- Details
- Category: บลจ.
- Published: Tuesday, 30 January 2018 23:10
- Hits: 7617
KTAM ตั้งเป้าปี 61 AUM โต 8.38 แสนล้าน ปลื้ม KTEF ครองที่ 1 ผลงาน 5 ปี ทั้ง AIMC-Morningstar
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า ในปี 2560 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ วันที่ 29 ธันวาคม 2560 อยู่ที่ 714,247 ล้านบาท ลดลง 4.7% หรือประมาณ 35,121 ล้านบาท จากปี 2559 เนื่องจากการยกเลิกโครงการ 3 กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ กองทุน TRIF TCIF และ THIF แต่กำไรของบริษัทสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ และครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับ 4 ของอุตสาหกรรม
ในปี 2560 กองทุนรวมมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นประมาณ 61,000 ล้านบาทหรือ14% จากการเติบโตของกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ( Short Term Fund ) และกองทุนรวมต่างประเทศ
ด้านกองทุนสารองเลี้ยงชีพ เพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 ของอุตสาหกรรม โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 20,000 ล้านบาท หรือ 32% จากการบริหารกองทุนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นต้น มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ณ 29 ธันวาคม 2560 ประกอบด้วย กองทุนรวม 498,192 ล้านบาท กองทุนสารองเลี้ยงชีพ 86,107 ล้านบาท กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 83,915 ล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคล 46,033 ล้านบาท
ในปีที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุนในหลายกองทุน เช่น กองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ทอิควิตี้ ( KTEF ) กองทุนระดับ 5 ดาวจาก Morningstar และเป็นกองทุนที่มีผลการดาเนินงานย้อนหลังอยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดาเนินงานย้อนหลัง สิ้นสุด ณ วันที่ 29 ธันวาคม 2560 ได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่ 1 จาก AIMC กลุ่ม Equity General และ Morningstar กลุ่ม Thailand EQ Equity Large-Cap โดยผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 79.32% สูงกว่า Benchmark ซึ่งอยู่ที่ 30.02% ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสม่ำเสมอของผลการดาเนินงานของกองทุน
นอกจากนี้ กองทุนต่างประเทศที่มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี ติดอันดับ1ใน 3 ของอุตสาหกรรม จากการจัดอันดับของ Morningstar ได้แก่ KT-India อันดับ1 ของกลุ่ม Thailand QE Asia Pacific ex-Japan อยู่ที่ 43.87% , KT-Euro อันดับ1 ของกลุ่ม Thailand QE Europe Equity อยู่ที่ 22.92% และ KT-GMO อันดับ 3 ของกลุ่ม Thailand QE Global Allocation อยู่ที่ 15.72 %
ส่วนกองทุน KT-China นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน(30มี.ค.60) อยู่ที่ 20.52% กองทุน KT-CLMVT ได้รับการจัดอันดับจาก Morningstar ให้เป็นกองทุนที่มีผลการดาเนินงานย้อนหลัง3 เดือน และ6 เดือนอยู่ในอันดับหนึ่งของกลุ่มหุ้นในเอเชียแปซิฟิก ยกเว้น ญี่ปุ่น โดย 3 เดือนอยู่ที่ 14.76% และ 6 เดือนอยู่ที่ 23.74% กองทุนนี้สามารถจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่องทุกเดือน จำนวน 3 ครั้งติดต่อกัน ในอัตราครั้งละ 0.50 บาทต่อหน่วย ซึ่งแต่ละกองทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุน และได้รับความไว้วางใจในการให้บริษัทบริหารเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2561 บริษัทตั้งเป้าหมายมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้น 838,000 ล้านบาท หรือประมาณ 18% โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะเปิดจาหน่าย 7 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนที่การจัดสรรน้ำหนักการลงทุน ( Asset Allocation ) จำนวน 4 กองทุน ภายใต้ชื่อกองทุน มั่งคั่ง มีทรัพย์ ศรีศิริ สุขใจ (มั่งมีศรีสุข) กองทุนต่างประเทศประเภท Unit Link จานวน 3 กองทุน ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการดำเนินการยื่นขออนุมัติจัดตั้งกองทุนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
