- Details
- Category: บลจ.
- Published: Tuesday, 10 June 2014 21:59
- Hits: 3320
บลจ. กสิกรไทย คาด กนง.คง ดบ.ถึงสิ้นปี สบโอกาสเสนอขายกองทุนบอนด์ 3-6 เดือน ชูโอกาสรับผลตอบแทนสูงสุด 2.60% ต่อปี
บลจ.กสิกรไทยคาด กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวต่อเนื่องถึงสิ้นปี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แนะผู้ลงทุนพักเงินกับกองทุนเทอมฟันด์ อายุโครงการ 3-6 เดือน ชูโอกาสรับผลตอบแทนสูง 2.40% - 2.60% ต่อปี และให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากประจำ พร้อมเสนอขาย 10 - 16 มิ.ย นี้
นางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ในวันที่ 10-16 มิถุนายน 2557 บลจ.กสิกรไทย จะเสนอขายกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน วาย (KEFF6MY) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.60% ต่อปี กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน ซีบี (KFI6MCB) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.50% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน อีจี (KFI3MEG) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.40% ต่อปี โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี
ด้านสถานการณ์และมุมมองการลงทุน นางสาวยุพาวดีเปิดเผยว่า “สำนักวิจัยเศรษฐกิจต่างๆ ในประเทศ ได้เริ่มปรับมุมมองอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีมุมมองในเชิงบวกจากการคาดการณ์การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รวมถึงความสามารถในการควบคุมสถานการณ์การชุมนุมได้ดีขึ้น จึงช่วยลดความกังวลในสถานการณ์ทางการเมืองลงไปได้ อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องจับตามองต่อไปคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของคสช. ว่าจะมีแนวโน้มไปในทิศทางใด ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยคาดว่าจากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.00% และคาดว่าจะยังทรงตัวต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวต่อไป ในขณะนี้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลงในช่วงต้นสัปดาห์ ก่อนที่จะกลับมาทรงตัวอีกครั้ง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติได้หันกลับเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยอีกครั้ง หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่เริ่มดีขึ้น รวมถึงกรณีที่ทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมา จึงอาจทำให้ผลตอบแทนของตราสารหนี้มีโอกาสแกว่งตัวได้ในช่วงระยะสั้น ดังนั้นจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในระยะสั้น หรือควรลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทย ได้เสนอทางเลือกให้กับนักลงทุน โดยสามารถเลือกพักเงินกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการแน่นอน เพื่อล็อกผลตอบแทนที่น่าสนใจและสามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำในปัจจุบัน โดยแนะนำให้ลงทุนกับกองทุนที่มีอายุโครงการตั้งแต่ 3-6 เดือนขึ้นไป”นางสาวยุพาวดีกล่าว
นางสาวยุพาวดี กล่าวต่อไปว่า สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน วาย (KEFF6MY) จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China ร่วมด้วยตราสารหนี้ Isbank, ประเทศตุรกี ตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง และตราสารหนี้ Agricultural Bank of China โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว บลจ.กสิกรไทย ขอแนะนำกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน ซีบี (KFI6MCB) และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน อีจี (KFI3MEG) โดยกองทุน KFI6MCB เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China และตราสารหนี้ Agricultural Bank of China นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ด้านกองทุน KFI3MEG เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation และเงินฝาก Bank of China ด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท