- Details
- Category: บลจ.
- Published: Saturday, 18 July 2015 09:18
- Hits: 4780
บลจ.อเบอร์ดีน เผยอาจปรับลดน้ำหนักลงทุนหุ้นไทยจาก overweight หากงบ บจ.Q3/58 ยังชะลอตัว
นายชัยเกษม วัฒนศิริพงษ์ หัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายกองทุน บลจ.อเบอร์ดีน กล่าวว่า ยังให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ที่ระดับ "overweight" แต่อาจปรับลดน้ำหนักลง หากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในไตรมาส 3/58 ยังชะลอลงต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ภาพรวมการลงทุนอยู่ในภาวะซบเซา ขณะที่ภาพรวมในไตรมาส 2/58 ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ คาดว่าจะชะลอตัว
สำหรับปัจจัยที่จะมีผลต่อการลงทุนในระยะสั้น ได้แก่ ปัญหาการลงทุนในตลาดหุ้นจีน ปัญหาหนี้สินกรีซ และแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ซึ่งส่วนตัวมองว่า อาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่เกิน 0.50% ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ต่อาจจะมีผลทำให้เม็ดเงินลงทุนถูกดึงกลับไปต่างประเทศได้
ส่วนระยะยาว แนะนำให้จับตาภาพรวมเศรษฐกิจ และตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย เนื่องจากเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะทำให้เกิดการชะลอตัวอย่างแท้จริง
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
บลจ.อเบอร์ดีน มองหุ้นไทยช่วงสั้นผันผวนจากปัจจัยตปท.,แนะลงทุนยาว 3-5 ปี
นายชัยเกษม วัฒนศิริพงษ์ หัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายกองทุน บลจ.อเบอร์ดีน เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นยังมีความผันผวนเป็นผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะปัญหาหนี้กรีซ ที่ถึงแม้ว่าล่าสุดได้บรรลุข้อตกลงในการแก้วิกฤตหนี้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ขณะเดียวกันภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นจีนก็ยังมีความผันผวน รวมถึงยังมีปัจจัยจากการที่สหรัฐฯจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วๆนี้ด้วย
โดยแนะนำกลยุทธ์การลงทุนว่าให้เน้นการลงทุนระยะยาว 3-5 ปี และเลือกลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากการใช้นโยบายต่างๆของภาครัฐฯ และหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐฯ
สำหรับ สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ของอเบอร์ดีน ปัจจุบันอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท เติบโตกว่า 10% จากสิ้นปี 57 ซึ่งเป็นการเติบโตจากกองทุนภาษี และกองทุนต่างประเทศเป็นหลัก ขณะที่คาดว่าทั้งปีนี้ AUM จะเติบโตได้ราว 15-20% โดยในช่วงครึ่งปีหลังบลจ. เตรียมออกกองทุนใหม่เพิ่มเติม โดยจะเป็นกองทุนที่ออกไปลงทุนในภูมิภาค
ด้านนายสุรศักดิ์ ธรรมโน นักกลยุทธฺการลงทุน ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เปิดเผยว่า ธนาคารมองอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยในปีนี้จะเติบโตได้ถึง 4.1% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยภายนอก คือทั้งในประเทศสหรัฐฯที่มีการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ในสหภาพยุโรปที่ปรับตัวดีขึ้น หลังกรีซบรรลุข้อตกลงในการแก้วิกฤตหนี้ พร้อมกันนี้ความกังวลที่ว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวไม่ถึง 7% ได้คลี่คลายลงหลังจากไตรมาส 2/58 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้ถึง 7% จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจจีนยังขยายตัวได้ค่อนข้างดีอยู่
ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยในประเทศคอยสนับสนุนอีกด้วย ซึ่งทางธนาคารเชื่อว่าภาครัฐฯจะสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามเป้าหมาย และเร่งลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้วย แต่อย่างไรก็ตามหากการเบิกจ่ายภาครัฐฯไม่เป็นไปตามเป้าหมายก็ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะยังสามารถเติบโตได้อย่างน้อย 3%
"เรามองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยคงจะเติบโตได้ 4.1% ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ แต่อย่างไรก็ตามมองกรอบล่างของเศรษฐกิจไทยไว้ที่ 3% หากการเบิกจ่ายภาครัฐฯไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และไม่สามารถเร่งโครงการโครงสร้างพื้นฐานออกมาได้ ก็จะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของเอกชนไม่กลับมาด้วย ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังไม่น่ากังวลหากมาดูตัวเลขต่างๆแล้ว ตัวเลขก็ยังห่างไกลจากปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อปี 40 แต่ปัญหาอย่างเดียวคือความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทย ทำให้ประชาชนไม่กล้าที่จะออกมาใช้จ่าย"นายสุรศักดิ์ กล่าว
นายสุรศักดิ์ กล่าวต่อว่า ทางธนาคารยังมองว่าการลงทุนในหุ้นยังมีความน่าสนใจกว่า สินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ซึ่งเชื่อว่าผลตอบแทนที่ได้จะดีกว่าสินทรัพย์อื่นๆ ซึ่งทางธนาคารไม่มีความกังวลต่อสถานการณ์ของกรีซ รวมถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในจีน ซึ่งปัจจุบันมองว่าเศรษฐกิจของจีนจะยังสามารถเติบโตได้ 7% หลังไตรมาส 2/58 ที่ผ่านมาเติบโตได้ค่อนข้างดี
โดยมองว่าตลาดหุ้นในสหภาพยุโรป ที่ยังมีการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สถานการณ์วิกฤตหนี้ ล่าสุดก็ได้บรรลุข้อตกลงแล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นก็มีความน่าสนใจเช่นกัน เนื่องจากยังมีการใช้นโยบายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย สำหรับอีกตลาดที่ทางธนาคารให้ความสนใจคือ ตลาดหุ้นฮ่องกง และเลือกลงทุนในหุ้นที่อยู่ในประเทศจีน แต่จดทะเบียนอยู่ในตลาดฮ่องกง ซึ่งยังมีแนวโน้มการเติบโตได้ค่อนข้างดี และมี P/E ที่ 8 เท่าซึ่งถือว่าอยู่ในระดับไม่สูงมากเมือเทียบกับ P/E ของตลาดหุ้นเซียงไฮ้ที่มี P/E 14 เท่า และในเซินเจิ้น ที่มีระดับ P/E อยู่ 51 เท่า
อินโฟเควสท์