- Details
- Category: บลจ.
- Published: Tuesday, 24 April 2018 10:10
- Hits: 2004
กองทุน DIF โชว์ศักยภาพทรัพย์สินที่ลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 3 หนุนประมาณการเงินปันผลต่อหน่วยเพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 1.04 บาท เตรียมเปิดให้จองซื้อช่วงต้นเดือนพฤษภาคมนี้
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล (กองทุน DIF) โชว์ศักยภาพทรัพย์สินที่ลงทุนเพิ่มเติมในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมครั้งที่ 3 เตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนใหม่ไม่เกิน 3,831 ล้านหน่วย ระดมทุนนำมาใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับความต้องการใช้งานสมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ตและบรอดแบนด์ที่กำลังขยายตัว มั่นใจในศักยภาพทรัพย์สินที่ลงทุนเพิ่มเติมจะส่งผลดีต่อการขยายพื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น หนุนประมาณการเงินปันผลต่อหน่วยหรือ DPU (ตั้งแต่ 1 ก.ค. 2561 – 30 มิ.ย. 2562) เพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 1.04 บาทต่อหน่วย เทียบกับปี 2560 (ม.ค.-ธ.ค.) ที่ให้อัตราเงินปันผลต่อหน่วยอยู่ที่ 0.98 บาทต่อหน่วย พร้อมเคาะช่วงราคาเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมที่ 13.60 - 13.90 บาทต่อหน่วย เตรียมเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมที่มีสิทธิจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่ในวันที่ 2 - 8 พ.ค. นี้ (เฉพาะวันทำการ) และเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อในวันที่ 2 - 11 พ.ค. นี้ (เฉพาะวันทำการ)
นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ Digital Telecommunications Infrastructure Fund (DIF) เปิดเผยว่า กองทุน DIF ซึ่งเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่จัดตั้งขึ้นเป็นรายแรกและเป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จะลงทุนเพิ่มเติมในทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมมูลค่ารวมประมาณไม่เกิน 55,236 ล้านบาท โดยจะระดมทุนจากการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนใหม่จำนวนรวมไม่เกิน 3,831 ล้านหน่วย โดยมีมูลค่ารวมของหน่วยลงทุนที่เสนอขายทั้งหมดไม่เกินประมาณ 53,236 ล้านบาท และกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ลงทุนในทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ที่ได้รับมติจากที่ประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุน DIF ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งจะระดมเงินมาลงทุนในทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้แก่ประเทศ รองรับความต้องการใช้งานสมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ตและระบบบรอดแบนด์ ที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนมาใช้ระบบ 4G LTE และการติดตั้งระบบ 5G ในอนาคต ตลอดจนร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลสมบูรณ์แบบ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่มุ่งพัฒนาประเทศไทยสู่ไทยแลนด์ 4.0 และระบบเศรษฐกิจแบบดิจิทัล
การลงทุนในทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพิ่มเติมครั้งที่ 3 จะทำให้กองทุน DIF มีขนาดทรัพย์สินที่ใหญ่ขึ้นและสามารถขยายการให้บริการในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้กองทุน DIF มีทรัพย์สินที่จะสามารถสร้างรายได้จากการให้เช่าเสาโทรคมนาคมและใยแก้วนำแสงเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน กองทุน DIF จะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยในปี 2560 - 2565 คาดว่า จำนวนผู้ใช้บริการระบบ 4G จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 14 ต่อปี ซึ่งจะส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการระบบ 4G สูงถึงร้อยละ 76 ในปี 2565 (ตามรายงานของ Analysys Mason) ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการความต้องการเช่าเสาโทรคมนาคมและใยแก้วนำแสงที่เพิ่มขึ้นจากการที่มีผู้เช่ารายอื่น
นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สาย Primary Distribution ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน Sole Global Coordinator และผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุนในประเทศ กล่าวว่า กองทุน DIF จะลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ในทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมจากกลุ่มทรู ได้แก่ 1. กรรมสิทธิ์ในเสาโทรคมนาคมสำหรับให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประมาณ 2,589 เสา 2. กรรมสิทธิ์ในใยแก้วนำแสง (Fiber Optic Cable หรือ FOC) สำหรับให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ อินเทอร์เน็ตและบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตรวมประมาณ 590,305 คอร์กิโลเมตร และ 3. สิทธิการเช่าระยะยาวประมาณ 30 ปีในใยแก้วนำแสงสำหรับให้บริการอินเทอร์เน็ตประมาณ 619,986 คอร์กิโลเมตร รวมทั้งสิทธิการซื้อ (Call Option) ใยแก้วนำแสงดังกล่าว โดยมีราคาใช้สิทธิสำหรับซื้อกรรมสิทธิ์ในใยแก้วนำแสง 1,300 ล้านบาท
