- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Friday, 20 January 2023 23:36
- Hits: 1711
ถอดรหัส ‘DITTO’ รุกธุรกิจ ‘Carbon Credit’
โครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เปิดให้เอกชน ขออนุญาตดูแลรักษาป่าเป็นโครงการหนึ่งที่มีความสำคัญในการช่วยลดก๊าซเรือนกระจก โดย บ.สยาม ทีซี เทคโนโลยี จำกัด บริษัทย่อยของบริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) “DITTO” ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมโครงการ ได้รับจัดสรรพื้นที่ปลูกป่าชายเลนจำนวน 11,448 ไร่ เป็นเวลา 30 ปี เพื่อใช้ประโยชน์ทางคาร์บอนเครดิต
ทำไม DITTO ลุยธุรกิจ Carbon Credit
“ฐกร รัตนกมลพร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) “DITTO” เปิดเผยว่า ธุรกิจของ DITTO มีส่วนช่วยลดโลกร้อนมาตลอด โดยเฉพาะธุรกิจระบบการจัดการเอกสารในรูปแบบ Digital ครบวงจร “Document Management Solutions” ช่วยลดการใช้กระดาษมากกว่า 800 ล้านแผ่น เท่ากับกว่า 1.6 ล้านรีม หรือกว่า 4 พันตัน ลดการปล่อยคาร์บอนได้กว่า 16,000 ตันซึ่งปริมาณกระดาษที่ใช้ลดลงนำไปคำนวณคาร์บอนเครดิตได้ด้วย
ขณะเดียวกัน บ.สยาม ทีซี เทคโนโลยี มีโครงการคัดแยกขยะด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง และยังจัดสร้างระบบการคัดแยกขยะขึ้นมาเพื่อมาบริหารจัดการ ทำให้มีเทคโนโลยีเหนือกว่าคนอื่น ซึ่งนำมาคำนวณคาร์บอนเครดิตได้ ปัจจุบันได้เข้าไปคัดแยกขยะให้กับ อบจ. แห่งหนึ่ง มีปริมาณขยะ 160 ตันต่อวัน คำนวณคาร์บอนเครดิต 0.5 - 0.6% ต่อตันต่อวัน รวมทั้งปีจะได้คาร์บอนเครดิต 30,000-40,000 ตันต่อปี
ตั้งเป้าผลิต Carbon ป้อน บ.ส่งออก
สาเหตุที่ทำให้ DITTO สนใจโครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์คาร์บอนเครดิต เพราะมีผลการศึกษาพบว่าป่าชายเลนสามารถดูดซับ คาร์บอนเครดิตได้ 8 - 10 ตันต่อไร่ต่อปี ดังนั้นพื้นที่ที่ DITTO ได้รับ 11,448 ไร่ ระยะเวลา 30 ปี คาดว่าจะได้คาร์บอนเครดิตไม่น้อยกว่า 3.3 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดย DITTO ได้ส่วนแบ่ง 90% อีก 10% เป็นของ ทช.
“พื้นที่ป่าชายเลนที่ DITTO เข้าไปปลูกและดูแล ถูกจัดว่าเป็น บลูคาร์บอน “BLUE Carbon” คือ คาร์บอนไดออกไซด์ที่สะสมในระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง โดยระบบนิเวศชายฝั่ง รวมทั้งป่าชายเลน หญ้าทะเลและลุ่มน้ำเค็ม ดูดซับกักเก็บคาร์บอนสูงเมื่อเทียบกับป่าบก นอกจากนี้ป่าชายเลนยังเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำที่สำคัญ เป็นเกราะป้องกันห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ เป็นที่หลบภัยสัตว์ใกล้สูญพันธ์ ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งจึงทำให้มูลค่าบลูคาร์บอนจากป่าชายเลนสูงกว่าป่าประเภทอื่น”
“ฐกร” กล่าวเพิ่มเติมว่ายังมี ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ DITTO ตัดสินใจ คือ
ปัจจัยแรก เนื่องจากบริษัทเอกชนไทยที่ส่งสินค้าออกไปยังตลาดยุโรปจะได้รับผลกระทบจากระเบียบ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือ การบังคับใช้ภาษีคาร์บอนกับประเทศคู่ค้าสำหรับการส่งออก/นำเข้า ที่ทางยุโรปจะบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ผู้ส่งสินค้าออกไปยุโรปจะต้องซื้อใบรับรอง CBAM ซึ่งราคาใบรับรองอ้างอิงตามราคาซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกในตลาดคาร์บอนของอียู ยิ่งทำให้ความต้องการ Carbon credit ของผู้ประกอบการมีมากขึ้น ส่งผลให้ราคาของ Carbon credit ปรับตัวขึ้นตามด้วย
ปัจจัยที่ 2 แม้ว่าปัจจุบันการมีส่วนร่วมในการลดคาร์บอนเครดิต ยังเป็นภาคสมัครใจ (T-VER) แต่ภายใน 2 ปีนี้ รัฐบาลจะผลักดันให้ใช้เป็นภาคบังคับไม่ใช่วิธีสมัครใจอย่างในปัจจุบัน ถึงตอนนั้นความต้องการคาร์บอนเครดิตจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอนเพราะจะเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการจำนวนมาก
ปัจจัยสุดท้าย ล่าสุด ครม. มีมติตาม ที่กรมสรรพากรได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร จำนวน 2 ฉบับ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการภาษี ทั้ง 2 มาตรการ ดังนี้ 1. มาตรการเพื่อส่งเสริมโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่เกิดจากการขายคาร์บอนเครดิตในประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570 2. มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีของบุคคลธรรมดาให้สามารถหักลดหย่อนเงินที่บริจาคให้แก่กรมป่าไม้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570
บัวหลวง ฟันธงอนาคตไปได้สวย
บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินว่า หาก DITTO เริ่มดำเนินโครงการในปี 2566 จะใช้เวลา 3 ปี ที่จะเริ่มรับรู้คาร์บอนเครดิตในปี 2569 โดยคาดเงินลงทุนเริ่มต้นในปีแรกจะอยู่ที่ราว 160 - 170 ล้านบาท และค่าดูแลรักษาตั้งแต่ปีที่ 2 เป็นต้นไป จะอยู่ที่ 30 ล้านบาท/ปี โดยตั้งแต่ปี 2569 คาดว่า DITTO จะได้รับคาร์บอนเครดิตต่อปีอยู่ที่ราว 1 แสนตัน/ปี (สัดส่วน 90%)
หากอิงจากตลาดในต่างประเทศอย่างยุโรปราคาตอนนี้อยู่ที่ราว 70 ยูโร หรือ 2,600 บาทต่อตัน จะสามารถสร้างกำไรในปี 2569 ได้ราว 230 ล้านบาท สร้างกำไรส่วนเพิ่มได้มากกว่า 50% ต่อปี จะครอบคลุมต้นทุนทั้งหมดที่ลงทุนไปใน 3 ปีแรก และจะสร้างกำไรอย่างต่อเนื่องไปอีก 26 ปีที่เหลือ ซึ่งคาดว่าในอนาคตราคาคาร์บอนเครดิตจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องอย่างแน่นอน
นี่คือ คำตอบว่า ทำไม DITTO ลุยธุรกิจ Carbon Credit ชนิดเต็มสูบเลยทีเดียว
A1458