- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Tuesday, 06 June 2023 14:37
- Hits: 1547
โบรกฯ เชียร์ซื้อ TIDLOR อัพราคาเป้าหมายสูงสุด 36 บาท ตอบรับการปรับลดเป้า NPL และ Credit cost ในปี 2566
โบรกเกอร์ต่างให้คำแนะนำ "ซื้อ" หุ้น TIDLOR พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย โดยให้ราคาสูงสุดที่ 36 บาท ตอบรับมุมมองเชิงบวกต่อการปรับลดเป้า NPL เป็นไม่เกิน 1.8% จาก 2% และเป้าค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญลดลงเป็นกรอบ 3.0-3.35% รวมถึงปรับประมาณการกำไรปี 2566-2568 เพิ่มขึ้น เพื่อสะท้อนการคลายกังวลด้านคุณภาพสินเชื่อและแนวโน้มการตั้งสำรองที่ลดลง ชี้มีงบดุลแข็งแกร่งต้านทานการแข่งขันรุนแรงได้
บทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคินภัทร ระบุถึง บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR โดยระบุว่า เราได้ปรับเพิ่มคำแนะนำ TIDLOR เป็น Buy จาก Underperform ราคาเป้าหมาย 36 บาท (เพิ่มจาก 22 บาท) หลังผลประกอบการไตรมาส 1/2566 ดีกว่าคาด และมุมมองเชิงบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นในวงกว้าง ความกังวลการผิดนัดชำระหนี้และภาระค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองที่ลดลง โดยมีการปรับประมาณการกำไรปี 2566-2568 เพิ่มขึ้น 4%, 9% และ 10% ตามลำดับ
โดยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 36 บาท มาจากเป้า PBV ปี 2567 ที่ 3 เท่า TIDLOR เป็นตัวเลือกเดียวในกลุ่มธุรกิจการเงิน เนื่องจากมีงบดุลที่แข็งแกร่ง และการที่สามารถฝ่าฟันปัจจัยลบต่างๆ ของภาคอุตสาหกรรมมาได้ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มขึ้นของการผิดนัดชำระหนี้และการแข่งขันที่รุนแรง
สำหรับ ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาส 1/2566 แสดงให้เห็นว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีผลเชิงบวกต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ ประกอบกับการติดตามหนี้ที่ดีขึ้นของ TIDLOR ส่งผลให้ต้นทุนด้านเครดิตและ NPL formation ออกมาดีกว่าคาด และคาดการณ์ว่า NPL จะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/2566 แต่อย่างไรก็ตามมองว่า บริษัทฯ จะยังการเติบโตจากการฟื้นตัวของปัจจัยภายนอกบวกกับความสามารถในการควบคุมความเสี่ยงที่ดีของบริษัทฯ
ด้านบทวิเคราะห์บล.กสิกรไทย ระบุว่า TIDLOR เป็นรายแรกที่หลุดจากวัฎจักร NPL โดยฝ่ายบริหารได้ปรับลดเป้าหมายอัตราส่วน NPL ทั้งปี 2566 ลงไม่เกิน 1.8% จาก 2% และได้ลดกรอบบนต้นทุนสินเชื่อลงมาที่ 3-3.35% จาก 3-3.50% นอกจากนี้ ยังมีกลยุทธ์สร้างการเติบโตด้วยความระมัดระวัง โดยยังคงเป้าการเติบโตของสินเชื่อในกรอบ 10-20% สำหรับปี 2566 เทียบกับคาดการณ์ของเราที่ 13% โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาเพียง 50-100 สาขาในช่วงครึ่งปีหลัง เทียบกับ 300 สาขา ที่เปิดปี 2565
ส่วนธุรกิจนายหน้าประกันภัยที่ยังคงเติบโตดี ฝ่ายบริหารยังคงคาดการณ์การเติบโตค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันภัยในปี 2566 ที่ 20-25% โดยยังเติบโตได้ตามเป้าหมาย และยังมีการแยกแบรนด์นายหน้าประกันภัยออกมาเป็นแบรนด์ประกันติดล้อเพื่อสร้างความชัดเจนและการจดจำเพื่อรองรับผลิตภัณฑ์ประกันใหม่ๆ ที่จะออกมา และเชื่อว่าแผนการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจประกันของ TIDLOR จะทำให้บริษัทแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นๆ โดยคาดว่ารายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) จะยังเติบโตได้ 20% ในปี 2566 และ 18% ในปี 2567
ปรับเพิ่มคำแนะนำ TIDLOR มาเป็น Outperform จาก Neutral และได้เพิ่มราคาเป้าหมายมาที่ 30 บาท จาก 24 บาท โดยมาจาก 1. การปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2566-2568 2.การเพิ่ม PBV ในระยะยาวมาที่ 2.63 เท่า จาก 2.53 เท่า เพื่อสะท้อนแนวโน้ม ROE ที่ดีขึ้นเล็กน้อย
ส่วนบทวิเคราะห์ของ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ฝ่ายวิจัยปรับคำแนะนำ ขึ้นเป็น “ซื้อ ” จากเดิม “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 33 บาท อิง 2023EPBV ที่ 3.0x (เดิม 25.00 บาท อิง 2023E PBV ที่ 2.4x) มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อการประชุมนักวิเคราะห์ จากการปรับเป้า NPL ลงเป็นไม่เกิน 1.8% และค่าใช้จ่ายสำรองลดลงเป็น 3.0-3.35%
ขณะที่ผลการดำเนินงานด้านอื่นยังคงเป็นไปตามเดิม ทั้งสินเชื่อที่เติบโตดี +10-20%, cost of fund ยังเพิ่มขึ้น +50 bps และ cost to income ที่จะเพิ่มขึ้นใน 2H23E จากการกลับมาเปิดสาขา จากปัจจุบันที่ชะลอ โดยปรับกำไรสุทธิปี 2023E ขึ้น +13% เป็น 3.8 พันล้านบาท (+5% YoY) และปี 2024E ขึ้น +17% เป็น 4.7 พันล้านบาท (+22% YoY) จากการปรับเพิ่ม loan growth, ลด NPL และ credit cost ลงสะท้อนความกังวลที่ลดลงต่อ NPL ที่จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง