WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

TRIS4ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ‘บ.บ้านปู’ ที่’A+’ แนวโน้ม ‘Stable’

ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘A+’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต’Stable’ หรือ ‘คงที่’โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในอุตสาหกรรมถ่านหินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ตลอดจนการมีกระแสเงินสดที่ค่อนข้างแน่นอนจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า รวมถึงความก้าวหน้าของการเปลี่ยนผ่านธุรกิจไปสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานที่สะอาดยิ่งขึ้นภายใต้กลยุทธ์ ‘Greener, Smarter’(การดำเนินธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างชาญฉลาด) ของบริษัท

ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความผันผวนของราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ตลอดจนแนวโน้มราคาถ่านหินที่จะลดลงในช่วง 3 ปีข้างหน้าจากการที่ประเทศจีนจะชะลอการนำเข้าถ่านหินและความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศต่างๆ ทั่วโลก

 

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

เป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมผลิตถ่านหินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ผลิตถ่านหินชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดยบริษัทมีเหมืองถ่านหินที่ดำเนินการอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และจีน ณ เดือนกันยายน 2565 บริษัทมีปริมาณสำรองถ่านหินที่เหมืองในประเทศอินโดนีเซียและออสเตรเลียรวมทั้งสิ้นจำนวน 535 ล้านตัน โดยปริมาณสำรองถ่านหินที่เหมืองอินโดนีเซียมีปริมาณการผลิตนานประมาณ 17 ปีและที่เหมืองออสเตรเลียนานเกินกว่า 25 ปี

ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมียอดขายถ่านหินจากเหมืองอินโดนีเซียและออสเตรเลียรวมทั้งจากกิจการค้าถ่านหินอื่นๆ ที่ประมาณ 30 ล้านตันในปี 2565  

บริษัทมีฐานลูกค้าที่หลากหลาย โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 สัดส่วนยอดขายของบริษัทจากธุรกิจถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียประมาณ 34% มาจากลูกค้าในประเทศจีน อีก 20% มาจากลูกค้าในประเทศอินโดนีเซีย และ 13% มาจากลูกค้าในประเทศญี่ปุ่น

ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าหลักของเหมืองในประเทศออสเตรเลียของบริษัทเป็นกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าภายในประเทศออสเตรเลียเอง ส่วนที่เหลือเป็นลูกค้าในประเทศฟิลิปปินส์ อินเดีย ไทย และประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ผลการดำเนินงานแข็งแกร่งจากราคาถ่านหินที่อยู่ในระดับสูง

ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2565 มีทิศทางที่ดีมากเป็นประวัติการณ์ โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 เพิ่มขึ้น 168% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 2.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

โดย EBITDA ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนี้เป็นผลมาจากราคาถ่านหินและราคาก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้นจากผลของความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซียและยูเครน ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 โดยดัชนี ราคาถ่านหิน Newcastle Coal Price Index (6000 kcal) เพิ่มขึ้น 193% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 357 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565

ส่วนราคาขายเฉลี่ยของบริษัทก็เพิ่มขึ้น 102% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 162 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ทั้งนี้ กำไรขั้นต้นในธุรกิจถ่านหินของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 57% ในช่วง
9 เดือนแรกของปี 2565 จากระดับ 39% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ดี ปริมาณการผลิตถ่านหินรวมของบริษัทนั้นยังคงลดลงในช่วงปี 2564-2565 โดยมีสาเหตุหลักมาจากสภาพอากาศที่มีฝนตกชุกซึ่งกระทบการผลิตถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียรวมถึงการขาดแคลนแรงงานในเหมืองที่ประเทศออสเตรเลีย

โดยบริษัทมีปริมาณการผลิตถ่านหินในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยเหลือ 22.9 ล้านตัน ทั้งนี้ ทริสเรทติ้ง คาดว่า ยอดขายถ่านหินของบริษัทจะฟื้นตัวในปี 2567 จากผลผลิตถ่านหินจากเหมืองแห่งใหม่ในประเทศอินโดนีเซียที่บริษัทได้ซื้อไว้ในระหว่างปี 2560-2561 และจากแผนการปรับปรุงการดำเนินงานที่เหมืองของบริษัทในประเทศออสเตรเลีย

ทริสเรทติ้ง คาดการณ์ว่า ราคาถ่านหิน Newcastle จะลดลงมาอยู่ที่ 150 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในปี 2566 ก่อนที่จะกลับเข้าสู่ระดับปรกติที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในปี 2567 ทั้งนี้ ประมาณการราคาถ่านหินของทริสเรทติ้งซึ่งแตกต่างจากมุมมองของบริษัทนั้นเป็นการสะท้อนการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปี 2566 จะชะลอตัวและประเทศจีนจะมีนโยบายเพิ่มการผลิตถ่านหินภายในประเทศ ซึ่งอาจทำให้อุปสงค์การนำเข้าถ่านหินของจีนลดลง นอกจากนี้ ทริสเรทติ้ง ยังคาดการณ์ว่า ยอดขายถ่านหินของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 33-41 ล้านตันต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 อีกด้วย

 

บทบาทที่แข็งแกร่งขึ้นในอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐ ฯ

ธุรกิจผลิตก๊าซธรรมชาติจากชั้นหินดินดาน (Shale Gas) ของบริษัทมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นหลังจากที่บริษัทได้ซื้อกิจการก๊าซธรรมชาติ North Texas มูลค่า 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งช่วยให้กำลังการผลิตสุทธิเพิ่มขึ้นอีก 225 ล้านลูกบาศก์ฟุต (ลบ.ฟ.) ต่อวัน และทำให้กำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติรวมของกลุ่มเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 900 ล้าน ลบ.ฟ. ต่อวัน ทั้งนี้ แหล่งก๊าซธรรมชาติแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับแหล่งก๊าซธรรมชาติ Barnett ที่มีอยู่ของเดิมของบริษัท

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 แหล่งก๊าซธรรมชาติของบริษัทยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและสร้าง EBITDA ที่ประมาณ 848 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่บริษัท โดยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งนี้เป็นผลมาจากราคาก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้นและผลผลิตที่ได้มาเพิ่มเติมจากแหล่ง North Texas ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565

ทั้งนี้ ราคาก๊าซธรรมชาติ Henry Hub ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 87% เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ประมาณ 6.75 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู (Million British Thermal Unit -- MMBTU) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ส่วนยอดขายก๊าซธรรมชาติก็เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 197 พันล้าน ลบ.ฟ. (Billion Cubic Feet -- bcf)

ทริสเรทติ้ง ประมาณการว่า ยอดขายก๊าซธรรมชาติของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 310-340 พันล้าน ลบ.ฟ. ในระหว่างปี 2566-2567 จากประมาณ 275-285 พันล้าน ลบ.ฟ. ในปี 2565 โดยส่วนเพิ่มนี้ส่วนใหญ่จากการรับรู้การผลิตเต็มปีจากแหล่ง North Texas ที่บริษัทเพิ่งซื้อกิจการเข้ามาใหม่

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตจากแหล่งก๊าซแต่ละแห่งที่มีอยู่แล้วในช่วงที่ก๊าซธรรมชาติมีราคาสูงอีกด้วย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าธุรกิจก๊าซธรรมชาติของบริษัทจะสร้าง EBITDA ที่ประมาณ 620-780 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2567 ซึ่งคิดเป็น 45%-55% ของ EBITDA ของทั้งกลุ่ม

 

การลงทุนในธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น (Greener)

การลงทุนในธุรกิจพลังงานของบริษัทจะให้ความสำคัญกับโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาบริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ประมาณ 300 เมกะวัตต์ ส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้ารวมเป็นประมาณ 4,300 เมกะวัตต์ ณ เดือนกันยายน 2565 ซึ่งส่วนที่เพิ่มขึ้นมานี้รวมการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาที่ประเทศจีน (Zhengding Solar Rooftop)

รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม 3 แห่ง (Ha Tinh Project, Chu Ngoc Project, และ Nhon Hai Projects) ซึ่งมีกำลังการผลิตรวมกันที่ขนาด 100 เมกะวัตต์ ตลอดจนโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์อื่นๆ ในประเทศไทยและอินโดนีเซีย การลงทุนดังกล่าวช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่พอร์ตการลงทุนของบริษัทในโรงไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลังงาน

ธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้น ช่วยสร้างกระแสเงินสดที่สามารถคาดการณ์ได้ให้แก่บริษัท โดยประมาณ 70% ของโรงไฟฟ้าของบริษัทดำเนินงานภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ซื้อไฟฟ้าที่น่าเชื่อถือ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะสามารถสร้าง EBITDA ให้แก่บริษัทได้ประมาณ 70-120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2565-2567 เมื่อเทียบกับ 61 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564

โดย EBITDA จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นนี้สะท้อนถึงผลการดำเนินงานเต็มปีในปี 2565 ของโรงไฟฟ้า Temple I และ Berly & Manildra ในประเทศออสเตรเลียและเงินปันผลรับจากโรงไฟฟ้า Nakoso IGCC ในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป

 

ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจ “Greener”

ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่วงระหว่างปี 2564-2565 ช่วยเพิ่มความสามารถในการลงทุนให้แก่บริษัทช่วงระหว่างปี 2566-2567 ซึ่งบริษัทอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านธุรกิจจากธุรกิจเหมืองถ่านหินมาสู่ธุรกิจพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การผลิตก๊าซธรรมชาติและการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน

โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วน EBITDA ที่มาจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับถ่านหินให้มีสัดส่วนประมาณ 50% ของ EBITDA รวมของบริษัทภายในปี 2568 โดยบริษัทมีแผนจะมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียน

ตลอดจนธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานอื่นๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงระหว่างปี 2565-2567 ซึ่งรวมถึงการซื้อกิจการแหล่งก๊าซธรรมชาติ North Texas มูลค่า 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ผ่านมา

ตลอดจนการลงทุนในธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) มูลค่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามจำนวน 2 แห่งที่ซื้อกิจการมาเมื่อช่วงต้นปี 2565 ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 50 เมกะวัตต์

การลงทุนในธุรกิจถ่านหินเพื่อการบำรุงรักษาทรัพย์สินและเพื่อการขยายกำลังการผลิตจากเหมืองที่มีอยู่เดิม และการลงทุนอื่นๆ นอกเหนือจากที่มีภาระผูกพันเพื่อขยายการลงทุนในธุรกิจ ‘Greener’

ในเดือนตุลาคม 2565 บริษัทได้รับเงินเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิ BANPU-W4 มูลค่า 243 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งช่วยสนับสนุนการเติบโตดังกล่าวของบริษัท ทั้งนี้ จากประมาณการกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะได้รับเงินเพิ่มขึ้นอีก 365 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิ BANPU-W5 ซึ่งมีราคาให้สิทธิอยู่ที่ 7 บาทต่อหุ้น

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่การเพิ่มทุนนี้ไม่เป็นไปตามแผน ทริสเรทติ้งก็เชื่อว่าบริษัทจะมีความยืดหยุ่นในการพิจารณาปรับลดการลงทุนขยายธุรกิจ’Greener’ ลงเพื่อควบคุมให้อัตราส่วนเงินกู้ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นยังคงอยู่ในระดับ 1.2 เท่าตามนโยบายของบริษัท

จากประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง EBITDA ของบริษัทในปี 2565 น่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.8-2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.8-1.9 เท่าในปี 2565 ซึ่งถือต่ำกว่าปรกติจากสภาวะราคาพลังงานที่สูงมากเป็นพิเศษ

สำหรับ ในช่วงระหว่างปี 2566-2567 นั้น ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าทั้งราคาถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติจะชะลอตัวลงสู่ระดับปรกติใกล้เคียงกับในช่วงก่อนปี 2564 โดยคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 1.5-1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงปี 2566-2567

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังได้รวมเงินลงทุนสำหรับธุรกิจ ‘Greener’ ของบริษัทนอกเหนือจากภาระผูกพันที่มีอยู่แล้วรวมมูลค่า 1.6-1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เข้าไว้ในประมาณการสำหรับปี 2566-2567 ด้วย ดังนั้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจึงน่าจะกลับเข้าสู่ระดับปรกติที่ 3.0-4.0 เท่าตลอดช่วงเวลาประมาณการ ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 48%-53% ในช่วงปี 2565-2567 จากระดับ 63% ในปี 2564

 

