- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Monday, 23 January 2023 06:45
- Hits: 1710
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ‘บ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป’ ที่ ‘A-‘ แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ’A-‘ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลการดำเนินงานของบริษัทที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของจำนวนผู้เข้าชมภาพยนตร์และจากระดับหนี้สินที่ปรับตัวดีขึ้น
อีกทั้ง ยังคงสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย ตลอดจนการมีโรงภาพยนตร์ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดีทั่วประเทศ และสถานะที่เป็นเอกลักษณ์ของบริษัทในธุรกิจสื่อโฆษณา อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความอ่อนไหวต่อปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ต่างๆ อาทิ ปริมาณของภาพยนตร์ที่เข้าฉาย รวมทั้งความเป็นที่นิยมของภาพยนตร์ และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากกิจกรรมนันทนาการประเภทอื่นๆ
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
คาดว่าผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
ผลการดำเนินงานของบริษัทเริ่มฟื้นตัวขึ้นในปี 2565 จากจำนวนผู้เข้าชมภาพยนตร์ที่เริ่มฟื้นตัวกลับมาหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) คลี่คลายลง โดยรายได้จากโรงภาพยนตร์ของบริษัททยอยฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังจากที่รัฐบาลทยอยผ่อนคลายมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ซึ่งทำให้บริษัทมีรายได้เติบโต 174% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.7 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 (หรือคิดเป็น 58% ของช่วงเดียวกันในปี 2562) จากผลของการปรับตัวเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เข้าชม
ตลอดจนการมีภาพยนตร์ต้นทุนสูงเข้าฉายมากขึ้น และฐานรายได้ที่ต่ำจากการปิดโรงภาพยนตร์ตามมาตรการของรัฐบาลในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2564
ทริสเรทติ้ง คาดว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการที่ประชาชนมีความมั่นใจมากขึ้นในการทำกิจกรรมนอกบ้านและการมีภาพยนตร์ต้นทุนสูงที่มีแผนเข้าฉายมากขึ้นในปี 2566 ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตขึ้น 95% เป็น 6.5 พันล้านบาทในปี 2565 (คิดเป็นประมาณ 60% ของรายได้ในปี 2562) จากนั้นจะเพิ่มขึ้น 40% เป็น 9.1 พันล้านบาทในปี 2566 (ประมาณ 80% ของรายได้ในปี 2562) และจะเพิ่มขึ้น 8% เป็น 9.9 พันล้านบาทในปี 2567 (ประมาณ 90% ของรายได้ในปี 2562)
บริษัทได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับต้นทุนให้ลดลงเพื่อแก้ไขปัญหารายได้ที่ลดลงอย่างมากในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยสามารถรักษาอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อรายได้ไว้ที่ระดับประมาณ 24% ได้ในปี 2563 ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 31% ในปี 2564 จนถึง 9 เดือนแรกของปี 2565 โดยเป็นผลจากการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและอีกส่วนหนึ่งจากการได้รับส่วนลดค่าเช่าจากผู้ให้เช่าในช่วงที่มีผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้ง คาดว่า ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจโดยคาดว่าอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 30%-32% ในช่วงระหว่างปี 2566-2567 จากการที่รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นและบริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปแม้ว่ารายจ่ายค่าเช่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับปกติก็ตาม
การฟื้นตัวของธุรกิจโฆษณาช้ากว่าการฟื้นตัวของธุรกิจโรงภาพยนตร์
รายได้จากธุรกิจโฆษณาของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ฟื้นตัวกลับขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 40% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จากระดับประมาณ 20% ในปี 2564 แต่ยังช้ากว่าการฟื้นตัวของธุรกิจโรงภาพยนตร์และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจโฆษณาของบริษัทจะทยอยปรับตัวดีขึ้นในระหว่างปี 2566-2567
โดยสอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าชมภาพยนตร์ที่จะเพิ่มขึ้น ตลอดจนภาพยนตร์ต้นทุนสูงที่จะเข้าฉายมากขึ้น และการใช้จ่ายเพื่อการโฆษณาที่จะฟื้นตัวกลับมามากขึ้น โดยคาดว่ารายได้จากธุรกิจโฆษณาของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาทในปี 2565 และจะเพิ่มเป็นประมาณ 1 พันล้านบาทในปี 2566 และ 1.1 พันล้านบาทในปี 2567
ทริสเรทติ้ง มองว่า เครือข่ายโรงภาพยนตร์ของบริษัทและปริมาณผู้เข้าชมจำนวนมากทั่วประเทศจะยังคงเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจของนักโฆษณาต่อไป ส่วนบริษัทเองนั้นก็สามารถให้บริการรูปแบบการโฆษณาได้หลากหลายวิธีและผู้โฆษณายังสามารถใช้โรงภาพยนตร์ของบริษัทเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือเป็นสถานที่ในการจัดกิจกรรมทางการตลาดได้อีกด้วย
ทั้งนี้ ธุรกิจโฆษณายังคงเป็นแหล่งสร้างกระแสเงินสดที่มีนัยสำคัญของบริษัทเนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ โดยในช่วงก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 นั้น EBITDA จากธุรกิจโฆษณาคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของ EBITDA ทั้งหมดของบริษัท
เป็นผู้นำในธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศไทย
บริษัทเป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 70% ของรายได้จากการฉายภาพยนตร์ในช่วงสัปดาห์แรก ทั้งนี้ การมีสถานะเป็นผู้นำทางการตลาดช่วยให้บริษัทมีอำนาจในการต่อรองกับผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ ตลอดจนผู้ผลิตภาพยนตร์ และผู้จัดหาสินค้าต่างๆ
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะยังสามารถรักษาสถานะความเป็นผู้นำดังกล่าวเอาไว้ได้เนื่องจากบริษัทมีแผนจะเพิ่มจำนวนจอภาพยนตร์ให้มากขึ้นอีกปีละ 40-50 จอจากจำนวน 829 จอ ณ เดือนกันยายน 2565
ผลการดำเนินงานขึ้นอยู่กับความสำเร็จของภาพยนตร์ที่ออกฉายใหม่
รายได้จากผู้ชมภาพยนตร์ของบริษัทนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนภาพยนตร์ที่ออกฉายรวมถึงคุณภาพและความนิยมของภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพยนตร์ต่างประเทศ ทั้งนี้ ในช่วงปี 2558-2562 รายได้จากภาพยนตร์ต่างประเทศมีสัดส่วนมากกว่า 80% ของรายได้จากการฉายภาพยนตร์ของบริษัท บริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เลื่อนการฉายภาพยนตร์ต้นทุนสูงส่วนใหญ่ออกไปในปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มีความรุนแรงและหลังจากนั้นได้นำออกมาฉายมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จนถึงปี 2565
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าภาพยนตร์ต้นทุนสูงที่จะเข้าฉายมากขึ้นในปี 2566 จะมีส่วนช่วยให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฟื้นตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงที่กำหนดการฉายภาพยนตร์ฮอลลีวูดอาจมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศสหรัฐฯ และประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศหลักที่สร้างรายได้จากการฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก
ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดนั้น ผู้ผลิตภาพยนตร์รายใหญ่ได้ทดลองฉายภาพยนตร์ในโรงพร้อมกับช่องทางอื่นเช่นการฉายในระบบบอกรับสมาชิก (Streaming Service) หรือทดลองลดช่วงห่างของระยะเวลาระหว่างการฉายภาพยนตร์ในโรงกับการเผยแพร่ในช่องทางอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้น ผู้ผลิตภาพยนตร์เหล่านี้ก็กลับมาฉายภาพยนตร์ในโรงก่อนที่จะเผยแพร่ในช่องทางอื่นๆ เช่น ช่องทาง Premium Video On Demand หรือช่องทางระบบบอกรับสมาชิก ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการรักษาระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างการฉายภาพยนตร์ในโรงกับการเผยแพร่ในช่องทางอื่นๆ ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับผู้ผลิตภาพยนตร์ในการที่จะสร้างรายได้ให้ได้มากที่สุด และเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการทำการตลาดภาพยนตร์ต้นทุนสูง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้สร้างทั้งในแง่รายได้ที่จะได้รับจากการเข้าฉายในโรงและการจำหน่ายภาพยนตร์ให้แก่ผู้ให้บริการในระบบบอกรับสมาชิก
เพื่อลดการพึ่งพิงภาพยนตร์จากต่างประเทศลงในขณะที่ยังคงเพิ่มจำนวนภาพยนตร์ที่ออกฉาย บริษัทจึงมีแผนจะผลิตภาพยนตร์ไทยเพิ่มมากขึ้นจากประมาณ 10 เรื่องเป็น 20 เรื่องต่อปีโดยใช้กลยุทธ์การสร้างความร่วมมือกับผู้ร่วมทุนหลายรายในการผลิตและฉายภาพยนตร์ไทย
เนื่องจากบริษัทมีจำนวนจอภาพยนตร์มากกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัดซึ่งผู้ชมมีความชื่นชอบในการชมภาพยนตร์ไทยมากกว่า จำนวนภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายมากขึ้นจะช่วยให้บริษัทมีรายได้จากโรงภาพยนตร์ในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้นและจะลดการพึ่งพิงภาพยนตร์ฮอลลีวูดลง
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าให้รายได้จากภาพยนตร์ไทยและภาพยนตร์ต่างประเทศมีสัดส่วนใกล้เคียงกันในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของภาพยนตร์ไทยที่บริษัทผลิตเองนั้นยังคงต้องรอการพิสูจน์ด้วยเช่นกัน
เผชิญกับการแข่งขันจากกิจกรรมนันทนาการประเภทอื่นๆ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
ธุรกิจโรงภาพยนตร์ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากกิจกรรมนันทนาการประเภทอื่นๆ ที่มีการพัฒนาจนอาจทดแทนกิจกรรมเดิมที่มีอยู่ได้ ตัวอย่างเช่น บริการความบันเทิงที่เข้าถึงได้อย่างกว้างขวางผ่านระบบอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งได้สร้างทางเลือกที่มากขึ้นให้แก่ผู้บริโภค
อีกทั้ง สถานการณ์โรคโควิด 19 ยังเป็นปัจจัยเร่งและขยายการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยทำให้ผู้บริโภคต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการรับชมความบันเทิงจากที่เคยทำนอกบ้านมาเป็นรับชมที่บ้านในช่วงที่มีมาตรการจำกัดการเดินทางและจำกัดการทำกิจกรรมนอกบ้านเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีความคุ้นเคยกับการรับชมความบันเทิงจากเนื้อหาวิดีโออยู่ที่บ้านโดยผ่านทางระบบบอกรับสมาชิก ตลอดจนระบบ Video On Demand และสื่อสังคมออนไลน์มากยิ่งขึ้น เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว บริษัทจึงได้มีการปรับปรุงยกระดับโรงภาพยนตร์อย่างต่อเนื่องทั้งการติดตั้งจอภาพยนตร์ระบบดิจิทัลและระบบเสียงที่มีคุณภาพสูง
รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพิเศษอื่นๆ เพื่อดึงดูดผู้ชม นอกจากนี้ บริษัทยังนำเสนอนวัตกรรมโรงภาพยนตร์รูปแบบใหม่ที่จะช่วยให้บริษัทคงความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงสร้างความแปลกใหม่ให้แตกต่างไปจากการชมภาพยนตร์ภายในบ้าน และพัฒนาคุณภาพประสบการณ์ในการชมภาพยนตร์ในโรงให้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าโรงภาพยนตร์จะยังคงให้ประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ที่การชมภาพยนตร์ในรูปแบบอื่นๆ ยังไม่สามารถทดแทนได้ซึ่งจะช่วยดึงดูดผู้ชมได้เป็นจำนวนมากแม้ว่ากิจกรรมนันทนาการประเภทอื่นๆ จะมีความแพร่หลายมากขึ้นก็ตาม
ภาระหนี้คาดว่า จะปรับตัวดีขึ้นจากผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัว
หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นเป็น 8.8 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จาก 5.9 พันล้านบาทในปี 2564 โดยมีสาเหตุจากการที่บริษัทได้ลงทุนในหุ้นสามัญของ บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงินรวมประมาณ 2.2 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ภาระหนี้ของบริษัทเมื่อวัดจากอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA นั้นปรับตัวดีขึ้นเป็น 4.4 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จาก 5.9 เท่าในปี 2564 จากการมี EBITDA ที่ปรับตัวดีขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าในอนาคตภาระหนี้ของบริษัทจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 3 เท่าในช่วงระหว่างปี 2566-2567 จากการที่ EBITDA ฟื้นตัวขึ้นในขณะที่หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย
โดยคาดว่าบริษัทจะมีเงินลงทุนที่ประมาณ 800 ล้านบาทต่อปีและจะมีเงินลงทุนในการซื้อและสร้างภาพยนตร์ที่ประมาณ 400 ล้านบาทต่อปีในช่วง 2 ปีข้างหน้า
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า บริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีแหล่งเงินทุนซึ่งประกอบไปด้วยเงินสดในมือจำนวน 870 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2565 นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากสถาบันการเงินต่างๆ อีกจำนวน 5 พันล้านบาทและคาดว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ประมาณ 2 พันล้านบาทในปี 2566 อีกด้วย ในขณะที่ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าแผนการใช้เงินทุนของบริษัทจะประกอบด้วยการชำระหนี้จำนวนประมาณ 750 ล้านบาทรวมทั้งงบลงทุนและงบผลิตภาพยนตร์รวม 1.2 พันล้านบาท
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของหุ้นกู้ได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สิน (ไม่รวมหนี้สินจากสัญญาเช่า) ต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 อยู่ที่ 0.67 เท่าซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าเพดานสูงสุดที่ 1.5 เท่าตามเงื่อนไขของหุ้นกู้ที่กำหนดไว้
อนึ่ง บริษัทไม่มีหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับชำระคืนก่อน ณ เดือนกันยายน 2565
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2565-2567 ดังต่อไปนี้
- รายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 5 พันล้านบาทในปี 2565 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 9.1 พันล้านบาทในปี 2566 และ 9.9 พันล้านบาทในปี 2567
- อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ที่ระดับประมาณ 30%-32% ในช่วงเวลาประมาณการ
- งบประมาณการลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาทต่อปี ส่วนงบประมาณในการซื้อและผลิตภาพยนตร์จะอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2567
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากจำนวนผู้เข้าชมภาพยนตร์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในขณะที่บริษัทยังคงรักษาระดับหนี้สินทางการเงินให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ อีกทั้งบริษัทจะสามารถรักษาสถานะที่แข็งแกร่งในธุรกิจโรงภาพยนตร์เอาไว้ได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากบริษัทมีการลงทุนโดยใช้เงินจำนวนมาก และ/หรือมีผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจนทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่า 5 เท่าเป็นเวลานาน ในขณะที่อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทมีการฟื้นตัวกลับไปใกล้เคียงกับระดับก่อนเกิดโรคโควิด 19 อย่างเห็นได้ชัดโดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 3 เท่าอย่างต่อเนื่อง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565 |
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564 |
บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) (MAJOR)
อันดับเครดิตองค์กร: |
A- |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
MAJOR279A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
A- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html