- Details
- Category: บลจ.
- Published: Friday, 09 October 2015 23:12
- Hits: 3952
บลจ.วรรณ เผย AUM ปีนี้ 1.1 แสนลบ. ดีกว่าคาด พร้อมให้เป้าหมายดัชนีปีหน้า 1600-1650 จุด
'บลจ.วรรณ' เปิดยอด AUM ปีนี้ ทำได้ 1.1 แสนลบ. เกินเป้าหมายที่คาดว่าจะทำได้ 8 หมื่นลบ. มี 4 กองทุนหนุน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ คาดไตรมาส 4 เตรียมคลอด อินฟราสตรัคเจอร์ ขนาด 1.7 พันลบ. ประเมินตลาดหุ้นโค้งสุดท้ายของปีอยู่ในกรอบ 1,300-1,450 จุด พร้อมให้เป้าหุ้นไทยปีหน้าที่ระดับ 1,600-1,650 จุด
ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด (บลจ.วรรณ) เปิดเผยว่า บลจ.วรรณ คาดมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ปีนี้ทำได้ 1.1 แสนล้านบาท จากปีก่อนที่ 7.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตมากกว่าเป้าเดิมที่เคยตั้งไว้ 8 หมื่นล้านบาท โดยจะเป็นการเติบโตจาก 4 กองทุน คือ กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยคาดว่าในช่วงไตรมาส 4 มีแผนที่จะออกกองอินฟราสตรัคเจอร์ ร่วมกับ บลจ.เอ็มเอฟซี ซึ่งมีมูลค่ากองทุน 1.7 พันล้านบาท ในปีนี้บริษัทฯ คาดกำไรสุทธิยังคงเติบโตได้ตามเป้า 25% จากปีก่อนที่มีกำไร 95 ล้านบาท ผลจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เปิดเสนอขายกองทุนรวมอสังหาฯ ไทยแลนด์ โฮสชีทาลีตี้ (TLHPF) มูลค่ากองทุน 1,720 ล้านบาท เพื่อลงทุนในกรรมสิทธิ์ (FREEHOLD) ในสินทรัพย์ของโครงการโรงแรม พีพี ฮอลิเดย์ อิน รีสอร์ท โดยจะมีการเปิดเสนอขายไอพีโอวันที่ 9-27 ต.ค. นี้ และจดทะเบียนทรัพย์สินกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) 29 ต.ค. 2558 และจะโอนกรรมสิทธิ์ของบริษัทเข้ากองทุน 30 ต.ค. 2558 และจะนำหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัยพ์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 27 พ.ย. 2558
สำหรับ จุดเด่นของสินทรัพย์ที่เข้าลงทุนในโรงแรม พีพี ฮอลิเดย์ฯ นี้ มีจุดเด่นคือ โครงการตั้่งอยู่บนเกาะพีพี บนเนื้อที่กว่า 31 ไร่ ติดชายหาด อัตราค่าเช่าห้องพักของโรงแรมอยู่ในระดับสูง และผลการดำเนินงานของโรงแรมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตั้่งแต่ปี 2553-2557 มีอัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นก่อนหักภาษี (Ebitda Margin) อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2553 มี Ebitda Margin ที่ 31.6% และช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ มี Ebitda Margin เติบโตอยู่ที่ประมาณ 44.9% ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่จะมาห้องพักเฉลี่ยประมาณ 66% ค่าบริการอาหารและเครื่องดื่ม 25% และรายได้อื่นๆ ประมาณ 9% ซึ่งตลอด 5 ปีที่ผ่านมามีอัตราเข้าพักเฉลี่ยสูงกว่า 80%
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัท พีพี ฮอลิเดย์ฯ ยังอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงแรมใหม่ โดยใช้ชื่อว่า โรงแรมอินเตอร์คอล บนเกาะพีพี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2559 มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท จำนวน 220 ห้อง หากเปิดดำเนินการมีแผนที่จะนำเข้าในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
ดร.วิน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมการลงทุนในช่วงไตรมาส 4/2558 ซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของปี คาดว่าดัชนีฯ เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,300-1,450 จุด P/E 14-14.5 เท่า เนื่องจากมองว่ายังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุนและยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา คือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่คาดว่ามีโอกาสพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเดือนธ.ค. นี้และหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมกับส่งสัญญาณเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว มองว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการไหลออกของเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติในตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
อย่างไรก็ตามปัจจัยหลักที่จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติให้ไหลกลับเข้ามา คือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะเริ่มเห็นผล และจะดึงความเชื่อมั่นในประเทศให้กลับมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนบรรยากาศในการลงทุนในตลาดหุ้น
บริษัทฯ ประเมินว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในปีนี้เติบโตจาก 13% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะเติบโต 20% เนื่องจากราคาน้ำมันในกดดันการเติบโต แต่อย่างไรก็ตามหากราคาน้ำมันช่วงปลายปีแตะ 50 เหรียญต่อบาร์เรล อาจจะมีโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนเติบโตมากกว่าเดิม
พร้อมกันนี้ บลจ.วรรณ มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทย ในปี 2559 จะอยู่ที่ 1,600-1,650 จุด บนกรณีพื้นฐานที่ไม่มีปัจจัยรุนแรงเข้ามากระทบภายใต้ P/E โตเฉลี่ย 14-14.5 เท่า และกำไรบจ. โต 25% บนพื้นฐานราคาน้ำมันอยู่ที่ 60 เหรียญต่อบาร์เรล และการเติบโตของเศรษฐกิจไทยหรือจีดีพี โต 3.5-4% จากปีนี้ที่จีดีพีคาดโต 2.5%
ขณะที่กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ ควรลงทุนในหุ้นไม่เกิน 10% และให้น้ำหนักการลงทุนตราสารหนี้ 50-60% และลงทุนในกองทุนรวมอสังหาฯ 20-30% ซึ่งจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5-6% ต่อปี ขณะที่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ แนะลงทุนในหุ้นสัดส่วน 20-30% ลงทุนในตราสารหนี้ 20-30% และกองทุนอสังหาฯ 20-30%
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
บลจ.วรรณ คาด AUM ปีนี้ 1.1 แสนลบ.ทะลุเป้า มอง SET ปีหน้า 1,650 กำไรบจ.โต 25%
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ คาดว่า มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ในปีนี้จะขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.1 แสนล้านบาท จากปีก่อน 8.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 9 หมื่นล้านบาท
สำหรับ การเติบโตในช่วงที่ผ่านมา มาจากกองทุน 4 ประเภท คือ กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยล่าสุด บลจ.วรรณ เปิดตัวกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยแลนด์ โฮสพีทาลิตี้ (TLHPF) มูลค่ากองทุน 1,720 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเตรียมออกกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ร่วมกับ บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) อีก 1 กอง ในช่วงปลายปีนี้
ทั้งนี้ บลจ.วรรณ คาดว่า กำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโต 25% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 95 ล้านบาท โดยปัจจุบันผลประกอบการเติบโตไปแลัวกว่าครึ่ง เนื่องจากบริษัทออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง
นายวิน กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คาดดัชนีตลาดหลักทรัพย์(SET Index)ยังคงเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,300-1,450 จุด เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุน โดยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา คือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ที่มีโอกาสสูงจะพิจารณาในช่วง เดือน ธ.ค. นี้ ซึ่งหากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมกับส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว ก็คงไม่มีผลกระทบต่อการไหลออกของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในตลาดเกิดใหม่มากนัก ซึ่งรวมถึงไทยด้วย เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลออกไปมากแล้ว
อย่างไรก็ตาม นายวิน มองว่า ปัจจัยหลักที่จะดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติให้ไหลกลับเข้ามานั่นคือการฟื้นตัวของตัวเลขเศรษฐกิจและความเขื่อมั่นในประเทศ ซึ่งคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเริ่มเห็นผลชัดเจนในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และจะเป็นปัจจัยหนุนต่อบรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
บลจ.วรรณ มองเป้า SET Index ปี 59 ที่ระดับ 1,600-1,650 จุดในกรณีพื้นฐานที่ไม่มีปัจจัยรุนแรงเข้ามากระทบ และภายใต้สมมติฐานค่า P/E ตลาดหุ้นไทยเฉลี่ย 14-14.5 เท่า กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 25% ขณะที่ราคาน้ำมันคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นมาที่เฉลี่ย 60 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล และเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ราว 3.5-4%
พร้อมแนะนำนักลงทุนหน้าใหม่ควรลงทุนหุ้นไม่เกิน 10% ของพอร์ต และให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ 50-60% กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 20-30% คาดว่าจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5-6% ต่อปี ขณะที่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก สามารถลงทุนหุ้นในสัดส่วน 20-30% โดยแบ่งลงทุนในและต่างประเทศอย่างละ 10-15%
อินโฟเควสท์