- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 05 March 2023 09:01
- Hits: 1717
ทริสเรทติ้ง เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ‘บ.ทีพีไอ โพลีน’ เป็น ‘A-‘ จาก ‘BBB+’ และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 5 พันล้านบาท ที่’A-‘
ทริสเรทติ้ง ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) มาอยู่ที่ระดับ ‘A-‘ จากระดับ ‘BBB+’ โดยการปรับเพิ่มอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นสินค้าเคมีภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูงและการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
ทริสเรทติ้ง ยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ของบริษัทในวงเงินไม่เกิน 5 พันล้านบาทที่ระดับ ‘A-‘ ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดนี้ไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดปัจจุบันที่จะครบกำหนด รวมถึงใช้รองรับการลงทุนต่าง ๆ และใช้เป็นเงินหมุนเวียนอีกด้วย
อันดับเครดิตสะท้อนถึงตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศไทย ตลอดจนตำแหน่งผู้นำในตลาด Ethylene Vinyl Acetate (EVA) การมีกระแสเงินสดที่เชื่อถือได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้า และผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนจากการทยอยหมดอายุของส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) และความเสี่ยงจากการลงทุนใน ‘โครงการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ’ (Special Economic Zone -- SEZ)
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น
บริษัทมีผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยรายได้จากการดำเนินงานรวมและกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 5.04 หมื่นล้านบาทและ 1.32 หมื่นล้านบาท ตามลำดับในปี 2565
ขณะที่ EBITDA Margin (อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้) ของบริษัทก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 25%-30% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจาก 10%-20% ในช่วงหลายปีก่อนหน้า การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของกำไรทำให้สถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีสาระสำคัญโดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ลดลงมาอยู่ในระดับ 4.7 เท่าในปี 2565 ซึ่งต่ำกว่าระดับเกินกว่า 6 เท่าในอดีต
ความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจากกลยุทธ์ของบริษัทที่เน้นสินค้าเคมีภัณฑ์เกรดพิเศษ ส่งผลให้อัตรากำไรของธุรกิจโพลิเมอร์ปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ความพยายามอย่างต่อเนื่องของบริษัทในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตก็ทำให้ผลการดำเนินงานของธุรกิจวัสดุก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน
กำไรจะยังคงแข็งแรง
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะยังมีผลการดำเนินงานที่ดีในช่วง 3 ปีข้างหน้า แม้ว่า Adder จะหมดอายุแต่ผลการดำเนินงานของธุรกิจผลิตไฟฟ้าก็อาจจะไม่ถดถอยลงอย่างที่เคยคาดการณ์ไว้จากต้นทุนเชื้อเพลิงที่จะลดลง โดยเป็นผลจากโครงการทดแทนเชื้อเพลิงถ่านหินด้วยการใช้เชื้อเพลิงขยะชุมชนทั้งหมดในโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการอยู่ (TG7 และ TG8) และมาตรการลดต้นทุนอื่นๆ ซึ่งจะช่วยชดเชยกำไรที่จะหายไปจากการหมดอายุของ Adder ได้ ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าธุรกิจโพลิเมอร์ของบริษัทจะได้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์สินค้า EVA เกรดพิเศษ ในขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศน่าจะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจวัสดุก่อสร้างของบริษัทเติบโตได้
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2568 ในขณะที่ EBITDA Margin น่าจะอยู่ที่ระดับ 24%-26% ในปี 2566 และปรับตัวดีขึ้นเป็น 26%-29% ในช่วงปี 2567-2568 จากมาตรการลดต้นทุนต่าง ๆ ของบริษัทซึ่งรวมไปถึงโครงการทดแทนถ่านหินด้วย ทั้งนี้ EBITDA ของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับ 1.25-1.35 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ข้อดีจากการมีธุรกิจที่หลากหลาย
รายได้หลักของบริษัทมาจาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง (48% ของรายได้รวมในปี 2565) ธุรกิจโพลิเมอร์ (35%) และธุรกิจผลิตไฟฟ้า (17%) ในแง่ของกระแสเงินสดนั้น ธุรกิจผลิตไฟฟ้าสร้างกระแสเงินสดในสัดส่วน 30%-60% ของ EBITDA รวมของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ธุรกิจปูนซีเมนต์และโพลิเมอร์ก็สร้างผลกำไรให้กับบริษัทเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าช่วยชดเชยความผันผวนของธุรกิจปูนซีเมนต์และโพลิเมอร์ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ประโยชน์จากการพึ่งพาตลาดที่แตกต่างกัน เช่น รายได้จากปูนซีเมนต์ส่วนใหญ่มาจากอุปสงค์ภายในประเทศ ในขณะที่รายได้จากโพลิเมอร์มาจากตลาดส่งออกเป็นหลัก
มีความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในตลาดปูนซีเมนต์
บริษัทเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศด้วยกำลังการผลิตต่อปีที่ 13.5 ล้านตัน ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทเกิดจากการมีธุรกิจขนาดใหญ่ การดำเนินธุรกิจปูนซีเมนต์ที่ครบวงจรในแนวดิ่ง (Vertical Integration) และการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย อาทิ ปูนซีเมนต์ คอนกรีต ไฟเบอร์ซีเมนต์ กระเบื้องคอนกรีต คอนกรีตมวลเบา และปูนสำเร็จรูป
อย่างไรก็ตาม ความเข้มแข็งในธุรกิจปูนซีเมนต์ดังกล่าวถูกลดทอนจากวงจรอุตสาหกรรมที่มีลักษณะขึ้นลง การแข่งขันด้านราคา ลักษณะของธุรกิจที่ต้องใช้เงินทุนสูง และความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงถ่านหิน ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถรักษาข้อได้เปรียบในด้านต้นทุนเอาไว้ได้จากการเชื่อมโยงระหว่างโรงปูนซีเมนต์และโรงไฟฟ้า บริษัทมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงโรงปูนซีเมนต์และโรงไฟฟ้า
โดยมุ่งหวังจะทดแทนการใช้ถ่านหินด้วยเชื้อเพลิงขยะชุมชน ทริสเรทติ้งคาดว่าความพยายามในการทดแทนถ่านหินนี้จะช่วยประหยัดต้นทุนลงได้ปีละ 2-3 พันล้านบาทซึ่งบริษัทจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ในปี 2569
โดยต้นทุนการผลิตปูนซีเมนต์ของบริษัทน่าจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากเริ่มมีการนำเชื้อเพลิงขยะชุมชนมาใช้และการเปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้า TG7 และ TG8 แล้วเสร็จ รวมถึงการเปิดดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ขนาด 61 เมกะวัตต์และโรงไฟฟ้าพลังลมขนาด 5 เมกะวัตต์ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ของบริษัท
ทริสเรทติ้ง คาดการณ์ว่าธุรกิจปูนซีเมนต์ของบริษัทจะเติบโตได้พอประมาณโดยสร้างรายได้ในระดับ 2.1-2.2 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2568 จากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจหลังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) สิ้นสุดลง ซึ่งแผนของบริษัทที่จะปรับขึ้นราคาขายปูนซีเมนต์และการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพน่าจะช่วยให้อัตรากำไรของธุรกิจนี้ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
เป็นผู้นำในตลาด EVA และ LDPE
บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิต EVA, LDPE (Low Density Polyethylene) และสินค้ากาวเคมีชั้นนำของประเทศไทยโดยมีกำลังการผลิตรวม 158,000 ตันต่อปี ทั้งนี้ โรงงานโพลิเมอร์ของบริษัทตั้งอยู่ในโครงการปิโตรเคมีครบวงจรขนาดใหญ่ในจังหวัดระยอง
บริษัทเป็นเพียงผู้ผลิตรายเดียวในประเทศไทยที่สามารถผลิต EVA ได้ โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้หันมามุ่งเน้นสินค้า EVA เกรดพิเศษ เช่น ฟิล์ม EVA สำหรับ แผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งสินค้าเหล่านี้มีอัตรากำไรที่สูงกว่า LDPE ที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วไป รายได้จากการจำหน่าย EVA เพิ่มขึ้นเท่าตัวมาอยู่ที่ระดับ 1-1.3 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2565 จากประมาณ 6 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2563
โดยในปี 2565 สินค้า EVA เกรดพิเศษคิดเป็นสัดส่วน 65% ของรายได้จากธุรกิจโพลิเมอร์ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำกว่า 40% ในช่วงหลายปีก่อนหน้า
ธุรกิจโพลิเมอร์ของบริษัทมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา อย่างไรก็ตาม สินค้าโพลิเมอร์ที่เป็นเกรดพิเศษ เช่น สินค้า EVA ที่มีคุณภาพสูงและสินค้ากาวเคมีของบริษัทนั้นโดยทั่วไปแล้วจะมีอัตรากำไรที่ค่อนข้างสูง ซึ่งช่วยลดลกระทบจากความผันผวนของราคาลงได้ ในอนาคต ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจโพลิเมอร์ของบริษัทจะยังมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจเมื่อพิจารณาถึงอุปสงค์จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วโลกที่กำลังเติบโตขึ้น อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างราคาและอัตรากำไรคาดว่าจะปรับลดลงมาอยู่ในระดับปกติในช่วงปี 2566-2568 จากระดับที่สูงกว่าปกติในปี 2565
