WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

TRIS7 10ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง’ ที่ ‘BBB+’ แนวโน้ม ‘Stable’

ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘BBB+’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต’Stable’ หรือ ‘คงที่’โดยอันดับเครดิตดังกล่าวยังคงสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า

ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้า และความได้เปรียบจากการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรหรือบูรณาการในแนวดิ่ง (Vertical Integration) ของบริษัท

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่มีความท้าทายมากขึ้นรวมถึงความเสี่ยงจากธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้าซึ่งรวมไปถึงธุรกิจกัญชงและกัญชา การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการลดระดับภาระหนี้สินของบริษัทลงเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการเงินในการรองรับโอกาสการลงทุนใหม่ๆ อีกด้วย

 

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ธุรกิจผลิตไฟฟ้าสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอน

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความแน่นอนของกระแสเงินสดจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งเป็นแหล่งสร้างกำไรและการลงทุนหลักของบริษัทเป็นสำคัญ ปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังงานลมมากกว่า 100 แห่งในพื้นที่ที่หลากหลาย โดย ณ เดือนธันวาคม 2565 กำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเมื่อคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทมีจำนวนรวมทั้งสิ้น 600 เมกะวัตต์

โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ถือเป็นสัดส่วนหลักของสินทรัพย์ที่ผลิตไฟฟ้าของบริษัทโดยมีสัดส่วนประมาณ 85% ของกำลังการผลิตรวม จากการมีความเสี่ยงในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำ พลังงานแสงอาทิตย์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นพลังงานที่ผลิตกระแสไฟฟ้าและสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงตามการคาดการณ์ได้เป็นอย่างดี

ในทางตรงกันข้าม กระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานลมนั้นจะคาดการณ์ได้ยากกว่าโดยธรรมชาติอันเนื่องมาจากความผันผวนของความเร็วลม อย่างไรก็ตาม การมีต้นทุนในการดำเนินงานที่อยู่ในระดับต่ำก็ทำให้ผลการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) โดยเฉลี่ยของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทจะทรงตัวอยู่ในระดับที่น่าพอใจที่ประมาณ 80%

ธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัทมีความเสี่ยงจากการได้รับชำระเงินที่อยู่ในระดับต่ำ โดยโรงไฟฟ้าของบริษัทส่วนใหญ่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายไฟฟ้าที่เป็นหน่วยงานของภาครัฐ บริษัทยังได้ทำการขยายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาซึ่งจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมที่มีความน่าเชื่อถือภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชนอีกด้วย โดยกำลังการผลิตภายใต้รูปแบบดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของกำลังการผลิตรวมของบริษัท

 

ความเสี่ยงจากการลงทุนในต่างประเทศ

เช่นเดียวกับบริษัทผลิตไฟฟ้าอื่นๆ บริษัทได้ขยายธุรกิจไปในต่างประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยนอกจากการลงทุนในประเทศญี่ปุ่นและมาเลเซียแล้ว บริษัทยังเป็นเจ้าของและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 4 แห่งในประเทศเวียดนามซึ่งมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมกันที่ขนาด 160 เมกะวัตต์หรือคิดเป็นสัดส่วน 27% ของกำลังการผลิตรวมของบริษัทอีกด้วย

การลงทุนในประเทศเวียดนามมีความเสี่ยงของประเทศและความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโรงไฟฟ้าที่อยู่ในประเทศไทยแม้ในประเทศเวียดนามจะมีอุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างรวดเร็วก็ตาม โดยไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามมีความเสี่ยงจากการถูกจำกัดการรับซื้ออันเนื่องมาจากระบบสายส่งไฟฟ้าที่ยังไม่เพียงพอ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่าสถานะเครดิตของการไฟฟ้าเวียดนาม (Vietnam Electricity -- EVN) นั้นไม่แข็งแกร่งเท่ากับสถานะเครดิตของผู้รับซื้อไฟฟ้าภาครัฐในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าความเสี่ยงจากการลงทุนในต่างประเทศของบริษัทนั้นยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดย ณ เดือนธันวาคม 2565 การลงทุนในประเทศเวียดนามคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 13% ของสินทรัพย์รวมของบริษัท

 

การมีพันธมิตรเชิงกลยุทธ์

เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทได้มีการร่วมลงทุนกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าชั้นนำในประเทศไทยเพื่อร่วมกันจัดตั้ง บริษัท กัลฟ์ กันกุล คอร์เปอเรชั่น จำกัด (GGC) ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าที่เน้นลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจด้านนวัตกรรมพลังงานต่างๆ

