- Details
- Category: บลจ.
- Published: Monday, 02 March 2015 21:11
- Hits: 1727
บลจ.ยูโอบี ตั้งเป้า AUM ปีนี้เติบโต 10% แตะ 3 แสนลบ.เตรียมออก 30-40 กองทุน
บลจ.ยูโอบี ตั้งเป้าAUM ปีนี้เติบโต10% แตะ 3แสนลบ.เตรียมออก30-40กองทุน เผยกลยุทธ์การลงทุนปีนี้ แนะลงทุนในสหรัฐ-ญี่ปุ่น-ยุโรป เน้นจัดพอร์ตในประเทศ 50% ต่างประเทศ 50% มองดัชนีฯปีนี้มีแนวต้าน 1,650จุดบนพื้นฐาน GDPโต 3.5-4% กำไรบจ.โต 10-12%
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ UOB เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (AUM)ปีนี้เติบโต 10% หรือ แตะ 300,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ 267,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้จะมุ่งเน้นการเข้าใจในวัตถุประสงค์การลงทุนของนักลงทุนแต่ละกลุ่ม และสรรหาผลิตภัณฑ์การลงทุนให้ตรงตามความต้องการของผู้ลงทุน และจะเน้นการสร้างผลตอบแทนกองทุนให้ดีมากขึ้น ประกอบกับพัฒนาระบบและขั้นตอนให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ส่วนปีนี้จะออกกองทุนราว 30-40 กองทุน แบ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ (Term Fund) ประมาณ20 กองทุน และกองทุนใหม่อีกประมาณ 10-15 กองทุน มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท
"การขยายธุรกิจในปีนี้นอกจากจะรักษากลุ่มลูกค้าเดิมแล้ว ในส่วนของการออกกองทุนรวมจะมีการออกกองใหม่ทั้งกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในปีนี้จะเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก หลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารกองทุนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพการบินไทย มูลค่าเริ่มต้น 12,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนการเติบโตในปีนี้ให้เป็นไปตามเป้า "นายวนา กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการออกกลยุทธ์ทางการตลาด โดยจะเน้นการขยายธุรกิจไปยังกลุ่มลูกค้าสถาบัน ประกอบด้วยตัวแทนขายใหม่ และลูกค้าโดยตรง ทั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนส่วนบุคคล พร้อมไปกับการรักษาฐานลูกค้าเดิม รวมไปถึงการหาพันธมิตรเพิ่ม เพื่อก้าวขึ้นเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่มีเครือข่ายขยายไปทั่วโลก ซึ่งปัจจุบัน UOB มีสำนักงานอยู่ 7ประเทศในภูมิภาคแล้ว
นางสาว ศิริพรรณ สุทธาโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ UOB เปิดเผยว่า กลยุทธ์ในการลงทุนปีนี้ ยังคงมีมุมมองบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งจะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพ(Healthcare)โดยเน้นการลงทุนในระยะยาว ซึ่งที่ผ่านมาเศรษฐกิจในสหรัฐฯ มีการฟื้นตัวอย่างชัดเจนจะเห็นได้จากที่ผ่านมาตลาดการจ้างงาน และการผลิตปรับตัวดีขึ้น ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้กว่า 3% ไปจนถึงปีหน้า
ในส่วนยุโรปนั้น มีมุมมองเชิงบวกในระยะสั้นต่อการลงทุน ซึ่งเศรษฐกิจโดยรวมยังคงชะงักงัน อีกทั้งยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงหลังจากภาวะเงินเฟ้อต่ำเป็นเวลานาน
ด้านประเทศญี่ปุ่น ยังคงแนะนำลงทุนต่อเนื่อง ผลจากเศรษฐกิจที่เริ่มส่งสัญญาณขยายตัวดีขึ้น และเป็นการเติบโตแบบมีเสถียรภาพ อีกทั้งการอ่อนค่าของเงินเยนยังคงเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น ส่วนภาวะการเงินมีแนวโน้มผ่อนคลายต่อเนื่องไปอีกหลายปีข้างหน้า หลังจากที่ผ่านมาญี่ปุ่นมีการปรับขึ้นภาษี ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย รัฐบาลจึงตัดสินใจเลื่อนการปรับขึ้นภาษีรอบที่ 2 ออกไปอีก 18 เดือน จากกำหนดเดิม ต.ค.58 ประกอบกับนโยบายการปรับโครงสร้างต่างๆ ยังมีอยู่
