้ Overweight ตลาดหุ้นยุโรปกับญี่ปุ่น โดยมองว่าแนวโน้มดำเนินนโยบายผ่อนคลายของ ECB และ BoJ ซึ่งสวนทางกันโยบายที่เข้มงวดของ Fed จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรและเยน เป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนตลาดหุ้นญี่ปุ่นและยุโรป สำหรับตลาดเกิดใหม่ยังมีความเสี่ยงทุนไหลออก แต่ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่ากลุ่ม EM อื่นๆ เพราะสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับต่ำ” นายสุพงศ์วร กล่าว
นอกจากนี้ นักลงทุนยังต้องจับตาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในปี 2559 เช่น Yield ของตราสารหนี้ที่อาจได้รับแรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ปัญหาค่าเงินหยวนของจีนอ่อนค่า และความเสี่ยงด้านการเมืองระหว่างประเทศ เช่น วิกฤตผู้อพยพในยุโรป และความเสี่ยงอังกฤษจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หรือ Brexit ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้
นายสุพงศ์วร ยังกล่าวว่า การลงทุนใน REITs (กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์) ต่างประเทศ ปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกเพื่อกระจายการลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบการลงทุนหลายครั้งที่ผ่านมา ในปีนี้การลงทุนประเภท REITs จะได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำจากการใช้มาตรการ QE ของ ECB และ BoJ โดยเฉพาะ REITในญี่ปุ่น ซึ่งราคาที่ดินในญี่ปุ่นเริ่มปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากทรงตัวมานาน ขณะที่ราคาภาคอสังหาริมทรัพย์ในยุโรปยังคงต่ำเมื่อเทียบกับจุดสูงสุดในปี 2007 และมีแนวโน้มอัตราการเช่าที่เพิ่มสูงขึ้น