- Details
- Category: บลจ.
- Published: Thursday, 06 August 2015 09:00
- Hits: 7279
บลจ.ทิสโก้ คงเป้าดัชนีปีนี้ 1,600 จุด แนะเลี่ยงหุ้นกลุ่มแบงก์-พลังงาน เชียร์สื่อสาร-ท่องเที่ยว พร้อมกระจายความเสี่ยงไปหุ้น ตปท.
บลจ.ทิสโก้ คงเป้าดัชนีปีนี้ 1,600 จุด มองครึ่งปีหลังภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น คาดจีดีพีโต 3% แนะเลี่ยงหุ้นกลุ่มแบงก์และพลังงาน หลังได้รับผลกระทบจากศก.ชะลอตัว ขณะที่เชียร์ซื้อกลุ่มสื่อสารและท่องเที่ยว พร้อมแนะกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดต่างประเทศ เล็งคลอดกองทุนหุ้นจีน-เยอรมัน-ญี่ปุ่น เหตุผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นไทย
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยยังคงเป้าดัชนีปีนี้ที่ 1,600 จุด เนื่องจากเชื่อว่าในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นจากการลงทุนของภาครัฐ และ มาตการการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับ ยังคงประมาณการจีดีพีปีนี้ีที่ 3%
ทั้งนี้แนะนำหลีกเลี่ยงลงทุนในกลุ่มธนาคาร เนื่องจากได้รับผลกระทบหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง โดยมองว่าหุ้นที่เหมาะสำหรับการลงทุน คือ กลุ่มสื่อสารที่จะได้รับประโยชน์จากประเปิดประมูลคลื่น 4G และ กลุ่มท่องเที่ยวที่ยังมีทิศทางเติบโตได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
"หุ้นไทยด้านมูลค่าตลาดยังน่าสนใจ เพราะราคาถือว่าถูก แต่ถ้าด้านกำไร มีโอกาสปรับลดลง เพราะ 2 กลุ่มใหญ่ฉุดกำไรโดยรวมตลาดลงจากปัจจุบันใกล้ระดับ 10%"
สำหรับการลงทุนในครึ่งปีหลังยังคงให้น้ำหนักกับการกระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศที่สามารถสร้างผลตอบแทนมากกว่าตลาดหุ้นไทย ที่ยังคงได้รับปัจจัยกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยตลาดที่แนะนำให้เน้นลงทุน คือ จีน เยอรมัน และ ญี่ปุ่น
"ตลาดต่างประเทศให้ผลตอบแทนดีกว่าไทย โดยจีนให้ผลตอบแทนมากกว่า 20% เพราะ P/BV แค่ 1 เท่าใกล้กับวิกฤตปี 51 และ เชื่อว่าตลาดหุ้นที่ตกลงแรงไม่กระทบต่อกำลังซื้อ และ ทางการจีนยังสนับสนุนตลาดอยู่ ส่วนเยอรมันและญี่ปุ่นให้ผลตอบแทน 15-20% เพราะบจ.ส่วนใหญ่ในตลาดจะได้รับประโยชน์จากสกุลเงินที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลล์ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้"
โดยบลจ.ทิสโก้ เตรียมออกกองทุนเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลัง จากครึ่งปีแรกออกไปแล้ว 22 กอง เน้นลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น เยอรมัน ส่วนไทยยังมีความเสี่ยงจากแนวโน้มขาลงจากเศรษฐกิจที่ซบเซาอาจมีผลเชิงลบต่อบริษัทจดทะเบียน
"ครึ่งปีหลังคงออกน้อยกว่าครึ่งปีแรก เพราะยังมีไม่ความชัดเจนของการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด แต่เรายังมองศักยถาพการลงทุนใน3ประเทศที่ยังมีอัพไซด์สูงทำให้เราเน้นลงทุนในต่างประเทศ 60% ของพอร์ต ส่วน 40% เน้นลงทุนในหุ้นไทย แต่ควรลงทุนระยะยาว เช่น LTF RMF เพื่อลดความเสี่ยงของ downside ตลาดในช่วงสั้น"