- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 28 May 2023 17:56
- Hits: 1758
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.ยูเอซี โกลบอล’ ที่’BBB-‘ แนวโน้ม’Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ’BBB-‘ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต’Stable’ หรือ’คงที่’ โดยอันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในธุรกิจซื้อมาขายไป ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทตลอดจนเงินปันผลจำนวนมากที่บริษัทได้รับจากการลงทุนในบริษัทร่วมที่สำคัญแห่งหนึ่ง และโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งของบริษัท
ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากการที่บริษัทต้องพึ่งพิงลูกค้าและผู้ผลิตสินค้ารายสำคัญในระดับสูง รวมถึงธุรกิจพลังงานที่ยังมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าเป้าหมาย และความเสี่ยงในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนใหม่ๆ ของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่ากำไรของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจซื้อมาขายไป
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจซื้อมาขายไปซึ่งเป็นธุรกิจหลักเอาไว้ได้เมื่อพิจารณาจากประสบการณ์ที่ยาวนานของบริษัท ตลอดจนความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้ารายสำคัญ และความเชี่ยวชาญในด้านเทคนิคต่างๆ
ทั้งนี้ บริษัทเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายสารเคมีและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการกลั่นน้ำมันและการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี โดยบริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการให้กับผู้ผลิตสินค้าชั้นนำในระดับโลก เช่น Honeywell และ PALL Corporation ธุรกิจซื้อมาขายไปสร้างรายได้และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในสัดส่วนที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานมากกว่า 2 ทศวรรษในธุรกิจดังกล่าว บริษัทจึงมีโรงกลั่นน้ำมันและบริษัทปิโตรเคมีชั้นนำในประเทศไทยเป็นลูกค้าประจำอยู่จำนวนหนึ่ง ในขณะที่สินค้าของบริษัทก็เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและโดยทั่วไปแล้วจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำด้านเทคนิคซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถรักษาลูกค้าเอาไว้ได้
มีการพึ่งพิงลูกค้าและผู้ผลิตสินค้ารายสำคัญในระดับสูง
ความแข็งแกร่งของธุรกิจซื้อมาขายไปมีปัจจัยลดทอนจากความเสี่ยงจากการกระจุกตัวทางธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงของบริษัท โดยบริษัทมีการสั่งซื้อสินค้าจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด 5 รายในสัดส่วนรวมกันคิดเป็นประมาณ 66% ของสินค้าที่ซื้อทั้งหมดและขายให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ที่สุด 5 รายในสัดส่วนรวมกันคิดเป็นเกือบ 40% ของสินค้าทั้งหมดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการพึ่งพิงดังกล่าวก็ได้รับการบรรเทาลงจากความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานทั้งกับผู้ผลิตสินค้าและลูกค้ารายสำคัญ โดยบริษัทสามารถต่อสัญญาการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าและรักษาลูกค้าประจำเอาไว้ได้ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ลูกค้าของบริษัทซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นบริษัทที่อยู่ในธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจปิโตรเคมี และธุรกิจสาธารณูปโภคโดยทั่วไปจะมีความต้องการใช้สารเคมีและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตลอดวงจรอายุของโรงงาน ซึ่งการเปลี่ยนตัวแทนผู้จำหน่ายสินค้าก็อาจเป็นการสร้างภาระต้นทุนให้แก่บริษัทเหล่านี้ได้
การขายเงินลงทุนในธุรกิจเคมีภัณฑ์ช่วยลดระดับภาระหนี้สิน