และยังมีแผนที่จะเปิดจาหน่ายกองทุนอื่นๆ อีกมากมาย โดยบริษัทกำลังดูความเหมาะสม และจังหวะในการเปิดจำหน่าย ซึ่งบริษัทจะคำนึงถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ลงทุน ในเดือนแรกของปีนี้ บริษัทประสบความสำเร็จในการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม โกลบอล เครดิต อินคัม ฟันด์
(KT-GCINCOME) โดยสามารถจำหน่ายกองทุนได้ตามเป้าหมายเต็มมูลค่าโครงการที่กำหนดไว้ 5,000 บาท โดยใช้ระยะเวลาเพียง3วัน
นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทจะเน้นเรื่องการให้นักลงทุนได้เข้าถึงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนได้ง่ายและสะดวกขึ้น ผ่านช่องทาง Social media เช่น Mobile App ในการซื้อขายหน่วยลงทุน และ Website ใหม่ เป็นต้น
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทได้รับการสนับสนุนที่ดีจากธนาคารกรุงไทย มีการทางานกันอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้กองทุนรวมมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้จะมีการพัฒนาระบบ ITร่วมกัน เพื่ออานวยความสะดวกให้กับนักลงทุนในการเข้าถึงข้อมูลมากยิ่งขึ้น
เอกสารประกอบการแถลงข่าวประกอบการ และมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและไทย
เศรษฐกิจโลกโดยรวมยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด IMF ได้ปรับประมาณการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นเป็น 3.9% ทั้งในปี 2561 และปี 2562 จากเดิมที่ 3.7% โดยส่วนใหญ่เป็นการปรับประมาณการขึ้นกลุ่มประเทศที่พัฒนา (DM) แล้ว จากกฎหมายการปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ, การฟื้นตัวของอุปสงค์ในยูโรโซน และการกระตุ้นด้านการคลังของญี่ปุ่น ขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (EM) ยังคงมีการเติบโตในระดับสูงเช่นเดิม ทั้งนี้การที่หลายๆ ประเทศเติบโตขึ้นพร้อมๆ กันเช่นนี้ (Synchronized Growth) ทำให้เกิดประโยชน์จากการเอื้อหนุนซึ่งกันและกัน และยิ่งทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีความแข็งแกร่ง ส่งผลดีต่อการค้าระหว่างประเทศ และน่าจะทำให้เงินเฟ้อค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่นโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักๆ ของโลกมีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น แต่คาดว่าการปรับขึ้นของดอกเบี้ยนั้นจะเป็นไปแบบค่อยเป็นไปค่อยไป และไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
สำหรับ เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจยังคงมีโมเมนตัมของการเติบโตที่ดี เป็นผลจากจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก, การขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว และการฟื้นตัวจากภัยแล้งและปัจจัยชั่วคราวอื่นๆ นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยน่าจะได้รับผลดีจากวงเงินงบประมาณกลางปีที่เพิ่มขึ้น 1.5 แสนล้านบาท และการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ ทำให้เราคาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ 4.0% ในปี 2561 นี้ เป็นการขยายตัวในระดับเดียวกับในปีก่อนหน้านั้น การบริโภคภาคเอกชนน่าจะกลับมาดีขึ้น การใช้จ่ายภาครัฐน่ากลับมาเป็นตัวยืนสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภาคการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวยังคงดีต่อเนื่องจากอุปสงค์ต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นแม้ว่าจะมีอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงบ้างก็ตาม อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้ออาจจะยังปรับขึ้นไม่มากนัก และปัจจัยกดดันที่สำคัญน่าจะมาจากค่าเงินบาท ซึ่งเราคาดว่าน่าจะแข็งค่าขึ้นอีกประมาณ 5% ในปีนี้ สู่ระดับ 30.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงสิ้นปี ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทและอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำนี้ จะกดดันทำให้อัตราดอกเบี้ยทรงตัวที่ 1.5% ตลอดทั้งปี 2561 นี้ แม้ว่าเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นก็ตาม
มุมมองและกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นปี 2561
ตลาดหุ้นยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนในปี 2561 โดยมีปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนได้แก่ สภาพคล่องในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับที่สูงและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ (เงินเฟ้อต่ำ) ในขณะที่สินทรัพย์เพื่อการลงทุนอื่น ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยง ภาพรวมเศรษฐกิจต่างประเทศและเศรษฐกิจไทยก็มีการขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า โดยปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่จะเป็นปัจจัยภายนอกประเทศ ได้แก่ แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ความผันผวนของตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมันดิบ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศ เป็นต้น
ภาพรวมของการลงทุนในตลาดหุ้น น่าจะมีความผันผวนมากกว่าปีที่ผ่านมา ภายหลังจากที่ตลาดหุ้นสำคัญๆ มีการปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในระยะสั้นก็อาจมีการปรับฐานหรือเกิดแรงขายทำกำไร ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ก็คงต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น โดยปรับพอร์ตการลงทุนให้มีการลงทุนที่กระจายตัวทั้งจำนวนหุ้นและกระจายรายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยปรับลดสัดส่วนในหุ้นที่ราคามีการปรับขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา (เกินมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน) ในขณะที่การปรับตัวลงแรงของตลาดหุ้นหากเกิดขึ้น ก็จะเป็นจังหวะในการเข้าลงทุนต่อไป
สำหรับ ดัชนีฯ หุ้นไทย นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ส.ค. 2560 เป็นต้นมา (จากระดับ 1560 จุด) มีการปรับขึ้นกว่า 250 จุด ในระยะเวลาไม่ถึง 5 เดือน (ในขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลก หลายๆ ตลาดมีการปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่) เราคาดว่า Downside risk ไม่น่าจะมากนัก (1760 จุด) แม้ว่าระดับดัชนีฯ ในปัจจุบัน จะอยู่ใกล้กับระดับดัชนีฯ เป้าหมายของ KTAM ที่ให้ไว้ที่ 1900 จุด (PBV 2.1x, PEG1.5x, PE 17.5x) ก็ตาม ทั้งนี้ รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในช่วงทยอยประกาศออกมาจะมีส่วนในการช่วงพยุงระดับดัชนีฯ หรือปรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนได้ในช่วงต่อไปได้ ซึ่งนอกจากที่ตลาดหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกแล้ว (โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจสำคัญๆ) ปัจจัยภายในประเทศก็มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการลงทุนด้วยเช่นกัน เช่น การเร่งการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล มาตรการกระตุ้นการบริโภคที่ทยอยออกมาเป็นระยะ การท่องเที่ยวที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
กลยุทธ์การลงทุนจะเน้นการลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การบริโภค (Domestic play) และการลงทุนภายในประเทศ (การฟื้นตัวของวัฎจักรการลงทุน ทั้งภาครัฐและเอกชน) เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มสื่อ และกลุ่มยานยนต์ ในขณะที่หุ้นในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมีฯ ที่ได้รับประโยชน์การแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งหุ้นในกลุ่มดังกล่าวราคาหุ้นมักจะมีความเคลื่อนไหวผันผวนตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ ก็อาจใช้โอกาสจากความผันผวนดังกล่าวเป็นการ Trading ในระยะสั้นได้ โดยหลีกเลี่ยงกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบในด้านลบจากปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังหลีกเลี่ยง หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศฯ (ICT) โดยเฉพาะที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ยังขาดความชัดเจนในการเปิดประมูลคลื่นความถี่ 900 MHz และ 1800 MHz
แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ ทั้งในและต่างประเทศ
ตลาดตราสารหนี้โดยภาพรวมมีแนวโน้มที่จะมีความผันผวนมากขึ้นจากการที่อัตราผลตอบแทนในหลายๆ ประเทศได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ในขณะที่ธนาคากลางในหลายประเทศเริ่มดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น แนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังไม่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ในขณะที่ยังคงมีสภาพคล่องส่วนเกินเหลืออยู่ในระบบจำนวนมาก ทำให้มองว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนน่าจะเป็นไปอย่างจำกัด
ในปี 2561 มองว่าตลาดตราสารหนี้ในภาพรวมมีแนวโน้มที่จะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นจากการที่อัตราผลตอบแทนในหลายๆ ประเทศได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ในขณะที่ธนาคารกลางหลักๆ ของโลกเริ่มดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเพิ่มความเข้มงวดดังกล่าวจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้น และสภาพคล่องส่วนเกินที่ยังเหลืออยู่ในระบบจำนวนมาก ทำให้มองว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนน่าจะเป็นไปอย่างจำกัด
ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ไทย คาดว่าอัตราผลตอบแทนมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามแนวโน้มเศรษฐกิจรวมถึงทิศทางดอกเบี้ยโลก ท่ามกลางความผันผวนของการไหลเข้าออกของเงินลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ดีเงินเฟ้อในประเทศที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า สภาพคล่องส่วนเกินที่ยังอยู่ในระดับสูง และแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะทำให้มองว่าอัตราผลตอบแทนน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ไม่มากนัก
สำหรับ กลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้จะเน้นการวางพอร์ตให้มีการกระจายน้ำหนักไปในตราสารแต่ละช่วงอายุโดยให้มีอายุเฉลี่ยของพอร์ต (Portfolio Duration) อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับแนวโน้มตลาดในแต่ละขณะ รวมถึงจะมีการปรับพอร์ตระหว่างตราสารรุ่นที่มีราคาถูกและมีราคาแพงเป็นระยะๆ และลงทุนในตราสารหนี้เอกชนที่ผู้ออกตราสารมีแนวโน้มที่จะได้รับการปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดี
มุมมองที่มีต่อการลงทุนในปี2561
สำหรับ มุมมองด้านการลงทุน เรายังคงมองว่าเศรษฐกิจเพิ่งจะอยู่ในช่วงกลางของวัฎจักรเท่านั้น แม้ว่าราคาของสินทรัพย์ส่วนใหญ่ 'แพง' ราวกับว่าอยู่ในช่วงปลายของวัฎจักรแล้ว โดยเรามองถึงธีมในการลงทุน 3 ด้านด้วยกัน
หนึ่ง คือ Growing Together เรามองว่าเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังน่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง และการที่เศรษฐกิจต่างๆ เติบโตไปพร้อมๆ กันเช่นนี้ (Synchronized Growth) ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งมากขึ้น เงินเฟ้อน่าจะค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้น นโยบายการคลังเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นในหลายประเทศ ขณะที่นโยบายการเงินมีแนวโน้มตึงตัวขึ้น แต่การปรับขึ้นของดอกเบี้ยจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
สอง คือ Tough Time for Bargain Hunters ปัจจุบันสินทรัพย์ต่างๆ มีราคา'แพง' ต่างจากในอดีตที่ถ้าบอนด์ 'แพง' หุ้นก็มักจะ “ถูก” (และในทางตรงกันข้าม) ดังนั้น ผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆ จากนี้ไปน่าจะต่ำกว่าในอดีต และเรายังคงมองว่าสินทรัพย์เสี่ยงมีความน่าสนใจมากกว่าสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเราอาจเน้นไปในสินทรัพย์ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และมีการเติบโตที่ดี เช่น หุ้นจีน, หุ้นอินเดีย หรือหุ้นเวียดนาม เป็นต้น
สาม คือ Smart Risk-Taking แต่จากการที่สินทรัพย์ต่างๆ มีราคา “แพง” นั้น อาจทำให้เกิดความผันผวนในราคาได้ และอาจทำให้นักลงทุนไม่ได้รู้สึก “สบายใจ” นัก อย่างไรก็ตาม ภาพเศรษฐกิจและปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ที่ยังคงดีอยู่นั้น ทำให้เรามองว่านักลงทุนยังไม่จำเป็นต้องหนีออกจากตลาด และยังน่าจะมีการลงทุนต่อเนื่อง (Stay Invested) โดยเฉพาะเมื่อผลตอบแทนจากสินทรัพย์ปลอดภัยต่ำเช่นนี้ กลับเป็นสถานการณ์ที่ทำให้นักลงทุนจำเป็นต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่นักลงทุนเองก็ควรมีรับความเสี่ยงอย่าง “ชาญฉลาด” เช่น การถือครองทองคำไว้บ้างเพื่อป้องกันความผันผวน หรือการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง (Diversified) ในหลายสินทรัพย์หรือหลายตลาด เป็นต้น