ทั้งนี้ ในช่วงแรกบริษัทถือหุ้นทั้งหมดใน GGC แต่ต่อมาหลังจากการปรับโครงสร้างแล้ว ทั้งบริษัทและ GULF ต่างก็เป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากัน ณ ปัจจุบัน GGC ถือหุ้น 100% ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมจำนวน 3 แห่งที่มีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกันที่ขนาด 170 เมกะวัตต์ซึ่งเดิมบริษัทเป็นผู้ถือหุ้นเต็ม

เนื่องจากสัดส่วนที่บริษัทถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมทั้ง 3 แห่งลดลงเหลือ 50% ดังนั้น หนี้สินของโครงการเหล่านี้จึงถูกแยกออกไปจากงบดุลของบริษัท ทริสเรทติ้งคาดว่าการลงทุนร่วมกันเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ดังกล่าวจะสร้างประโยชน์ให้แก่บริษัททั้งในด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการลงทุนและการขยายโอกาสทางธุรกิจ

 

ธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีความท้าทายมากยิ่งขึ้น

ทริสเรทติ้ง มองเห็นถึงโอกาสในการเติบโตของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในประเทศไทยซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากโควตารอบใหม่ของภาครัฐที่รับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในธุรกิจผลิตไฟฟ้าก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นจากการมีผู้ประกอบการจำนวนมากตั้งแต่ขนาดเล็กมากไปจนถึงขนาดใหญ่ นอกจากนี้ อัตราค่าไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะลดต่ำลงจากในอดีตอีกด้วย

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนจำนวนไม่เกิน 5,203 เมกะวัตต์ซึ่งรวมถึงไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมด้วย โดยโครงการเหล่านี้จะเริ่มเปิดดำเนินการในช่วงระหว่างปี 2567-2573 และทาง กกพ. ก็กำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการประกาศผลผู้ชนะในเดือนเมษายน 2566 นี้

จากโอกาสดังกล่าวนี้ บริษัทได้ยื่นการเสนอจำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมจำนวนหลายโครงการซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกันมากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ จากสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้สัญญาจำหน่ายไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังงานลมแห่งใหม่ๆ มาอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม อัตราค่าไฟฟ้าที่ค่อนข้างต่ำที่ 2.17 บาทต่อหน่วยสำหรับไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์และ 3.1 บาทต่อหน่วยสำหรับไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานลมจะเป็นปัจจัยท้าทายที่สำคัญในการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ในการนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ที่จำนวน 50-100 เมกะวัตต์ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า

 

มีความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในธุรกิจอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้า

ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะยังคงรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจจัดหาและผลิตอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้าเอาไว้ได้โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการมีประสบการณ์ในตลาดมาเป็นเวลานานรวมทั้งการมีสินค้าที่มีความหลากหลายและครอบคลุมทุกขั้นตอนของระบบการส่งและจำหน่ายไฟฟ้า

โดยแม้การแข่งขันจะมีความรุนแรง แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าธุรกิจอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้าจะสร้างรายได้ให้แก่บริษัทที่ปีละประมาณ 2 พันล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้าโดยบริษัทจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 20%

ทริสเรทติ้ง มองว่าบริษัทจะยังคงได้ประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรเนื่องจากธุรกิจทั้ง 3 กลุ่มของบริษัทซึ่งประกอบไปด้วยธุรกิจอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้า ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้นมีส่วนส่งเสริมซึ่งกันและกันโดยธรรมชาติ

ในฐานะผู้รับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้าและผู้จัดหาอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้า บริษัทสามารถให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One-stop Service) แก่เจ้าของโครงการซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มยอดขายอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้า อีกทั้งยังทำให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการก่อสร้างโครงการได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ หากบริษัทได้สัญญาจำหน่ายไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ๆ ก็จะช่วยให้ทั้งธุรกิจผลิตไฟฟ้า รวมทั้งธุรกิจอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้าและธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเติบโตขึ้นไปพร้อมๆ กันอีกด้วย

 

ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างคาดว่าจะเติบโตขึ้น

บริษัทยังคงสร้างผลงานในการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องตามแผนในการนำบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจก่อสร้างเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ทริสเรทติ้ง คาดว่า รายได้จากงานก่อสร้างของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 2-2.4 พันล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2566-2568 จาก 1.9 พันล้านบาทในปี 2565

ซึ่งการที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ก็น่าจะทำให้บริษัทได้ประโยชน์จากการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ที่เกิดจากโควตารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่

ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างโดยทั่วไปแล้วจะมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับต่ำและมีความผันผวนมากกว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าอันเนื่องมาจากความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องหลายประการ เช่น การแข่งขันที่รุนแรง ความล่าช้าในการประมูลงานและว่าจ้าง รวมถึงการชะลอโครงการที่ไม่คาดคิดและต้นทุนโครงการที่สูงกว่าคาด