ระดับสภาพคล่องน่าพอใจ

ทริสเรทติ้เรทติ้ง มองว่า บริษัทมีสถานะสภาพคล่องอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดย ณ เดือนกันยายน 2565 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดประมาณ 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ทั้งที่มีและไม่มีเงื่อนไขผูกพันที่ประมาณ 449 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 1.45-1.55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะ 12 เดือนข้างหน้าด้วย

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับเงินเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิในเดือนตุลาคม 2565 มูลค่าประมาณ 243 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน ซึ่งแหล่งสภาพคล่องเหล่านี้ถือว่าเพียงพอสำหรับการชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาวรวมถึงการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในระยะ 12 เดือนข้างหน้าที่จำนวนประมาณ 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

โครงสร้างหนี้สิน

ณ เดือนกันยายน 2565 บริษัทมีภาระหนี้รวมอยู่ที่จำนวนประมาณ 6.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนประกอบด้วยหนี้ของบริษัทย่อยซึ่งเป็นหนี้ที่มีหลักประกันมูลค่า 46 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหนี้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันมูลค่า 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทที่ระดับประมาณ 28% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 

 

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

  • ดัชนีราคาถ่านหิน Newcastle Coal Price Index จะอยู่ที่ประมาณ 355 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในปี 2565 แล้วจะชะลอตัวเหลือ 150 ถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในปี 2566 และปี 2567 ตามลำดับ
  • ราคาก๊าซธรรมชาติ Henry Hub Natural Gas Price จะอยู่ที่ประมาณ 6.33 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียูในปี 2565 แล้วจะชะลอตัวสู่ระดับ 4.5-5.3 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อล้านบีทียูในช่วงปี 2566-2567
  • ยอดขายถ่านหินรายปีจากเหมืองอินโดนีเซียและออสเตรเลียจะอยู่ที่ประมาณ 30-31 ล้านตันในปี 2565 และ 33-41 ล้านตันในช่วงปี 2566-2567
  • ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนและเงินลงทุนรวมจะอยู่ที่ประมาณ 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปี 2565-2567 โดยรวมการลงทุนที่ไม่มีภาระผูกพันด้วย
  • เงินเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิจะมีมูลค่าประมาณ 365 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’หรือ ‘คงที่’ สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่า บริษัทจะยังคงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมถ่านหินต่อไป โดยเงินปันผลรับจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่มั่นคงและกำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจก๊าซธรรมชาติจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากความผันผวนของอุตสาหกรรมถ่านหินลงได้บางส่วน

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมองว่าวินัยทางการเงินและการบริหารเงินสดที่ระมัดระวังก็จะช่วยให้บริษัทสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมมีความผันผวนไปได้อีกด้วย

 

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ให้ต่ำกว่า 2 เท่าได้อย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทมีผลการดำเนินงานอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้ง ประมาณการไว้เป็นอย่างมาก ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้หากราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติลดลงจากระดับที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ การลงทุนโดยการก่อหนี้เพิ่มจนส่งผลให้โครงสร้างเงินทุนและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญและอย่างต่อเนื่องก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตลงได้

 

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

 

 

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU)

อันดับเครดิตองค์กร:

A+

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

 

BANPU234A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566

A+

BANPU247A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567

A+

BANPU248A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567

A+

BANPU251A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568

A+

BANPU257A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568

A+

BANPU264A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569

A+

BANPU268A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,945 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569

A+

BANPU269A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569

A+

BANPU274A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 10,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570

A+

BANPU281A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571

A+

BANPU282A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571

A+

BANPU288B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,010 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571

A+

BANPU295A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 10,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572

A+

BANPU299A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,860 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572

A+

BANPU301A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573

A+

BANPU312A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,670 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574

A+

BANPU318A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,045 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574

A+

BANPU321A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575

A+

BANPU329A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,240 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575

A+

BANPU341A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2577

A+

BANPU234B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไถ่ถอนปี 2566

A+

BANPU288A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไถ่ถอนปี 2571

A+

แนวโน้มอันดับเครดิต:

Stable

 

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com 

ติดต่อ [email protected]  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

    © บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้

    ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

 

Click Donate Support Web  

QIC 720x100

วิริยะ 720x100

AXA 720 x100

aia 720 x100

BKI 720 x 100

PTG 720x100ais 720x100 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!