- Details
- Category: บลจ.
- Published: Thursday, 13 November 2014 20:23
- Hits: 2314
บลจ.กสิกรไทย บริหารกองทุน FIF ผ่านฉลุย พร้อมจ่ายปันผล 4 กองทุน รวมมูลค่ากว่า 250 ล้านบาท
นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ. กสิกรไทย มีกำหนดจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมพร้อมกัน 4 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเค อินเดีย หุ้นทุน (K-INDIA) ครั้งที่ 3 สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2557 ในอัตรา 0.75 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) ครั้งที่ 6 สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2557 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย กองทุนเปิดเค ยูโรเปียน หุ้นทุน (K-EUROPE) ครั้งที่ 3 สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2557 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2557 ในอัตรา 0.10 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดเค โกลบอล อีเมอร์จิ้ง มาร์เก็ต ออพพอร์ทูนนิตี้ (K-GEMO) มีมติจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 3 สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2557 ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย โดยกำหนดจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อในสมุดทะเบียนเวลา 08.00 น. ของวันที่ 31 ตุลาคม 2557 กำหนดจ่ายปันผลพร้อมกันในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2557 รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 250 ล้านบาท
นายนาวิน กล่าวว่า สำหรับภาพรวมของผลการดำเนินงานของกองทุนรวมต่างประเทศทั้ง 4 กองทุน ส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งกองทุนที่โดดเด่นและน่าจับตามองมากที่สุด คือ กองทุน K-INDIA ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน UTI India Fund – 1986 share ภายใต้การบริหารของ UTI International ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่มีทีมผู้จัดการกองทุน และนักวิเคราะห์ประจำอยู่ในอินเดีย จึงทำให้มีความชำนาญในการลงทุนในตลาดหุ้นของอินเดีย ซึ่งผลการดำเนินงานของกองทุน K-INDIA ตั้งแต่ต้นปี จนถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2557) เท่ากับ 40.53% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 35.03% โดยภาพรวมของเศรษฐกิจอินเดียในปัจจุบันนับว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายการบริหารจัดการของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอินเดีย ที่ได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว อาทิ การเพิ่มวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมาตรการเหล่านี้ยังส่งผลดีต่อเนื่องกับตลาดหุ้นของอินเดียด้วย สำหรับในด้านกองทุน K-USA นับว่าเป็นอีกกองทุนที่น่าสนใจ ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องของนโยบายการลงทุนและกลยุทธ์การบริหารแบบ Active Approach มุ่งลงทุนในหุ้นบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่มีโอกาสเติบโตสูงและมีผลประกอบการโดดเด่นทั่วโลก อาทิ Apple Motorola Google Amazon eBay Starbucks ซึ่งล้วนเป็นบริษัทที่ทำรายได้ทั้งในสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้ กองทุนเน้นการลงทุนในระยะยาวมากกว่าการกังวลกับความผันผวนของตลาดในระยะสั้น ซึ่งภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในขณะนี้นับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากสัญญาณบวกจากตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวที่ออกมาดีเกินคาด อาทิ ตัวเลขอัตราการว่างงานของสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ 5.9% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 6 ปี นอกจากนั้น การที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ได้ยุติมาตรการ QE ก็นับว่าเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ถึงภาวะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกัน
นายนาวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในด้านเศรษฐกิจยุโรปนั้น บลจ.กสิกรไทย ยังคงมีความเชื่อมั่นต่อพัฒนาการของตลาดหุ้นยุโรป แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะมีการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ด้วยมาตรการต่างๆ ที่ทางธนาคารกลางยุโรปนำมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเช่นการเข้าซื้อพันธบัตรที่มีสินทรัพย์คุณภาพค้ำประกัน (Covered Bond) หรือการซื้อหลักทรัพย์ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน (ABS) น่าจะเป็นปัจจัยที่จะช่วยพยุงภาวะเศรษฐกิจยุโรปให้มีเสถียรภาพเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการเข้าไปลงทุนเพิ่มเติมในตลาดหุ้นยุโรป โดยกองทุน K-EUROPE ของ บลจ.กสิกรไทย มีการลงทุนผ่านกองทุนหลัก คือ Allianz Europe Equity Growth Class AT-EUR ซึ่งบริหารจัดการโดย Allianz Global Investor บริษัทในเครือ Allianz กลุ่มธุรกิจบริหารสินทรัพย์อันดับ 3 ของโลก เน้นลงทุนในหุ้นจดทะเบียนของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป โดยมีนโยบายคัดเลือกหุ้น ซึ่งพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่จะลงทุนเป็นหลัก เน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีในภูมิภาคยุโรปที่มีแนวโน้ม และศักยภาพการเติบโตสูง (Growth Stock) โดยหุ้นส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติ ซึ่งยังคงสามารถมีผลการดำเนินงานที่เติบโตได้
แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจยุโรปมีการชะลอตัว สุดท้ายสำหรับในด้านของกองทุน K-GEMO ซึ่งเป็นกองทุนผสมที่เน้นลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ในประเทศตลาดเกิดใหม่(Emerging Market) อาทิ ประเทศจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน รัสเซีย อินโดนีเซีย ตุรกี บริหารจัดการโดย Schroder Investment Management (Luxemburg) S.A. บริษัทจัดการ กองทุนชั้นนำของโลก ซึ่งในด้านภาพรวมของตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ยังคงน่าสนใจ เพราะได้รับอานิสงส์จากนโยบายผ่อนคลายการเงิน ทั้งจากยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นโลกมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน K-INDIA กองทุน K-USA กองทุน K-EUROPE และกองทุน K-GEMO สามารถลงทุนได้ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888