- Details
- Category: บลจ.
- Published: Monday, 20 October 2014 20:30
- Hits: 2263
TMBAM เปิดตัวกองทุนน้องใหม่เน้นลงทุนหุ้นภูมิภาคเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) กำหนด IPO 20-29 ตุลาคมนี้
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด (TMBAM) เปิดเผยว่า “ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2557 นี้ คาดการณ์ว่าทิศทางกระแสเงินลงทุนโลกจะเริ่มกลับมาให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียมากขึ้น นับเป็นจังหวะที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในหุ้นภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) โดยเฉพาะระดับราคาที่ยังเหมาะสมและน่าสนใจกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ขณะที่ปัจจัยแวดล้อมทั้งภายในภายนอกภูมิภาคช่วยสนับสนุน ทางบริษัทฯจึงกำหนดเปิดเสนอขาย 2 กองทุนน้องใหม่ที่เน้นลงทุนในหุ้นภูมิภาคเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) คือ กองทุนเปิดทหารไทย Asian Growth Leaders Trigger 8 และกองทุนเปิดทหารไทย Asian Growth Leaders ในระหว่างวันที่ 20-29 ตุลาคม ศกนี้
ทั้งนี้ ทั้งสองกองทุนจะนำเงินเข้าไปลงทุนในกองทุนกองทุนหลักคือ BGF Asian Growth Leaders Fund ซึ่งมีจุดเด่นคือ การบริหารงานแบบ Active โดย BlackRock , Inc. บริษัทจัดการลงทุนมืออาชีพที่มีพอร์ตกองทุนภายใต้การบริหารงานที่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยกองทุนหลักมีผลการดำเนินงานย้อนหลังที่โดดเด่นไม่ว่าจะดูย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีหรือ YTD อยู่ที่ 7.5% หรือ1ปีสร้างผลตอบแทนที่ 14.6% หรือนับแต่การจัดตั้งกองทุนครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2555 ก็สามารถสร้างผลตอบแทนสะสมได้ประมาณ 39.7% (กองทุนใช้ดัชนี MSCI Asia ex-Japan เป็นเกณฑ์มาตรฐาน และข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2557)
สำหรับ เทคนิคในการบริหารกองทุนหลักนั้น ผู้จัดการกองทุนจะมีอิสระในการคัดเลือกหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เอเชีย หรือมีธุรกิจในเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) จำนวนประมาณ 30-60 ตัวโดยไม่จำเป็นต้องมีสัดส่วนลงทุนตามดัชนีอ้างอิง เน้นลงทุนในหุ้นโดยพิจารณาจากมูลค่า (valuation) เป็นหลัก โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางของบริษัทที่อยู่ในธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของเอเชียที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป เช่น การเติบโตและความมั่งคั่งที่เพิ่มพูนขึ้นของกำลังซื้อในชนชั้นกลาง หรือบริษัทที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
“ในการลงทุนในหุ้นต่างประเทศสิ่งหนึ่งที่ผู้ลงทุนมักจะไม่แน่ใจคือช่วงเวลาที่ควรเข้าไปลงทุน ซึ่งเรามีความเชื่อมั่นว่าขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนหุ้นในกลุ่มประเทศเอเชีย เพราะนอกจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกภูมิภาคได้เอื้อและสนับสนุนแล้ว ในมุมมองของ Valuation ก็ตอบโจทย์