ในเดือนมีนาคม 2566 บริษัทได้ขายหุ้นที่บริษัทถืออยู่ใน บริษัท ยูเอซี แอ็ดวานซ์ โพลิเมอร์ แอนด์ เคมิคัลส์ จำกัด (UAPC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตกาวลาเท็กซ์โพลิเมอร์และกาวลาเท็กซ์อิมัลชั่นให้แก่ ICAP-SIRA Group ซึ่งเป็นผู้ผลิตเคมีภัณฑ์สัญชาติอิตาเลียน ส่งผลให้บริษัทได้รับเงินสดสุทธิจำนวน 227 ล้านบาทจากธุรกรรมดังกล่าว
ทั้งนี้ การถือหุ้นคงเหลือในสัดส่วน 30% ทำให้ UAPC กลายเป็นบริษัทร่วมของบริษัทและทำให้หนี้สินของ UAPC ซึ่งมีจำนวนรวมกันเกือบ 300 ล้านบาทถูกถอดออกจากงบดุลของบริษัทซึ่งช่วยให้ระดับหนี้สินของบริษัทลดต่ำลง ในขณะเดียวกัน ฐานรายได้ของบริษัทก็อาจลดลงเล็กน้อยเนื่องจากบริษัทจะรับรู้ผลกำไรจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ในรูปของส่วนแบ่งกำไรแทน
ธุรกิจด้านพลังงานมีผลการดำเนินงานไม่ดีนัก
บริษัทมีการลงทุนในโครงการด้านพลังงานหลายแห่งทั้งโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ซึ่งโดยส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานไม่ดีนักโดยสาเหตุหลักเนื่องมาจากความไม่เพียงพอของปริมาณวัตถุดิบเชื้อเพลิง ความเสี่ยงในการดำเนินงานที่ค่อนข้างสูง และการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ
โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (Petroleum Production Plant -- PPP) และโรงไฟฟ้าจากก๊าซเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติเหลือทิ้งจำนวน 2 แห่งของบริษัทในจังหวัดสุโขทัยสร้างรายได้ในสัดส่วนรวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้จากธุรกิจด้านพลังงาน
โดยโครงการเหล่านี้มีความเสี่ยงด้านเชื้อเพลิงเนื่องจากการดำเนินงานของโรงงานจำเป็นต้องพึ่งพิงกระบวนการการผลิตน้ำมันดิบของ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (ปตท. สผ.) เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ แม้ปริมาณวัตถุดิบเชื้อเพลิงจะเพิ่มสูงขึ้นในปี 2565 แต่อัตราการใช้กำลังการผลิตของโครงการด้านพลังงานเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ
ความเสี่ยงในการดำเนินการโครงการใหม่ๆ
บริษัทเพิ่งเริ่มธุรกิจการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมบนบกใกล้กับโรงงาน PPP ของบริษัท (โครงการ L10/43 และโครงการ L11/43) ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 และมีรายได้เข้ามาบ้าง โดยบริษัทคาดว่าการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมดังกล่าวจะช่วยเพิ่มปริมาณวัตถุดิบเชื้อเพลิงให้แก่โรงงาน PPP
ของบริษัทซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจด้านพลังงานมีการดำเนินงานที่ดีขึ้นในระยะ 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากบริษัทยังขาดประสบการณ์ในธุรกิจใหม่นี้ประกอบกับความไม่แน่นอนของปริมาณสำรองปิโตรเลียม ทริสเรทติ้งจึงมีประมาณการแบบอนุรักษ์นิยมว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 100-140 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568
นอกจากการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแล้ว บริษัทยังได้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังก๊าซชีวภาพขนาด 3 เมกะวัตต์ (ภูผาม่าน) ที่จังหวัดขอนแก่นและโครงการจัดการขยะที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) โดยโครงการภูผาม่านนั้น คาดว่า จะเริ่มดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้หลังจากที่ประสบกับปัญหาล่าช้าในกระบวนการทำสัญญารับซื้อไฟฟ้า (Power Purchase Agreement -- PPA) ในความเห็นของทริสเรทติ้งมองว่าความเสี่ยงในการดำเนินงานที่ค่อนข้างสูงของโรงไฟฟ้าพลังก๊าซชีวภาพยังคงเป็นความเสี่ยงที่สำคัญของบริษัท ซึ่งภายใต้ประมาณการกรณีพื้นฐานนั้น
ทริสเรทติ้ง คาดว่าโครงการภูผาม่านจะสร้างรายได้ที่จำนวน 15 ล้านบาทในปี 2566 และที่จำนวน 50-70 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568
โครงการจัดการขยะใน สปป. ลาว นั้นถือเป็นการลงทุนในต่างประเทศโครงการแรกของบริษัท โดยโครงการจะรับขยะชุมชนจากนครเวียงจันทน์เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel – RDF) แล้วจำหน่ายให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ ทริสเรทติ้งมองว่าการขาดประสบการณ์ของบริษัท
ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบ และความเสี่ยงในด้านการรับซื้อจะเป็นปัจจัยท้าทายที่สำคัญต่อผลการดำเนินงานที่บริษัทได้ตั้งเป้าไว้ โดยโครงการดังกล่าวน่าจะเริ่มดำเนินงานได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้และจะสร้างรายได้จำนวนประมาณ 20 ล้านบาทในปีแรกของการดำเนินงานและจะเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568
ทั้งนี้ ในระยะที่สองของโครงการนั้นบริษัทวางแผนจะก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ RDF เป็นวัตถุดิบเพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าของ สปป. ลาว (Electricite du Laos – EDL) เนื่องจากบริษัทยังไม่ได้มีการพัฒนาโครงการในระยะที่สองในปัจจุบัน ทริสเรทติ้งจึงได้รวมเฉพาะระยะของการผลิต RDF ไว้ในประมาณการกรณีพื้นฐานเท่านั้น
กำไรปี 2565 ลดต่ำลง
บริษัทรายงานผลกำไรที่ลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2565 โดย EBITDA ของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 156 ล้านบาทในปี 2565 จาก 416 ล้านบาทในปีก่อนหน้า กำไรที่อ่อนตัวลงนั้นเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ๆ ของบริษัทและต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์จากผลของความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน ที่สำคัญคือบริษัทไม่ได้รับเงินปันผลจาก บริษัท บีบีจีไอ ไบโอดีเซล จำกัด (BBGI Bio Diesel)
ซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 30% ทั้งนี้ BBGI Bio Diesel มีผลกำไรที่ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญจากราคาวัตถุดิบที่พุ่งสูงขึ้นและมาตรการของภาครัฐในการปรับลดส่วนผสมของไบโอดีเซลในเชื้อเพลิงเพื่อควบคุมราคาน้ำมันดีเซลเป็นสำคัญ
ผลการดำเนินงานจะฟื้นตัว
การคงอันดับเครดิตสะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่ากำไรของบริษัทจะฟื้นตัวกลับมา โดยโครงการที่มีความเป็นไปได้มากของบริษัทซึ่งได้แก่โรงไฟฟ้าพลังก๊าซชีวภาพภูผาม่าน ตลอดจนโครงการผลิตปิโตรเลียม L10/43 และ L11/43
รวมถึงโครงการจัดการขยะใน สปป. ลาว นั้นจะช่วยเพิ่มรายได้และกำไรให้แก่บริษัทตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าโครงการด้านพลังงานต่าง ๆ ที่มีอยู่ของบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากสมมติฐานที่บริษัทจะมีปริมาณวัตถุดิบเชื้อเพลิงเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ยิ่งกว่านั้น ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่า BBGI Bio Diesel จะมีผลกำไรที่ดีขึ้นและจะกลับมาจ่ายเงินปันผลที่เป็นกอบเป็นกำให้แก่บริษัทอีกครั้งหลังจากที่แรงกดดันด้านราคาต้นทุนวัตถุดิบเริ่มลดต่ำลง ในขณะที่มาตรการของภาครัฐในการปรับเพิ่มส่วนผสมไบโอดีเซลก็น่าจะช่วยฟื้นฟูอุปสงค์ในผลิตภัณฑ์ของ BBGI Bio Diesel ด้วยเช่นกัน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะอยู่ที่ 1.7-1.8 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568 ในขณะที่บริษัทจะได้รับเงินปันผลจาก BBGI Bio Diesel ที่จำนวน 120-160 ล้านบาทต่อปี ซึ่งโดยรวมแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมี EBITDA ที่ระดับ 340-380 ล้านบาทต่อปี
ระดับหนี้สินจะลดลง
การฟื้นตัวของกำไรและการลดลงของหนี้สินจากการขายเงินลงทุนบางส่วนใน UAPC น่าจะช่วยให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2-3 เท่าในระยะ 3 ปีข้างหน้าจากระดับสูงสุดที่ 7.6 เท่าในปี 2565
ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินน่าจะอยู่ที่ระดับ 30%-40% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนน่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับต่ำประมาณ 30% ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะไม่มีการลงทุนจำนวนมากในช่วงปี 2566-2568 โดยค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนและเงินลงทุนรวมทั้งหมดน่าจะอยู่ที่ประมาณ 250 ล้านบาทตลอดช่วงประมาณการ
โครงสร้างหนี้
ณ เดือนมีนาคม 2566 หนี้สินรวมของบริษัทซึ่งไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่ามีจำนวนรวมกันทั้งสิ้น 681 ล้านบาท ในจำนวนนี้ถือเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) ซึ่งประกอบด้วยหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทและหนี้เงินกู้ทั้งหมดของบริษัทย่อยที่จำนวน 73 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเมื่อเทียบกับหนี้สินรวมแล้วอยู่ที่ระดับ 11%
มีสภาพคล่องที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะบริหารจัดการสภาพคล่องได้อย่างเพียงพอ โดย ณ เดือนมีนาคม 2566 บริษัทมีหนี้สินระยะสั้นและระยะยาวที่จะครบกำหนดในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวนรวมกันทั้งสิ้น 193 ล้านบาทซึ่งบริษัทสามารถรองรับได้ด้วยเงินสดที่มีอยู่จำนวน 331 ล้านบาท ทั้งนี้ หุ้นกู้ชุดปัจจุบันของบริษัทจำนวน 500 ล้านบาทนั้นจะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2568
เงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้กำหนดให้บริษัทต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนที่ไม่เกิน 3 เท่า ซึ่งบริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าว ณ เดือนมีนาคม 2566 อยู่ที่ 0.3 เท่า ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงเวลาประมาณการ
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานสำคัญๆ ของทริสเรทติ้งในช่วงระหว่างปี 2566-2568 มีดังนี้
- รายได้จากการดำเนินงานรวมจะอยู่ที่ 1.7-1.8 พันล้านบาทต่อปี
- อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจซื้อมาขายไปจะอยู่ที่ระดับ 20%
- EBITDA Margin ของโครงการด้านพลังงานและปิโตรเลียมต่าง ๆ จะอยู่ที่ระดับ 16%-25% โดยเฉลี่ย
- เงินปันผลจาก BBGI Bio Diesel จะอยู่ที่ 120-160 ล้านบาทต่อปี
- ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนและเงินลงทุนรวมจะอยู่ที่จำนวนทั้งสิ้น 250 ล้านบาท
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’สะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่ากำไรของบริษัทจะฟื้นตัวดีขึ้นโดยมีปัจจัยหนุนจากกำไรที่เพิ่มมาจากโครงการใหม่ๆ ของบริษัทรวมถึงเงินปันผลที่ได้รับจาก BBGI Bio Diesel ทริสเรทติ้ง ยังคาดด้วยว่า บริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจซื้อมาขายไปเอาไว้ได้และจะยังคงดำเนินนโยบายการลงทุนที่รัดกุมต่อไปซึ่งน่าจะทำให้กำไรและระดับหนี้สินของบริษัทสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีค่อนข้างจำกัดในระยะใกล้แต่อาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มฐานกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเป็นไปได้ในกรณีที่โครงการใหม่ๆ ของบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งอย่างมีนัยสำคัญ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทไม่สามารถฟื้นกำไรคืนกลับมาได้หรือหากกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับภาระหนี้สินของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่าการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งเป็นอย่างมาก
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
บริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) (UAC)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html