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพของบริษัทจะช่วยรักษาอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างให้ทรงตัวอยู่ได้ในระดับ 10%-15% ในช่วงระหว่างปี 2566-2568 

 

ความเสี่ยงจากการลงทุนในธุรกิจใหม่

เมื่อเร็วๆ นี้บริษัทได้ลงทุนในธุรกิจใหม่คือการปลูกและการทำผลิตภัณฑ์กัญชงและกัญชา โดยปัจจุบันบริษัทกำลังทำการปลูกกัญชงและกัญชาเพื่อที่จะนำไปใช้ผลิตสินค้าต้นน้ำและกลางน้ำ เช่น ช่อดอกแห้ง น้ำมันซีบีดีแบบเต็มสเป็คตรัม (Full Spectrum Cannabidiol (CBD)) และสารสกัดซีบีดี (CBD Isolate) ด้วยการใช้พื้นที่ว่างในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมแห่งหนึ่งของบริษัท

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ถือหุ้นสัดส่วน 50% ใน บริษัท ทีเอชซีจี กรุ๊ป จำกัด (THCG) ซึ่งเป็นผู้ผลิตกัญชงและกัญชาในประเทศไทยอีกด้วย

แม้จะมีโอกาสในการเติบโต แต่ธุรกิจใหม่ดังกล่าวยังคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการดำเนินการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎระเบียบที่ไม่ชัดเจน ทั้งนี้ อุปสงค์กัญชงและกัญชาในประเทศที่ชะลอตัวทำให้บริษัทต้องหันไปมองหาตลาดในต่างประเทศ เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวยังอยู่ในช่วงแรกของการพัฒนา

ทริสเรทติ้ง จึงคาดว่า ธุรกิจกัญชงและกัญชาจะสร้างรายได้ที่ไม่สูงนักที่ระดับ 100-200 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568 นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งก็ไม่ได้คาดหมายว่าบริษัทจะมีการลงทุนเชิงรุกในธุรกิจกัญชงและกัญชา และด้วยขนาดการลงทุนในปัจจุบัน ธุรกิจใหม่ดังกล่าวก็ไม่น่าจะสร้างผลกระทบที่มีสาระสำคัญต่อสถานะทางการเงินของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า

 

ผลการดำเนินงานน่าจะยังคงแข็งแรง

ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะยังมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากปัจจัยสนับสนุนคือกำไรที่แน่นอนจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท โดยสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ที่มาจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมรวมกันที่จำนวน 250 เมกะวัตต์ ในช่วงระหว่างปี 2566-2568 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมของโครงการโรงไฟฟ้าเมื่อคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 850 เมกะวัตต์

ทริสเรทติ้ง คาดว่า โครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ของบริษัทส่วนใหญ่จะถูกพัฒนาผ่านกิจการร่วมค้า โดยการลงทุนในรูปแบบดังกล่าวจะสร้างส่วนแบ่งกำไรและเงินปันผลแทนการรับรู้รายได้ ซึ่งสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะอยู่ในช่วง 7.2-8.2 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568 โดยลดลงจาก 9.4 พันล้านบาทในปี 2564 ซึ่งเป็นผลจากการแยกรายได้ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมทั้ง 3 แห่งออกไปจากงบการเงินรวมของบริษัท

ในภาพรวมนั้นทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมี EBITDA อยู่ที่ระดับ 3.7-4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568 ซึ่งลดลงจากระดับสูงสุดที่ 4.7 พันล้านบาทในปี 2564 ทั้งนี้ การลดลงของ EBITDA นั้นเกิดจากการลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมทั้ง 3 แห่ง

ในขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่สร้างใหม่นั้นต้องใช้เวลาในการพัฒนากว่าจะสร้างผลกำไรได้ ทั้งนี้ EBITDA Margin ของบริษัทน่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 50% ในช่วงประมาณการภายใต้การคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทจะยังมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อไป

 

ภาระหนี้สินน่าจะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้

การลดสัดส่วนความเป็นเจ้าของของบริษัทในโรงไฟฟ้าพลังงานลมทั้ง 3 แห่งไม่เพียงแต่จะทำให้บริษัทได้รับเงินสดจำนวน 5 พันล้านบาท แต่ยังช่วยให้บริษัทไม่ต้องนับรวมหนี้สินของโครงการเหล่านี้ที่จำนวนประมาณ 6.3 พันล้านบาทอีกด้วย

ทั้งนี้ การลดระดับหนี้สินลงดังกล่าวและกลยุทธ์ของบริษัทที่จะพัฒนาโครงการลงทุนใหม่ ๆ ส่วนใหญ่ผ่านกิจการร่วมค้าน่าจะช่วยให้บริษัทไม่ต้องเผชิญกับภาระหนี้ที่สูงเกินไปและยังช่วยให้บริษัทสามารถขยายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าได้อย่างคล่องตัวอีกด้วย

