WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ทิสโก้นำทัพกูรูจัดสัมมนาใหญ่เจาะกลยุทธ์สร้างกำไรครึ่งปีหลัง ฟันธง 'ญี่ปุ่น -จีน -เยอรมัน'พระเอกครึ่งปีหลังรับแรงหนุนเฟดขึ้นดอกเบี้ย

    ทิสโก้ เวลธ์ จัดสัมมนาใหญ่ TISCO Wealth Investment Forum'เจาะกลยุทธ์การลงทุน สร้างกำไรครึ่งปีหลัง' นำทัพกูรูร่วมฟันธงกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง แนะการลงทุน Top Pick  ชูตลาดหุ้น'ญี่ปุ่น-จีน-เยอรมัน'เด่นสุด รับอานิสงส์เฟดขึ้นดอกเบี้ย ส่วน 'อสังหาฯ ญี่ปุ่น' ยังมาแรงต่อเนื่อง พร้อมแนะนำกองทุน-ETF ครึ่งปีหลัง ตอกย้ำผู้นำการลงทุนต่างประเทศด้วยผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทั่วโลก

    นางอรนุช  อภิศักดิ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ กล่าวในงานสัมมนา TISCO Wealth Investment Forum "เจาะกลยุทธ์การลงทุน สร้างกำไรครึ่งปีหลัง" ว่า ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth) ยังคงมุ่งมั่นในการเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุด ด้วยความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ที่มีมาอย่างยาวนาน ในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ ไม่ว่าสถานการณ์โลกจะเป็นอย่างไร เพื่อตอกย้ำจุดยืนในการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนต่างประเทศที่ครอบคลุมทั่วโลก (Global Wealth Advisory) และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและนักลงทุนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

      สำหรับ ในช่วงเสวนา "เจาะกลยุทธ์การลงทุน สร้างกำไรครึ่งปีหลัง" นายคมศร ประกอบผล  หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้  กล่าวว่า จากกลยุทธ์การลงทุนที่ทิสโก้เคยแนะนำไปปลายปีที่ผ่านมา ว่ามุมมองการลงทุนปี 58 จะถูกกำหนดด้วย 3 ธีม หลักคือ ดอลลาร์แข็ง น้ำมันถูก และ ยิลด์ต่ำ  พร้อมแนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นเยอรมันและญี่ปุ่นที่ได้ประโยชน์จากดอลลาร์แข็ง, ประเทศที่เป็นผู้ส่งออกหลักในอาเซียน เช่น จีน เกาหลี ใต้หวัน และแนะนำให้ขายหุ้นไทย สหรัฐฯ เนื่องจากมีราคาแพง และขายหุ้นละตินอเมริกา เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำ  ซึ่งจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ทั้งสิ้น โดยปัจจุบันดอลลาร์แข็ง 14% น้ำมันลง 40% (จาก 80 เหลือ 50ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) และ Yield พันธบัตร 10  ปี ของสหรัฐฯ ลดลง 35bps  

     ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญของการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังคือ การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)  ที่น่าจะเห็นภายในเดือน ก.ย. 58  ซึ่งจะส่งผลกดดันต่อสินทรัพย์เกือบทุกประเภททั่วโลก โดยตลาดจะผันผวนมากขึ้นในไตรมาส 2-3 ขณะที่สภาพคล่องจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และต้องหาสินทรัพย์เพื่อลงทุนต่อไป โดยมองว่าตลาดหุ้นจะมีอัพไซด์ดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ และจะได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก จึงแนะนำให้ใช้ความผันผวนของตลาดเป็นโอกาสในการซื้อหุ้น