กระแสเงินสดที่มั่นคงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า
อันดับเครดิตของบริษัทได้รับการสนับสนุนจากสถานะเครดิตที่เข้มแข็งของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยหลัก โดยบริษัททีพีไอ โพลีน เพาเวอร์เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะรายใหญ่ในประเทศไทย และเป็นเจ้าของและดำเนินงานโรงไฟฟ้าจำนวนทั้งสิ้น 8 แห่งซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 440 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าจำนวน 4 แห่ง (180 เมกะวัตต์) มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 3 ฉบับเพื่อจำหน่ายไฟฟ้าขนาด 163 เมกะวัตต์ให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) (อันดับเครดิต ‘AAA/Stable’) สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ. นั้นช่วยลดความเสี่ยงด้านอุปสงค์และการชำระเงินได้เป็นอย่างมาก ขณะที่ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าที่น่าพอใจทำให้ธุรกิจผลิตไฟฟ้าสร้างกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ให้กับกลุ่มบริษัท
การหมดอายุของ Adder จะทำให้การสร้างเงินสดลดลง โดยทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะอยู่ที่ระดับ 7-8 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2568 ลดลงจากระดับเดิมในอดีตที่ 8-9 พันล้านบาทต่อปี แม้รายได้จากการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. จะลดต่ำลงแต่มาตรการในการลดต้นทุนต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงการใช้เชื้อเพลิงขยะทดแทนการใช้ถ่านหินก็น่าจะช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าและการผลิตปูนซีเมนต์ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ และทำให้ภาพรวมกำไรของบริษัทปรับตัวดีขึ้น
โครงการ SEZ ถูกชะลอ
บริษัทได้เตรียมการลงทุนขนาดใหญ่ในการพัฒนาโครงการ SEZ ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ของประเทศไทย (Southern Seaboard) โดยโครงการดังกล่าวจะประกอบไปด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ ท่าเรือน้ำลึก และนิคมอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม โครงการ SEZ ถูกสั่งให้หยุดดำเนินการไว้ก่อน เนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้ดำเนินการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment) หลังจากเผชิญกับการคัดค้านอย่างรุนแรงจากผู้อยู่อาศัยในอำเภอจะนะ ซึ่งอาจทำให้บริษัทเผชิญกับความเสี่ยงจากการลงทุน เนื่องจากบริษัทได้จัดซื้อที่ดินในอำเภอจะนะไปแล้วรวมมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ผู้บริหารของบริษัทยังเชื่อมั่นว่าโครงการจะยังต้องดำเนินต่อไปเนื่องจากเป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศและได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว
หนี้สินจะยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้
งบลงทุนของบริษัทจะถูกใช้ในการปรับปรุงโรงงานและก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เป็นส่วนใหญ่ โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 6.5-8.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567 และลดลงเป็นประมาณ 3 พันล้านบาทในปี 2568 ทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับ 4-5 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้า ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนน่าจะอยู่ที่ระดับ 40%-50% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินน่าจะอยู่ในช่วง 15%-20% ตลอดช่วงประมาณการ
มีการพึ่งพาเงินทุนจากหุ้นกู้ในระดับสูง
ณ สิ้นปี 2565 หนี้รวมของบริษัทไม่รวมสัญญาเช่าการเงินมีจำนวน 7.09 หมื่นล้านบาทซึ่งในจำนวนนี้ประมาณ 94% เป็นหุ้นกู้ไม่มีหลักประกัน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังใช้หุ้นกู้เป็นแหล่งเงินทุนหลักต่อไปเมื่อพิจารณาจากทางเลือกของผู้บริหารและประวัติในการระดมทุนของบริษัทในตลาดตราสารหนี้ ทำให้ความสามารถในการรีไฟแนนซ์ของบริษัทจะยังคงขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดตราสารหนี้
ทริสเรทติ้ง เชื่อว่าบริษัทจะบริหารสภาพคล่องได้อย่างเพียงพอ โดยเมื่อพิจารณาถึงผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นแล้วบริษัทก็น่าจะสามารถออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดได้ ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2565 แหล่งที่มาของเงินทุนได้แก่ เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นรวมกันจำนวน 1.12 หมื่นล้านบาท รวมถึงเงินทุนจากการดำเนินงานซึ่งคาดว่าจะมีประมาณ 9.3 พันล้านบาทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าซึ่งเพียงพอจะใช้ชำระคืนเงินกู้ที่จะครบกำหนดจำนวน 1.73 หมื่นล้านบาทได้
บริษัทยังคงสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้ได้ ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวกำหนดให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต้องอยู่ต่ำกว่า 1.5 เท่า ในขณะที่ ณ เดือนธันวาคม 2565 อัตราส่วนดังกล่าวของบริษัทอยู่ที่ 1.1 เท่า
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- รายได้จากการดำเนินงานรวมจะอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2568
- EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 24%-26% ในปี 2566 และปรับเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 26%-29% ในระหว่างปี 2567-2568
- เงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ 6.5-8.5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 และลดลงเป็นประมาณ 3 พันล้านบาทในปี 2568\
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต’Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ โดยมาตรการลดต้นทุนต่างๆ ของบริษัทซึ่งรวมไปถึงโครงการทดแทนถ่านหินน่าจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทและช่วยชดเชยกำไรที่หายไปจากการหมดอายุของ Adder โรงไฟฟ้าได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง
โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีค่อนข้างจำกัดในเวลาอันใกล้ แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ
ซึ่งอาจเกิดจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้และ/หรือการลงทุนโดยใช้หนี้เงินกู้อย่างเกินตัวจนทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้นเกินกว่า 6 เท่าเป็นระยะเวลานาน นอกจากนี้ การสูญเสียส่วนทุนจำนวนมากจากคดีฟ้องร้องที่ยังคงค้างอยู่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจส่งผลลบต่ออันดับเครดิตได้เช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565 |
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564 |
บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL)
อันดับเครดิตองค์กร: |
A- |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
TPIPL234A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,640.5 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
A- |
TPIPL241A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
A- |
TPIPL244A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,127 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
A- |
TPIPL24NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,515.3 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
A- |
TPIPL251A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,888 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
A- |
TPIPL256A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
A- |
TPIPL25NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,410.7 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
A- |
TPIPL264A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
A- |
TPIPL269A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
A- |
TPIPL26NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,532.8 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
A- |
TPIPL272A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,042.2 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
A- |
TPIPL276A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,745 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
A- |
TPIPL27NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,994 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
A- |
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 7 ปี |
A- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดั
งนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html