- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Wednesday, 15 November 2023 02:13
- Hits: 2907
PTTGC Q3 EBITDA 12,307 ล้านบาท ค่าการกลั่นที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
PTTGC ในไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 160,392 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 กำไรสุทธิ 1,427 ล้านบาท และรับผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน รายการพิเศษอื่นๆ (Stock Gain Net NRV) รวม 3,674 ล้านบาท
นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) PTTGC แจังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สรุปผลการดeเนินการงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยสำหรับไตรมาส 3 ปี 2566 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566
ในไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 160,392 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาส 2/2566 แต่ปรับตัวลดลงร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยรายได้รวมในไตรมาสนี้ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นโดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่นที่ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมปรับตัวเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ปริมาณการขายในภาพรวมปรับตัวสูงขึ้นสอดคล้องกับอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นของกลุ่มธุรกิจโอเลฟิ นส์และกลุ่มธุรกิจโพลิเมอร์ปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสนี้ แม้ว่า จะมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงงานอะโรเมติกส์แห่งที่ 2 ในไตรมาสนี้
นอกจากนี้ ในไตรมาส 3/2566 ท่ามกลางสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในระดับที่สูง บริษัทฯเริ่มการดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 หรือ Olefins 2 Modification Project (OMP) ซึ่งทำให้บริษัทฯ สามารถใช้โพรเพนเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เพิ่มขึ้น โดยโครงการดังกล่าวเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบและเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารต้นทุนของบริษัทฯ
สำหรับ ไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ รายงาน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 12,307 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ร้อยละ 80 โดยหลักจากค่าการกลั่นที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งค่าการกลั่นเฉลี่ยของไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 12.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
นอกจากนี้ ในขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเนื่องจากปริมาณการขายปรับลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุงตามที่กล่าวข้างต้นเป็นหลัก นอกจากนี้ ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ และเคมีภัณฑ์มีผลประกอบการปรับสูงขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณขายที่เติบโตขึ้นร้อยละ 10
ในขณะที่ราคาเม็ดพลาสติกโพลิเอทีลีนเฉลี่ยปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อย จากอุปสงค์ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน กอปรกับยังคงมีอุปทานส่วนเกินในตลาดในขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางมีผลประกอบการดีขึ้นโดยหลักจากธุรกิจโมโนเอทิลีนไกลคอลที่กลับมาดำเนินการผลิตหลังจากหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ตามแผน และผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษปรับเพิ่มขึ้นจากการขายในเอเชียแปซิฟิกที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้ ธุรกิจปิโตรเคมีโดยรวมยังคงอยู่ในภาวะอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับความกดดันจากปัจจัยทั้งในด้านภาวะเศรษฐกิจถดถอยซึ่งส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ปลายทางของผลิตภัณฑ์ปิ โตรเคมี และการเริ่มดำเนินการของกำลังการผลิตใหม่ในตลาดโดยเฉพาะจากประเทศจีน บริษัทฯรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในไตรมาสนี้จำนวน 179 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า
โดยหลักจากการดำเนินงานของบริษัทร่วมทุนในธุรกิจปิโตรเคมีที่ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย บริษัทฯ มีผลกำไรจากการดำเนินงานปกติ(ไม่รวมผลกำไร/ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับผลกำไร/ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงินผลกำไร/ขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง รายการพิเศษอื่นๆ) จำนวน 1,614 ล้านบาท
โดยบริษัทฯ รับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปกติ ได้แก่ ผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและรายการกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Gain Net NRV) รวม 3,674 ล้านบาท ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 2,729 ล้านบาท ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและผลกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวมเป็นขาดทุน 1,146 ล้านบาท บริษัทฯมีการบันทึกรายการพิเศษในไตรมาส 3/2566 รวม 625 ล้านบาท
โดยหลักจากรายการขาดทุนจากการตัดจำหน่ายสินทรัพย์อันเนื่องมาจากเหตุขัดข้องการเตรียมดำเนินการโครงการคลังสินค้าส่งผลให้ในไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิ 1,427 ล้านบาท (0.32 บาท/หุ้น) สำหรับ ผลประกอบการโดยรวมในไตรมาสนี้ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นมีผลประกอบการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าการกลั่น (GRM)อย่างมีนัยสำคัญ จากระดับ 5.7เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 12.6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาสนี้ เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของส่วนต่าง
ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ จากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ดีเซลที่ปรับสูงขึ้นโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ในการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในประเทศจีนเริ่มกลับมาฟื้นตัวเป็นสำคัญ ในขณะที่ต้นทุนค่าพรีเมียมน้ำมันดิบ (Crude premium) ยังคงทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า รวมถึงการใช้กำลังการผลิตอย่างเต็มที่เพื่อรักษาระดับปริมาณขาย ธุรกิจอะโรเมติกส์มีผลประกอบการอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากการหยุดซ่อมบำรุงในไตรมาสนี้
แม้ว่า ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พาราไซลีน และผลิตภัณฑ์เบนซีนปรับตัวลดลงแต่ส่วนต่างผลิตภัณฑ์พลอยได้ปรับสูงขึ้นในไตรมาสนี้ ทั้งนี้ โรงโอเลฟินส์มีผลประกอบการปรับลงเล็กน้อย โดยหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์เอทิลีนและราคาแนฟทาปรับลดลง โดยราคาแนฟทาปรับสูงขึ้นมากกว่าตามทิศทางราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมีการใช้กำลังการผลิตที่มากขึ้นจากการเริ่มการดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการ OMP ทำให้บริษัทฯสามารถเลือกวัตถุดิบโพรเพนที่มีราคาตลาดต่ำกว่าราคาแนฟทาในช่วงไตรมาสนี้ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางมีผลประกอบการดีขึ้นโดยหลักจากธุรกิจโมโนเอทิลีนไกลคอลที่กลับมาดำเนินการผลิตอย่างปกติหลังจากหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ทำให้ปริมาณการขายรวมปรับตัวเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ธุรกิจฟีนอลฟื้นตัวขึ้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาผลิตภัณฑ์ฟีนอลปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าทิศทางการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบเนื่องจากอุปทานในตลาดปรับตัวลดลงจากการควบคุมกำลังการผลิตและการหยุดซ่อมบำรุงของผู้ผลิตในตลาดรวมถึงกำลังการผลิตใหม่ที่ยังคงเลื่อนออกไปในไตรมาสหน้า
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์มีผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณขายที่เติบโตขึ้นร้อยละ 10 ในขณะที่ราคาเม็ดพลาสติกโพลิเอทีลีนเฉลี่ยปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ราคาเม็ดพลาสติกยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและอุปทานส่วนเกินในขณะที่การเปิดประเทศเต็มรูปแบบของประเทศจีนยังไม่ได้มีผลกระทบเชิงบวกต่ออุปสงค์อย่างที่เคยคาดการณ์ไว้ กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพและผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนมีผลประกอบการลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าจากอุปสงค์ที่อ่อนตัวโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมปลายทางของแฟตตี้แอลกอฮอล์
ในขณะที่กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ มีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดยหลักมาจากประเทศจีน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ของบริษัท Allnex Holding GmbH (allnex)และการดำเนินนโยบายการควบคุมค่าใช้จ่ายเป็นสำคัญ
ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 732,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 12,940 ล้านบาท โดยรายการที่เปลี่ยนแปลงที่สำคัญได้แก่ สินทรัพย์หมุนเวียนเพิ่มขึ้นจากรายการเงินสด และรายการเทียบเท่าเงินสด และสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน ลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณขายและราคาขายผลิตภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากทั้งธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี
ถึงแม้ว่า มีสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นลดลง อย่างไรก็ตามที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ลดลง เนื่องจากการเสร็จสิ้นโครงการต่างๆ และรับรู้เป็นสินทรัพย์ทำให้มีการตัดค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น กอปรกับสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นลดลง มีสาเหตุหลักจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าลดลง ร่วมกับการวัดมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนใน บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) เป็นสำคัญ
ในส่วนของหนี้สิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 บริษัทฯ มีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 439,830 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 18,693 ล้านบาท โดยรายการที่เปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ได้แก่ เจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้น มีสาเหตุหลักจากการซื้อน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นภายหลังเสร็จสิ้นการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงกลั่นในไตรมาส 4/2565หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) เพิ่มขึ้น มีสาเหตุหลักมาจากการเบิกเงินกู้ยืมระยะยาว
ในขณะที่มีการจ่ายชำระคืนเงินกู้ยืมทั้งระยะสั้นและระยะยาวให้แก่สถาบันการเงิน รวมถึงบริษัทฯ ทำการซื้อคืนหุ้นกู้สกุลเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ หนี้สินหมุนเวียนอื่นลดลง มีสาเหตุหลักจากเจ้าหนี้อื่นและเจ้าหนี้ผู้รับเหมาก่อสร้างลดลงเนื่องจากมีการจ่ายชำระเงินโครงการต่างๆ และหนี้สินตราสารอนุพันธ์หมุนเวียนลดลงจากตราสารอนุพันธ์สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) เป็นสำคัญ ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 บริษัทฯ มีส่วนของผู้ถือหุ้น 293,075 ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 จำนวน 5,752 ล้านบาท