แนะจัดพอร์ตครึ่งปีหลัง Overweight “ญี่ปุ่น-เยอรมัน-จีน” พุ่งรับเฟดขึ้นดอกเบี้ย

   สำหรับ กลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้แนะนำให้ Overweight ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เยอรมัน และจีน โดยมองว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นและเยอรมัน จะได้ผลบวกจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์เมื่อ FED ขึ้นดอกเบี้ย และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีกำไรเติบโตสูงตามเศรษฐกิจ และการเพิ่มการจ่ายปันผลและซื้อหุ้นคืนตามนโยบายรัฐบาล รวมถึงแรงซื้อจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) และกองทุนบำเหน็จบำนาญของญี่ปุ่น (GPIF) ขณะที่ตลาดหุ้นเยอรมัน กำไรเติบโตสูงตามเศรษฐกิจเช่นกัน โดยเศรษฐกิจเยอรมันมีเสถียรภาพสูง อัตราการว่างงานต่ำ ขณะที่ราคาหุ้นยังถูก มี Valuation ถูกที่สุดในยุโรป (P/E อยู่ที่ 15 เท่า เทียบกับ 16 เท่า สำหรับSTOXX600)  ส่วนตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจเนื่องจาก Valuation ถูก มี P/E เพียง 8เท่า และความคืบหน้าของนโยบายปฏิรูปช่วยลดความเสี่ยงในเศรษฐกิจจีน รวมถึงแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีน (PBoC)

    สอดคล้องกับผศ. ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยของ FED มีโอกาสเกิดขึ้นในช่วง ก.ย.- ต.ค. นี้ ส่วนการทำ QE ของยุโรปมองว่า น่าจะต้องมีอีกหนึ่งรอบใหญ่ แต่จะเกิดขึ้นเมื่อใดนั้นต้องดูตัวเลขเศรษฐกิจยุโรปและท่าทีการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ก่อน ซึ่งปัจจัยทั้งหมดจะส่งผลดีต่อยุโรป รวมถึงญี่ปุ่น และตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีน ก็จะได้ผลดีจากการกระตุ้นและความชัดเจนดังกล่าวด้วย โดยมองว่าตลาดหุ้นที่มีความน่าสนใจในครึ่งปีหลัง คือ ตลาดหุ้นเยอรมัน ญี่ปุ่น และจีน เช่นกัน

   “ตลาดหุ้นเยอรมัน ญี่ปุ่น และจีน น่าสนใจที่สุดในครึ่งปีหลัง เยอรมันนั้นได้ประโยชน์จากการที่ยุโรปทำ QE ซึ่งต้องการเงินอัดฉีดอีกราว 3 ล้านล้านดอลล่าร์ในตลาดหุ้น ซึ่งตลาดหุ้นเยอรมันได้เปรียบจากขนาดที่ใหญ่ รวมถึง Valuation ที่น่าสนใจกว่า ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับฐานขึ้นมาจาก17,000 สู่ 19,000 จุด ด้วยความชัดเจนในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของอาเบะโนมิกส์ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นจึงยังคงน่าจะดีต่อเนื่องในปีนี้ ส่วนจีน ปีนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนชัดเจนกว่าเดิมมากทำให้ตลาดหุ้นจีนน่าสนใจเพราะมาตรการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจจีนได้เร็วจากความน่าเชื่อถือที่สูงของทางการจีนในสายตาตลาด” ผศ. ดร.บุญธรรม กล่าว

อสังหาฯ ญี่ปุ่น (J-REITs) อีกทางเลือกลงทุนครึ่งปีหลัง

   ทางด้าน นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา หัวหน้าฝ่ายจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ. ทิสโก้  กล่าวว่า การลงทุนต่างประเทศที่น่าสนใจในครึ่งปีหลัง คือประเทศญี่ปุ่นและจีน โดยญี่ปุ่นมีความน่าสนใจทั้งตลาดหุ้น รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ (J-REITs) โดยตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นญี่ปุ่นสร้างผลตอบแทนในระดับต้นๆของโลกภายหลังภาครัฐเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงภายในประเทศต่อเนื่องโดยBoJ มีเป้าหมายเข้าซื้อETFs และJ-REITs ด้วยวงเงินรวมต่อปีราว3 ล้านล้านเยนและ9 หมื่นล้านเยนตามลำดับนอกจากนี้GPIF ยังมี นโยบายเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจาก12% เป็น25% ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ดำเนินนโยบายการคลังควบคู่ไปกับการทำQE โดยในไตรมาสที่1/58ได้อนุมัติเพิ่มงบประมาณเพิ่มอีกเป็นจำนวนเงิน3.5 ล้านล้านเยนซึ่งนอกจากจะส่งผลให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าแล้วยังส่งผลให้ตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