โดยล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้พิจารณาอนุมัติการเสนอขายหน่วยลงทุนเป็นที่เรียบร้อย จึงได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นของหน่วยลงทุนใหม่ที่ 13.60 - 13.90 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะเสนอขายให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน (Record Date) เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 ตามสัดส่วนการถือหน่วยลงทุน (Preferential Public Offering) และจะเสนอขายต่อนักลงทุนทั่วไปโดยในส่วนที่เป็นนักลงทุนรายย่อยจะมีการจัดสรรโดยวิธี Small Lot First
ทั้งนี้ นับจากจัดตั้งกองทุนเป็นต้นมา กองทุน DIF มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นมาตลอด โดยในปี 2557 - 2560 ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลต่อหน่วยลงทุน (DPU) ที่ประมาณ 0.94 0.95 0.96 และ 0.98 บาทต่อหน่วย ตามลำดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี สอดคล้องกับมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ที่มีแนวโน้มเติบโตด้วยเช่นเดียวกันโดยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ ณ สิ้นปี 2556 – 2560 อยู่ที่ 10.0471 12.4161 12.3241 14.6191 และ 15.5630 บาทต่อหน่วย ตามลำดับ
นายเอกภพ เมฆกัลจาย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีม Markets Sales and Product Solutions สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุนในประเทศ กล่าวว่า หลังการลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 3 แล้วเสร็จ กองทุน DIF จะมีทรัพย์สินประกอบด้วย กรรมสิทธิ์และสิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้สุทธิในเสาโทรคมนาคม 15,271 เสา กรรมสิทธิ์ สิทธิการเช่าระยะยาว และสิทธิการรับประโยชน์จากรายได้สุทธิในใยแก้วนำแสงประมาณ 2.6 ล้านคอร์กิโลเมตร และกรรมสิทธิ์ในระบบบรอดแบนด์ในเขตพื้นที่ต่างจังหวัด 1.2 ล้านพอร์ต ซึ่งจะเพิ่มความหลากหลายของทรัพย์สินและรองรับการใช้งานครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศมากยิ่งขึ้น และยังส่งผลให้ทรัพย์สินของกองทุน DIF มีอายุสัญญาเช่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักยาวนานขึ้น โดยจะมีอายุสัญญาเช่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักประมาณ 20 ปี ส่งผลให้สามารถรับรู้รายได้ภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว ซึ่งจะเป็นพื้นฐานให้กองทุน DIF สามารถจัดสรรผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้ในระยะยาว
ทั้งนี้ หลังจากที่กองทุน DIF ลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 3 แล้ว เชื่อว่าจะไม่เกิด Earning Dilution Effect ที่จะส่งผลกระทบต่ออัตราเงินปันผลต่อหน่วยลงทุนที่ลดลง เนื่องจากกองทุน DIF ลงทุนในทรัพย์สินที่สามารถนำไปจัดหาผลประโยชน์โดยการปล่อยเช่าให้ผู้ประกอบการโทรคมนาคมเพื่อสร้างรายได้ให้กองทุน DIF ได้ทันที ซึ่งจากประมาณการเงินปันผลต่อหน่วยลงทุน (ตั้งแต่ 1 ก.ค. 2561 – 30 มิ.ย. 2562) จะเพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 1.04 บาทต่อหน่วย เทียบกับเงินปันผลต่อหน่วยลงทุนในปี 2560 (ม.ค.-ธ.ค.) ซึ่งอยู่ที่ 0.98 บาทต่อหน่วย โดยจะส่งผลดีต่อผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอีกด้วย
นายประเสริฐ ดีจงกิจ SVP ผู้จัดการ ฝ่ายทุนธนกิจ สายวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุนในประเทศ กล่าวว่า การเพิ่มทุนจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้แก่กองทุน DIF จากการมีทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่หลากหลายและครอบคลุมการให้บริการด้านโทรคมนาคมแก่ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับภาพรวมอุตสาหกรรมการสื่อสารและโทรคมนาคมที่มีแนวโน้มขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้แก่กองทุน DIF มากยิ่งขึ้น
ล่าสุด กองทุน DIF จะมีการจัดโรดโชว์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่นักลงทุนรายย่อยในวันที่ 24 เมษายน 2561 เวลา 13.00 – 16.30 น. ณ หอประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ชั้น 3 อาคาร B ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก่อนจะเปิดเสนอขายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมที่มีสิทธิจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่ระหว่างวันที่ 2 - 8 พฤษภาคมนี้ และจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อระหว่างวันที่ 2 - 11 พฤษภาคมนี้ (เฉพาะวันทำการ) ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ยกเว้นสาขาไมโครและธนาคารกรุงไทย (KTB) ทุกสาขาทั่วประเทศ