สำหรับ ปัจจัยภายในนั้น นอกจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีและมีเสถียรภาพมากขึ้นของประเทศในภูมิภาคเอเชียแล้ว ประเทศชั้นนำ อาทิ จีน เกาหลีใต้ ภาครัฐก็ได้ออกมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว ประเทศอย่างอินเดีย อินโดนีเซีย และไทยเราเองนั้นทั้งภาครัฐและเอกชนได้เน้นและเพิ่มการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ด้านระบบคมนาคมขนส่ง ชลประทาน สื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการเติบโตทางทางเศรษฐกิจและความยั่งยืนในระยะยาว นอกจากนั้นมาตรการปฏิรูปทางสังคม การต่อต้านคอรัปชั่นก็มีการดำเนินการอย่างจริงจังในหลายๆประเทศ ในปัจจัยนอกภูมิภาคนั้น การที่เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาเริ่มฟื้นตัวจะส่งผลดีต่อระเทศในเอเชียในฐานะคู่ค้าส่งออกที่สำคัญ นอกจากนั้น พบว่ากระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) ได้เริ่มกลับมาที่เอเชียมากขึ้นกว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ในมุมมองของ Valuation หรือมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆโดยพิจารณาจากดัชนี MSCI AC Asia Ex. Japan นั้น ทั้งระดับราคาเมื่อเทียบกับผลประกอบการ และราคาเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีซึ่งสะท้อนได้จากดัชนี Forward P/E ปี 2015 ที่ 10.89 เท่า หรือ P/B ที่ 1.42 เท่าและด้านโครงสร้างการเงินซึ่งสะท้อนจากดัชนีหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ 0.94 เท่า ถือได้ว่าทั้งหมดอยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น (ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 14 ตุลาคม 2557) เราจึงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ในช่วงเวลานี้” ดร.สมจินต์ให้ข้อมูลเพิ่มเติม
สำหรับ ผู้ที่สนใจลงทุนใน กองทุนเปิดทหารไทย Asian Growth Leaders และ กองทุนเปิดทหารไทย Asian growth Leaders Trigger 8 นั้น ทั้งสองกองทุนมีกองทุนหลัก (Master Fund) เดียวกันแต่รูปแบบกองทุนต่างกัน โดยกองทุนรูปแบบทริกเกอร์ กรณีที่มูลค่าหน่วยลงทุนเติบโตขึ้นประมาณ 8% ภายใน 1 ปีจะถือเป็นเป้าหมายเลิกโครงการกองทุน นอกจากนั้น จะมีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติระหว่างทางเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเติบโตขึ้นประมาณ 4% สำหรับเงื่อนไขดังกล่าวโดยละเอียด สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือชี้ชวนหรือสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนลูกค้าสัมพันธ์ TMBAM โทร 1725 หรือผ่านช่องทางการขายของบริษัท ได้แก่ TMB ทุกสาขาทั่วประเทศ ตัวแทนการสนับสนุนการขาย และทางอินเตอร์เนต ผ่านเวปไซด์ www.tmbam.com
บลจ.ทหารไทย คาดสิ้นปี 57 AUM แตะ 2 แสนลบ.จาก 1.6 แสนลบ.สิ้นปี 56
บลจ.ทหารไทย คาดว่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร(AUM)สิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นแตะ 2 แสนล้านบาท จากสิ้นปี 56 อยู่ที่ 1.6 แสนล้านบาท ซึ่งในช่วงจากนี้จะมีการออกกองทุนใหม่เพิ่มอีก 2 กอง ขณะที่มองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้มีโอกาสฟื้นกลับไปแตะระดับ 1,600 จุด เนื่องจากมีเม็ดเงินลงทุนจากองทุน LTF และ RMF เข้ามาหนุน แต่ตลาดยังมีความผันผวน จึงแนะนำให้เน้นการลงทุนระยะยาวในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนมั่นคง
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย (TMBAM) เปิดเผยว่า ล่าสุด บลจ.ทหารไทย ได้มีการเปิดเสนอขายกองทุนใหม่ 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดทหารไทย Asian Growth Leader Trigger 8 ซึ่งเป็นกองทุนแบบทริกเกอร์ มีเป้าหมายผลตอบแทน 8% ใน 1 ปี และกองทุนเปิดทหารไทย Asian Growth Leader ซึ่งจะเน้นลงทุนหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ยกเว้นในประเทศญี่ปุ่น โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีมูลค่ารวม 4 พันล้านบาท ซึ่งจะเน้นลงทุนหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ยกเว้นลงทุนในญี่ปุ่นเพราะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว โดยจะนำเงินเข้าไปลงทุนในกองทุนหลักคือ BGF Asian Growth Leaders Fund ที่มีการบริหารโดย BlackRock ซึ่งเป็นบริษัทจัดการลงทุนมืออาชีพที่มีพอร์ตกองทุนภายใต้บริหารงานขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีกำหนดเปิดจองวันที่ 20-29 ต.ค.นี้
นอกจากนี้ มองภาพการลงทุนในภูมิภาคเอเชียถือว่าน่าลงทุน จะเห็นได้จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของแต่ละประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น จีน นำเนินการให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทได้มากขึ้น,การลดภาษีให้กับ SME ,มีการลงทุนสร้างทางรถไฟเพิ่ม เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและพัฒนาประเทศในระยะยาว ประเทศเกาหลีใต้ ประกาศมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจราว 41 ล้านล้านวอน เพื่อแก้ปัญหาความยากจนและส่งเสริมการจ้างงาน และการลงทุน
ส่วนประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย และไทย ทั้งภาครัฐและเอกชนได้เน้นและเพิ่มการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ด้านระบบคมนาคมขนส่ง ชลประทาน สื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการเติบโตทางทางเศรษฐกิจและความยั่งยืนในระยะยาว อีกทั้งมาตรการปฏิรูปทางสังคม การต่อต้านคอร์รัปชั่นก็มีการดำเนินการอย่างจริงจังในหลายๆประเทศ ขณะที่ปัจจัยนอกภูมิภาค การที่เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวจะส่งผลดีต่อระเทศในเอเชียในฐานะคู่ค้าส่งออกที่สำคัญ โดยพบว่ากระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) ได้เริ่มกลับมาที่เอเชียมากขึ้นกว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ด้านมุมมองของ Valuation หรือมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ โดยพิจารณาจากดัชนี MSCI AC Asia Ex. Japan นั้น ทั้งระดับราคาเมื่อเทียบกับผลประกอบการ และราคาเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีซึ่งสะท้อนได้จากดัชนี Forward P/E ปี 2015 ที่ 10.89 เท่า หรือ P/B ที่ 1.42 เท่าและด้านโครงสร้างการเงินซึ่งสะท้อนจากดัชนีหนี้สินต่อทุน(D/E) ที่ 0.94 เท่า ถือได้ว่าทั้งหมดอยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น จึงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ในช่วงเวลานี้
นายสมจินต์ กล่าวอีกว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสขยับไปแตะที่ระดับ 1,600 จุดในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากจะมีแรงซื้อใน LTF และ RMF เข้ามา แต่ยังคงมองว่าภาวะตลาดหุ้นไทยขณะนี้ยังคงผันผวน เนื่องจากได้มีการปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องมาถึง 3 ไตรมาส โดยให้ผลตอบแทนไปแล้วกว่า 20% ทำให้มี Upside จำกัด และอาจมีแรงขายทำกำไรออกมาเป็นระยะ
ปัจจัยที่ต้องจับตาหลังจากนี้คือ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ปลายเดือน ต.ค.57 ว่าจะยุติ QE และมีทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างไร หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนปัจจัยในประเทศก็กลับมามีสัญญาณบวกชัดเจนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ซึ่งคงต้องติดตามว่าจะมีผลต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน การส่งออกและการบริโภคในประเทศมากน้อยเพียงใด หลังจากความเชื่อมั่นทางเศรษฐกลับมาดีขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้จัดพอร์ตการลงทุน เน้นกระจายความเสี่ยง หากลงทุนในตลาดหุ้นควรเป็นการลงทุนระยะยาว 5-10 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สามารถรับความผันผวนของเศรษฐกิจได้
อินโฟเควสท์