   เรามองว่า กองทุนอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น(J-REITs) น่าสนใจและมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจญี่ปุ่นนอกจากนี้การเพิ่มปริมาณการซื้อ J-REITs เป็น 9 หมื่นล้านเยนต่อปีจาก3 หมื่นล้านเยนหรือเพิ่มขึ้นกว่า3 เท่าของ BoJ ยังเป็นปัจจัยหนุนต่อการลงทุนในJ-REITs ในระยะยาวได้เป็นอย่างดีโดยในช่วง2 เดือนแรกของปี 58 BoJ ได้เข้าซื้อ J-REIT เป็นจำนวน1.7 หมื่นล้านเยนโดยสิ้นเดือนกุมภาพันธ์BoJ มีการถือครองJ-REITs เป็นมูลค่ากว่า1.94 แสนล้านเยน     

  นอกจากนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นโดยเฉพาะอาคารสำนักงานในโตเกียวมีสัญญาณที่ดีขึ้นชัดเจนโดยค่าเช่าอาคารปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ5 ปีโดยเพิ่มขึ้นกว่า5% ในเดือน.ค. 57 ในขณะที่อัตราว่าง(Vacancy Rate) ลดลงต่อเนื่องประกอบกับอัตราเงินปันผลของJ-REITs ที่อยู่ในระดับสูงที่ราว3% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล(JGBs) ที่ราว0.3%   ส่งผลให้J-REITs มีความน่าสนใจต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีนี้” นายสุพงศ์วรกล่าว

   สำหรับ ตลาดหุ้นจีนคาดว่าความคืบหน้าของการปฏิรูปเศรษฐกิจและนโยบายผ่อนคลายทางการเงินจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นจีนในปีนี้ โดยความคืบหน้าของการปฏิรูปเศรษฐกิจเช่นการเปิดเสรีทางการเงินการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรเงินทุนผ่านกลไกตลาดและกระตุ้นการบริโภคของภาคครัวเรือนเพื่อชดเชยการชะลอตัวของภาคการลงทุนจะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้เศรษฐกิจจีนโดยตลาดหุ้นจีนปัจจุบันเทรดอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต โดยมี P/E เพียง 8 เท่า และมีโอกาสถูก Re-rate ไปซื้อขายในระดับ P/E ที่สูงขึ้น หลังเศรษฐกิจมีพัฒนาการที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ความสำเร็จของโครงการ Shanghai – Hong Kong Stock Connectจะช่วยเพิ่มสภาพคล่อง (Liquidity) ของตลาดหุ้นจีนในอีกทางหนึ่งด้วย

แนะUnderweightสหรัฐฯไทยและละตินอเมริกา

     ทั้งนี้ นายคมศรกล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นที่แนะนำให้Underweight ได้แก่ตลาดหุ้นสหรัฐฯไทยและละตินอเมริกาโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำไรถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์แข็ง และบริษัทน้ำมันซึ่งเป็นสัดส่วนใหญ่ในตลาด,Valuation แพง (P/E = 17เท่า) ส่วนตลาดหุ้นไทยมี Valuation แพงกว่าภูมิภาค ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับยังมีความเสี่ยงจากประเด็นการเมือง และเงินทุนไหลออกเมื่อ FED ขึ้นดอกเบี้ย  และตลาดหุ้นละตินอเมริกาถูกกดดัเนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์ราคาตกต่ำ,ค่าเงินผันผวนจากการขึ้นดอกเบี้ยของ FED  และความเสี่ยงทางการเมืองในบราซิล

เตรียมออกกอง FIF – เทรดหุ้นต่างประเทศต่อเนื่อง รับดีมานด์นักลงทุน

  ด้าน นายสาห์รัช  ชัฏสุวรรณ  ผู้อำนวยการสายการตลาด บลจทิสโก้ กล่าวว่า จากมุมมองการลงทุนดังกล่าว กองทุนที่ บลจ.ทิสโก้ แนะนำในครึ่งปีหลังได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้, กองทุนเปิด ทิสโก้  ไชน่า H-Share อิควิตี้ และกองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้  ที่ลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น จีน และเยอรมัน และกองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน รีท  ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นทางเลือกการลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทน นอกจากนี้ในช่วงที่เหลือของปี  บลจทิสโก้ ยังคงเดินหน้าจับจังหวะการลงทุนด้วยการออกกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยอาศัยความชำนาญและความเฉียบคมในการจับจังหวะลงทุน ซึ่งทิสโก้ถือเป็นผู้นำในการออกผลิตภัณฑ์นี้ พร้อมมีผลงานการบริหารกองทุนที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา

    ขณะที่ นายวิวัฒน์  เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บลทิสโก้ กล่าวว่า จากมุมมองดังกล่าว กลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศในครึ่งปีหลัง บล. ทิสโก้ แนะนำให้ลงทุนใน ETF ตลาดหุ้นญี่ปุ่น จีน และเยอรมัน เช่นกัน ได้แก่ 1. Nomura NIKKEI 225 ของญี่ปุ่น 2. Hang Seng H-Share ETF & ETF Tracker Fund of Hong Kong ของจีนในตลาดฮ่องกง และ 3. iShares MSCI Germany ของเยอรมัน

  ทั้งนี้ หลังจากที่ บล. ทิสโก้ เปิดบริการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ (TISCO Global Trade) และออกบทวิเคราะห์ตลาดหุ้นต่างประเทศ และแนะนำกองทุนอีทีเอฟชั้นนำทั่วโลกเพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุน ปัจจุบันบริการดังกล่าวได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก ซึ่งตอกย้ำถึงจุดยืนของทิสโก้ในการเป็นผู้นำด้านบริการที่ปรึกษาและมีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมการลงทุนทั่วโลกได้เป็นอย่างดี

สรุปแนะนำการลงทุนในครึ่งปีหลัง จากงานสัมมนา TISCO Wealth Investment Forum

แนะนำ Overweight ในตลาดต่อไปนี้

ประเทศ

สินทรัพย์ที่แนะนำลงทุน

ความน่าสนใจ

กองทุนที่แนะนำ

ETF ที่แนะนำ

1. ญี่ปุ่น

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น 

  • Upsideระยะยาวจากนโยบายปฏิรูปภาษีการกระ      ตุ้นการบริโภคและการทำQQE2
  • การเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นของGPIF จะช่วยผลักดันตลาดหุ้น
  • เศรษฐกิจส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและค่าเงินมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง
  • Valuation ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศพัฒนาแล้ว และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ดี
  • BoJ เพิ่มปริมาณการซื้อ J-REITsเป็น 9 หมื่นล้านเยน ต่อปี จาก 3 หมื่นล้านเยน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 3เท่า
  • อาคารสำนักงานในโตเกียวมีสัญญาณที่ปรับตัวดีขึ้นชัดเจน ดังสะท้อนจากค่าเช่าอาคารปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยเพิ่มขึ้นกว่า5% ในเดือน ธ.ค. 57
  • อัตราเงินปันผลของJ-REITs ที่อยู่ในระดับสูงที่ราว 3%เมื่อเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ที่ราว0.3%
  • ธนาคารกลางจีนเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • ความคืบหน้าในการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนและแนวโน้มการผ่อนคลายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยยกระดับValuationของตลาดหุ้นจีน
  • Valuation ถูกP/E เพียง 8เท่า
  • ความสำเร็จของโครงการShanghai – Hong Kong Stock Connect จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องของตลาดหุ้นจีน
  • ตลาดหุ้นเยอรมัน มีการเติบโตของกำไรสูงตามเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพสูง อัตราการว่างงานต่ำ
  • Valuation ถูกที่สุดในยุโรป(P/E อยู่ที่ 15เท่า เทียบกับ16 เท่า สำหรับSTOXX600) 

กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้

Nomura NIKKEI 225

อสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่น(J-REITs)

 

กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน รีท 

-

2. จีน

ตลาดหุ้นจีน

 

กองทุนเปิด ทิสโก้  ไชน่า H-Shareอิควิตี้

Hang Seng H-Share ETF & ETF Tracker Fund of Hong Kong

3.เยอรมัน

ตลาดหุ้นเยอรมัน

 

กองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้

iShares MSCI Germany

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!