ทริสเรทติ้ง คาดว่า เงินลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและกิจการร่วมทุนของบริษัทจะอยู่ในช่วง 2.5-3 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568 ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 4 เท่าและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนน่าจะแกว่งตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 50% ในช่วงเวลาประมาณการ

 

การดำเนินงานไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากประเด็นด้านกฏหมายที่เกี่ยวข้องกับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม

ปัจจุบันบริษัทมีประเด็นในด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเพิกถอนโฉนดที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมแห่งหนึ่งของบริษัท โดยผู้บริหารของบริษัทคาดว่ากรณีเลวร้ายที่สุดน่าจะเป็นการที่บริษัทต้องตัดจำหน่ายที่ดินดังกล่าวซึ่งบริษัทถือกรรมสิทธิ์อยู่ออกไป ซึ่งในกรณีนี้โรงไฟฟ้าพลังงานลมดังกล่าวจะยังสามารถดำเนินงานต่อไปได้โดยผ่านการเช่าที่ดิน

ทั้งนี้ เนื่องจากประเด็นด้านกฎหมายดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนและน่าจะต้องใช้ระยะเวลานาน จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของบริษัทในระยะเวลาอันใกล้นี้

 

โครงสร้างหนี้

ณ เดือนธันวาคม 2565 หนี้เงินกู้รวมของบริษัทซึ่งไม่นับรวมหนี้สินตามสัญญาเช่ามีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 1.47 หมื่นล้านบาทซึ่งจำนวน 1.01 หมื่นล้านบาทถือเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) โดยประกอบด้วยหนี้เงินกู้ที่มีหลักประกันของบริษัทและหนี้เงินกู้ทั้งหมดของบริษัทย่อยต่างๆ

ทำให้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 69% ซึ่งส่งผลทำให้เจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทมีความด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาจากลำดับสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัท

 

สภาพคล่องน่าจะยังบริหารจัดการได้

ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะยังคงบริหารจัดการสภาพคล่องได้อย่างเหมาะสมต่อไป โดยบริษัทมีหนี้ประมาณ 2.3 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดชำระภายในปี 2566 นี้ ในขณะที่ ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้รวมกับเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดประมาณ 5.6 พันล้านบาท

ซึ่งน่าจะเพียงพอรองรับภาระหนี้ที่จะครบกำหนดได้ทั้งจำนวน ทั้งนี้ บริษัทวางแผนจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้จำนวนประมาณ 0.9 พันล้านบาทที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนเมษายน 2566 นี้

ข้อกำหนดทางการเงินที่สำคัญของหุ้นกู้ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนไม่ให้เกิน 3 เท่า ซึ่ง ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทปฏิบัติได้ตามข้อกำหนดเนื่องจากอัตราส่วนดังกล่าวของบริษัทอยู่ที่ 0.9 เท่า ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวต่อไปได้ตลอดช่วงเวลาประมาณการ

 

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

สมมติฐานกรณีพื้นฐานที่สำคัญๆ ของทริสเรทติ้งในช่วงระหว่างปี 2566-2568 มีดังนี้

  • กำลังการผลิตรวมตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าเมื่อคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 850 เมกะวัตต์ในอีก 3 ปีข้างหน้า
  • บริษัทจะได้รับสัญญาก่อสร้างใหม่จำนวน 2 พันล้านบาทต่อปี
  • รายได้จากการดำเนินงานรวมจะอยู่ที่ 7.2-2 พันล้านบาทต่อปี
  • EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับประมาณ 50%
  • เงินลงทุนรวมจะอยู่ในช่วง 2.5-3 พันล้านบาทต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจต่อไป อีกทั้งจะสร้างกระแสเงินสดจำนวนมากและมั่นคงได้ตามที่วางแผนไว้ ในขณะที่ธุรกิจอื่นๆ ของบริษัทจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในช่วงประมาณการด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่ากำไรและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทจะยังคงสอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง

 

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทดีกว่าประมาณการของทริสเรทติ้งหรือระดับกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับภาระหนี้สินของบริษัทยังปรับตัวดีขึ้นต่อไป ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีสาระสำคัญ

ซึ่งเหตุดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ ต่ำกว่าการคาดการณ์อย่างมีนัยสำคัญหรือบริษัทมีการลงทุนขนาดใหญ่โดยการก่อหนี้จำนวนมาก

 

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

 

 

บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (GUNKUL)

อันดับเครดิตองค์กร:

BBB+

แนวโน้มอันดับเครดิต:

Stable

 

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com 

ติดต่อ [email protected]  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

       © บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้

    ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

 

Click Donate Support Web  

kasat 720x100

QIC 720x100

วิริยะ 720x100

AXA 720 x100

aia 720 x100

BKI 720 x 100

PTG 720x100ais 720x100 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!