สำหรับ ผู้จองซื้อทั่วไปจะต้องชำระค่าจองซื้อหน่วยลงทุนที่ราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น คือที่ราคา 13.90 บาทต่อหน่วย ส่วนราคาเสนอขายสุดท้ายจะถูกกำหนดหลังจากสำรวจความต้องการจองซื้อของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งคาดว่าจะประกาศได้อย่างช้าในวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 ทั้งนี้ หากราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่า 13.90 บาทต่อหน่วย หรือหากไม่ได้รับการจัดสรรหน่วยลงทุนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน นักลงทุนจะได้รับเงินค่าจองซื้อคืนภายใน 7 วันทำการ โดยการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร หรือภายใน 10 วันทำการโดยการชำระเป็นเช็คหรือแคชเชียร์เช็คนับจากวันสิ้นสุดระยะเวลาการเสนอขาย (วันที่ 16 พฤษภาคม 2561)
DIF Fund showcases its investment potential with the third additional investment with expected dividends to increase to be at least Bt1.04 per unit Subscription will begin in early May
The Digital Telecommunications Infrastructure Fund (DIF) showcases its investment potential with the third additional investment in telecommunications infrastructure assets. DIF will offer up to 3,831 million new investment units to raise funds to invest in additional telecommunications infrastructure assets in response to growing demand for smart phone, internet and broadband usage. DIF is confident the additional investment will help to expand its service area and provide wider coverage. It also expects an estimated distribution per unit or DPU (from 1 July 2018 – 30 June 2019) to increase to be at least 1.04 baht per unit, compared with a DPU of 0.98 baht per unit in 2017 (January - December). The preliminary offering price range is set at 13.60 - 13.90 baht per unit and existing unitholders will have the right to subscribe to new units from May 2-8 (business hours only). Subscription period for general public will begin from May 2-11 (business hours only).
Mr. Smith Banomyong, the Chief Executive Officer of SCB Asset Management Co. Ltd (SCBAM) as the management company of DIF, said DIF is the first and the largest digital telecommunications infrastructure fund in Thailand. It will invest in additional telecommunications infrastructure assets with total value not exceeding 55,236 million baht by offering up to 3,831 million new units with total value of investment units issued and offered for sale not exceeding approximately 53,236 million baht and borrowing from the financial institutions up to 2,000 million baht, which was approved in accordance with the resolutions of DIF’s unitholders meeting no. 1/2017, held on November 23, 2017. The aim is to invest in telecommunications infrastructure assets to help increase the competitiveness of the country and to meet the demand for smartphone, internet and broadband usage that is expanding with the change to the 4G LTE system and the installation of the 5G system in the future. It will also help drive Thailand to become a more advanced digital society in response to the government’s Thailand 4.0 policy to develop the country's digital economy.
The additional investment in the telecommunications infrastructure assets no. 3 would make DIF’s asset portfolio larger and enable it to expand services in all areas throughout the country and provide improved coverage. This will result in DIF having additional assets, telecommunications towers and fibre optic cables, available for leasing out to generate more revenue. At the same time DIF will benefit from the growth trend of the telecommunications industry and the Thai economy which from the period 2017-2022 is expected to see users of the 4G system increase by 14% per year. This means the number of users of the 4G system will grow as much as 76% by 2022 (according to the report of Analysys Mason) and should have the effect of increasing the demand for leasing telecommunications towers and fibre optic cables from new tenants.
Miss Veena Lertnimitr, Executive Vice President of Primary Distribution Division of the Siam Commercial Bank PLC, as the Sole Financial Advisor, the Sole Global Coordinator, the Joint Bookrunners and the Joint Lead Underwriters, said DIF will make its third additional investment in telecommunications infrastructure assets from True Group, including: 1) Ownership in 2,589 telecommunications towers used for provision of mobile services 2) Ownership in fibre optic cables (FOC) used for provision of mobile, internet and broadband internet services totalling approximately 590,305 core kilometres 3) Long-term leasehold of approximately 30 years of FOC used for provision of internet and broadband internet services of approximately 619,986 core kilometres, including call option of such FOC with an exercise price of 1,300 million baht.
In the latest development, the Office of the Securities and Exchange Commission (SEC) has approved the offer and sale of investment units, with the preliminary offering price range set at 13.60 to 13.90 baht per unit. The offering will be allocated to the existing unitholders whose names appear on the register of unitholders on record date 17 April 2018, according to their unitholding proportion (Preferential Public Offering) and to the general public, whereby retail investors shall be allotted via the Small Lot First method.
DIF has performed strongly since its inception, with distribution per unit (DPU) of 0.94 0.95 0.96 and 0.98 baht, respectively between 2014-2017. The DPU increased continuously each year consistent with an increase in the net asset value (NAV) of DIF. The NAV of DIF at year end from 2013-2017 stood at 10.0471 12.4161 12.3241 14.6191 and 15.5630 baht per unit, in the respective years.
Mr. Ekkapob Makeguljai, Executive Vice President and Team Leader, Market Sales and Product Solutions Team, Financial and Capital Market Business Division, Krung Thai Bank PLC, as the Joint Bookrunners and the Joint Lead Underwriters, said that after the third additional investment is complete, DIF will have enlarged asset portfolio composing of ownership and rights to net revenue of 15,271 telecommunication towers, ownership, long-term leasehold rights and rights to net revenues of FOC of approximately 2.6 million core kilometres, and ownership in the broadband system in the provincial areas totalling 1.2 million ports. This will increase the variety of assets and support their usage as well as increase coverage areas throughout the country. It will lengthen the weighted average maturity of the assets’ lease term to approximately 20 years, resulting in revenue recognition under long-term lease agreements, which will be the fundamental for DIF to provide long-term returns to its unitholders.
DIF is confident that after its third additional investment, there will be no earning dilution effect that would negatively affect the dividends per investment unit. This is because DIF invests in assets that are readily available for benefit seeking by leasing out to the telecommunications operator to immediately generate revenue for DIF, whereby It estimates that dividend payment per investment unit (from 1 July 2018 - 30 June 2019) will increase to be at least 1.04 baht per unit, compared to the 0.98 baht of dividend payment per unit in 2017 (January – December), which will benefit the unitholders from an opportunity to receive higher return.
Mr. Prasert Deejongkit, Senior Vice President and Manager, Bangkok Bank PLC, the Joint Bookrunners and the Joint Lead Underwriters said that the capital increase will help to boost the potential of DIF because it will have a variety of telecommunications infrastructure assets to give wider service coverage for the population in all areas of the country. This is in line with the overall situation of the telecommunications industry whose trend is for continuous growth in the future which will increase interest in DIF.
DIF is also organising a roadshow to give additional information to investors on April 24, 2018 from 1:00 – 4:30 p.m. at the Sukri Kaewcharoen Hall, 3rd Floor, Building B, the Stock Exchange of Thailand. Existing unitholders who are eligible to subscribe to new units can subscribe from May 2-8 (business hours only). Subscription period for the general public will begin from May 2-11 (business hours only) at the Siam Commercial Bank, the Bangkok Bank (except micro branches) and the Krung Thai Bank, nationwide.
For general subscribers (individual or juristic entity), subscription will be at the top of the preliminary price range at 13.90 baht per unit. The final offering price will be determined after of the bookbuilding process with the institutional investors, which is expected to be announced by May 14, 2018 at the latest. If the final offering price is lower than 13.90 baht per unit or if there is no allocation of investment units in whole or in part, investors will receive a refund within 7 (seven) working days through bank transfer or within 10 (ten) working days by cheque or cashier cheque from the end of the offering period. (May 16, 2018)
เผยแพร่ข่าวโดยฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท เอ็ม ที มัลติมีเดีย จำกัด (ในนามกองทุน DIF)
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ : ฐิยาภรณ์ ศรีอดุลย์พันธุ์ (ด๊ะ) โทร. 087 556 6974 E-mail: [email protected]