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นมีการประกาศชัดเจนว่าอยากให้เงินเฟ้อกลับขึ้นไปที่ 2% ซึ่งสร้างการตื่นตัวของภาคเอกชนที่จะเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันลูกจ้าง ก็จะมีระดับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ในส่วนหุ้นไทยนั้น ยังคงแนะนำให้ลงทุน โดยคาดการณ์ GDP ปีนี้จะเติบโตได้ 3.5-4% จากปีก่อนที่โต0.7% โดยปัจจัยที่สนับสนุนหลัก คือการใช้จ่ายภาครัฐ ในเรื่องของแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยในระยะสั้นที่จะมีการลงทุนได้ก่อน น่าจะเป็นโครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟฟ้า 10สายในเขตกรุงเทพฯ รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญต่อไป นอกจากนี้ได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันที่ลดลงอีกด้วย
"โดยภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะมาจากทางด้านสหรัฐฯเป็นหลัก ส่วนประเทศไทย ก็มีการเติบโตอยู่ให้รอดูการใช้จ่ายภาครัฐเชื่อว่าจะทยอยเกิดขึ้น ซึ่งการเติบโตนี้จะเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักต่อการลงทุนในหุ้นไทยโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอุปโภคบริโภคและกลุ่มธุรกิจก่อสร้าง" นางสาว ศิริพรรณ กล่าว
โดยการจัดพอร์ตลงทุนบริษัทฯ ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในประเทศ 50% และต่างประเทศ 50% โดยในประเทศให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย 60% และอีก 40% จะเป็นตราสารหนี้ ส่วนต่างประเทศจะเน้นการลงทุนในหุ้นเป็นหลัก ซึ่งในสหรัฐฯ จะเป็นการลงทุนแบบ Sector Fund ,ยุโรป จะลงทุนเฉพาะกลุ่ม Eurozone และในหุ้นญี่ปุ่น ส่วนอินเดียและจีน จะใช้กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น ผลตอบแทนคาดการณ์จะอยู่ระหว่าง 3-10% ขึ้นอยู่กับลูกค้าจะรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากน้อยเพียงใด
"การลงทุนในหุ้นต่างประเทศ หากเลือก 3 อันดับที่น่าสนใจ มองอันดับหนึ่งเป็นประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี ซึ่งเศรษฐกิจเป็นการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ รองลงมาคือสหรัฐฯ และเอเชีย สนใจประเทศอินเดียกับจีน โดยจีนน่าจะมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ 7%"นางสาว ศิริพรรณ กล่าว
ทั้งนี้ มองดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ มีแนวต้านที่ 1,650 จุด แนวรับที่ 1,550 จุด เป็นผลจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐบาล ที่เป็นตัวสนับสนุนต่อเศรษฐกิจไทย(GDP) ให้เติบโตได้ในระดับ 3.5-4% และจะส่งผลต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตได้ 10-12%
ด้านกลยุทธ์ในการลงทุนปีนี้เน้นลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายของภาครัฐ อาทิ หุ้นกลุ่มโทรคมนาคม กลุ่มก่อสร้าง กลุ่มพลังงานทดแทน
"การเลือกหุ้นมีความสำคัญมาก ต้องมองหุ้นที่มีโอกาสเติบโตและสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยแนวโน้มในปีนี้มองว่าจะมาจากหุ้นที่ขนาดไม่ใหญ่ "นางสาว ศิริพรรณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม มองตลาดหุ้นไทยปีนี้คาดว่าจะมีความผันผวน ผลจากการที่สหรัฐฯ อาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 3 นี้ ทำให้นักลงทุนมีการระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น
นอกจากนี้ คาดว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.ที่จะเกิดขึ้นในครั้งที่จะถึงนี้ คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้อยู่ในระดับเดิมที่ 2% และหากจะมีการปรับขึ้น คาดว่าจะเป็นการปรับขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับทางสหรัฐฯ
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย