- Details
- Category: บลจ.
- Published: Thursday, 09 July 2015 21:52
- Hits: 7042
บลจ.วรรณ ชี้หุ้นจีนร่วงแรงแค่ขายทำกำไร ไม่ใช่ฟองสบู่แตก มองยังลงได้อีก 20% ส่วนหุ้นไทยครึ่งปีหลังคาด sideways ในกรอบ 1,450-1,550 จุด
บลจ.วรรณ มองแนวโน้มตลาดหุ้นจีนยังผันผวนในระยะสั้น และมีโอกาสปรับลงได้อีก 20% จากแรงแพนิคของรายย่อย มั่นใจการร่วงลงของหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (A-share) ในช่วงนี้ ยังไม่ถือเป็นภาวะฟองสบู่แตก เหตุตั้งแต่ไตรมาส 4/57 ตลาดหุ้นจีนพุ่งกว่า 100% ดังนั้นการปรับลงกว่า 30% ในช่วงกว่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา จึงเป็นเรื่องปกติ ระบุหุ้นจีนยังเป็นตลาดที่น่าสนใจ ขณะที่มองหุ้นไทยจะยัง sideways ในกรอบ 1,450-1,550 จุด ในช่วงที่เหลือของปี รอการลงทุนภาครัฐเข้ามาผลักดัน แต่ยังน่าลงทุนกว่าหุ้นยุโรปที่ไม่มีปัจจัยบวกที่ชัดเจน
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นจีนจะยังผันผวนในระยะสั้น และมีโอกาสปรับลงได้อีกประมาณ 20% จากแรงขายของนักลงทุนรายย่อย ที่ตื่นตระหนกกับภาวะตลาด และไม่มั่นใจในการดำเนินนโยบายของทางการจีนในช่วงที่ผ่านมา มั่นใจการร่วงลงของหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (A-share) ในช่วงนี้ ยังไม่ถือเป็นภาวะฟองสบู่แตก เนื่องจากตั้งแต่ไตรมาส 4/57 ตลาดหุ้นจีนปรับขึ้นมากว่า 100% ดังนั้นการปรับลงกว่า 30% ในช่วงกว่า 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้
ขณะที่พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน และเศรษฐกิจโดยรวมของจีน ยังอยู่ในเกณฑ์ดี รวมทั้งรัฐบาลยังสามารถดำเนินมาตรการกระตุ้นต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
"หากลงอีก 20% น่าจะจบได้ สำหรับ A-share ที่ลงมา มองว่าเป็นเรื่องของการขายทำกำไร ไม่ได้มองว่าเป็นฟองสบู่แตก" นายวิน กล่าว
นายวิน กล่าวด้วยว่า การดำเนินมาตรการของทางการจีนในระยะหลัง ซึ่งมีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายครั้ง เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นกับตลาดหุ้นจีน และด้วยความที่ตลาดหุ้นจีน A-share เป็นการซื้อของนักลงทุนรายย่อยกว่า 80% จึงทำให้มีความผันผวนมาก
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหุ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แนะนำให้นักลงทุนกระจายการลงทุนไปยังหุ้นต่างประเทศมากขึ้น โดยตลาดที่บลจ.วรรณ มองว่าน่าสนใจที่สุด คือ ญี่ปุ่น รองลงมาคือ จีน, อาเซียน และสหรัฐ ตามมาด้วยตลาดหุ้นไทย และยุโรป โดยบริษัทจะ overweight ตลาดหุ้นในเอเชีย ขณะที่ neutral หุ้นสหรัฐ แต่ underweight หุ้นยุโรป เพราะยังไม่ได้มีปัจจัยบวกที่ชัดเจน
"ที่เราชอบที่สุดจะเป็นญี่ปุ่น ตามด้วยจีน H-share แล้วก็อาเซียน ถัดไปเป็นสหรัฐ และไทย ซึ่งในส่วนของไทยมองว่าเป็นตลาด sideways แต่ถ้ามีความชัดเจนเรื่องการลงทุนภาครัฐออกมา ก็น่าจะทำให้ตลาดวิ่งได้ แล้วเราคงจะเลื่อนขึ้นมาอยู่ลำดับอื่น" นายวิน กล่าว
ทั้งนี้ประเมินว่า ดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะแกว่งตัวในกรอบ 1,450-1,550 จุด โดยปัจจัยที่จะเข้ามาผลักดันตลาดหุ้นไทยได้ จะอยู่ที่ทิศทางเศรฐษกิจในประเทศเป็นหลัก ซึ่งต้องอาศัยมาตรการการเงินการคลังมาสนับสนุน โดยเฉพาะมาตรการการคลัง และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หากมีการเริ่มดำเนินการที่ชัดเจนออกมา ไม่ว่าจะเป็นโครงการได้ ก็จะเป็นภาพบวกต่อตลาดอย่างแน่นอน
ส่วนนโยบายการเงินนั้น ในทางปฏิบัติคงไม่ได้มีผลต่อเศรษฐกิจโดยตรง แต่ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ต้องการจะปรับลดดอกเบี้ยลงอีก เพื่อเป็นแรงหนุนให้กับเศรษฐกิจ ก็คงจะต้องดำเนินการภายใน 2-3 เดือนนี้ หรือก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งคาดกันว่าจะเป็นเดือนก.ย.
จากความเชื่อมั่นในทิศทางของตลาดหุ้นเอเชีย บริษัทจึงเตรียมเสนอขายกองทุนเปิด วรรณ นอร์ทเอเชีย 10 ฟันด์ ระหว่างวันที่ 10-15 ก.ค.นี้
กองทุนดังกล่าวจะกระจายการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียเหนือ 4 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น, จีน, ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ผ่านกองทุนอีทีเอฟในต่างประเทศ โดยสามารถปรับสัดส่วนการถือหุ้นและเงินสดได้ตั้งแต่ 0-100% ตามสถานการณ์ รวมทั้งสามารถปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนในแต่ละตลาดได้ตามความเหมาะสม
กองทุนนี้ตั้งเป้าหมายสร้างผลตอบแทน 10% ภายใน 10 เดือน โดยสัดส่วนพอร์ตเริ่มแรก คาดว่าจะลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น 35%, จีน H-share 25%, ไต้หวัน 15% เกาหลีใต้ 5% และถือเงินสดไว้อีก 20%
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย