- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 09 June 2024 17:51
- Hits: 10689
MGT ตั้งเป้ารายได้ ปี 67 ที่ 1,100 ล้าน เล็ง M&A Food Q2 โตต่อ เจาะตลาดรายใหญ่
MGT 1/2567 มีรายได้ 244.61 ล้าน กำไรสุทธิ 10.97 ล้านบาท ใส่เกียร์เดินหน้าธุรกิจเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ คาด Q2 ไปต่อ แม้เจอสงคราม-ค่าเงินอ่อนตัว เน้นกลยุทธ์บริหารจัดการต้นทุน รักษามาร์จิ้น พร้อมโฟกัสรายใหญ่ 'วิทยา อินาลา' มองแนวโน้มผลงานปีนี้ดีกว่าปีก่อน ปักหมุดรายได้โต 20% เล็ง M&A Food ingredients เข้าพอร์ด เพิ่มซัพพลายเออร์ สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน
ดร.วิทยา อินาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) MGT ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ประเภทเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemical) เผยว่า ไตรมาส 1/2567 มีรายได้ 244.61 ล้าน กำไรสุทธิ 10.97 ล้านบาท ถือว่าเป็นไปตามเป้า ส่วนไตรมาส 2/2567 อาจจะต้องติดตามเรื่องค่าเงินบาท เพราะปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในทิศทางอ่อนค่า จากต้นปีที่ 33-34 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ 37 บาทต่อดอลลาร์
อีกทั้ง ความไม่ชัดเจนเรื่องอัตราดอกเบี้ย อาจจะเป็นปัจจัยกดดันต่อการขยายธุรกิจ และการขายสินค้าของบริษัท ส่วนสงครามต่างประเทศ อาจจะกระทบต่อเรื่องการขนส่ง และต้องเปลี่ยนเส้นทางขนส่งไกลกว่าปกติ ทำให้ต้นทุนอาจปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามบริษัทจะพยายามรักษาอัตราการทำกำไร(มาร์จิ้น) ให้ใกล้เคียงกับที่ผ่านมา และบริษัทจะพยายามจำหน่ายสินค้าเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษให้กับรายใหญ่ มากว่ารายย่อย เพราะลดความเสี่ยงเรื่องเครดิต และการชำระเงิน
สำหรับ กลยุทธ์การขายสินค้าเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ บริษัทจะเดินหน้าขายสินค้าทุกกลุ่ม เพราะปัจจุบันอุตสาหกรรมทุกอุตสาหกรรมกลับมาผลิตเป็นปกติ และมีดีมานด์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษเข้ามาทุกกลุ่ม พร้อมกันนี้บริษัทจะขยายฐานลูกค้าไปในกลุ่มโรงงาน หรืออุตสาหกรรมที่ต้องการพยายามลดคาร์บอนเครดิต เช่น โรงงานผลิตปูน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการลดภาวะมลพิษและการผลิตต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ บริษัทมองทิศทางรายได้จะดีกว่าปีก่อน ซึ่งมองการเติบโตแบบ Organic อยู่ที่ 20% โดยบริษัทมีฐานลูกค้าหรือบิ๊กดาต้าอยู่แล้ว ดังนั้น บริษัทจะนำโปรดักต์ไปกระจายให้เข้าถึงลูกค้า และจะขยายทีมเซลส์เพื่อสร้างการเติบโต เล็ง M&A ในธุรกิจส่วนผสมอาหาร Food ingredients เข้าพอร์ด และเพิ่มซัพพลายเออร์ จากประเทศจีน อินเดีย อาเซียน อินโดนีเซีย เวียดนาม มาสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน
ดร.วิทยา กล่าวต่อว่า บริษัทจะโฟกัสธุรกิจที่บริษัทเข้าลงทุนก่อนหน้านี้ ทั้งธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศ สิงคโปร์ JIOS AEROGEL HOLDINGS PTE. LTD. ผู้ผลิตและจำหน่ายฉนวนกันความร้อนแบตเตอรีรถยนต์อีวี (ถือไม่ต่ำกว่า 5%) โดยใช้เงินลงทุนราว 74 ล้านบาท โดยเล็งเห็นว่าปัจจุบันรถยนต์อีวีมีการเติบโตค่อนข้างมาก
และความปลอดภัยต้องมีในระดับสูง ฉนวนกันความร้อนแบตเตอรี จึงเป็นส่วนประกอบสำคัญส่วนหนึ่งในการผลิตรถยนต์อีวี ซึ่งบริษัทต้องการยอดธุรกิจ และสร้างฐานการเติบโตกับกระแสที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และธุรกิจไบโอเทคโนโลยี ในประเทศเกาหลี ABio Materials Co., Ltd. ซึ่งเป็นผู้ผลิตสเต็มเซลล์ (ถือหุ้นราว 8-9%) เพื่อทำธุรกิจความงามในอนาคต
ปัจจุบันบริษัทมีกำไรสะสม ณ สิ้นปี 2566 อยู่ที่ 260 กว่าล้านบาท หลังจากหักกการจ่ายปันผลไปแล้ว บริษัมองหาการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ในแถบอาเซียน โดยปัจจุบันขยายธุรกิจไปที่ประเทศลาวแล้ว โดยมีการค้าขายกันอยู่ สำหรับตลาดต่างประเทศบริษัทมองหาการขยายโอกาสทางธุรกิจเกี่ยวกับไบโอเทคโนโลยี และธุรกิจอุตสาหกรรมการลดคาร์บอนเครดิต
บริษัทมีแนวทางการบริหารจัดการความเสี่ยงที่สำคัญ 1.มีนโยบายชัดเจนในการซื้อขายเงินตราล่วงหน้าและยืดหยุ่นให้ทันต่อเหตุการณ์ 2.ขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกๆ อุตสาหกรรมเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาอุตสาหกรรมของกลุ่มลูกค้าหลัก 3.ติดตามสถานการณ์ห่วงโซ่อุปทานของคู่ค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อลดผลกระทบจากโลจิสติกส์ และการควบคุมการใช้ไฟฟ้าของประเทศจีน ซึ่งอาจทำให้การนำเข้าสินค้าล่าช้ากว่าปกติ 4.กระจายความเสี่ยงและไปลงทุนในอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับโลกมากขึ้น