- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Friday, 12 August 2022 12:11
- Hits: 1510
PTTGC Q2 มีรายได้จากการขายรวม 196,397 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 กำไรสุทธิรวม 1,388 ล้านบาท (0.31 บาท/หุ้น)
นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) PTTGC และบริษัทย่อย รายงานคลาดหลักทรัพย์ฯ สำหรับไตรมาส 2 ปี 2565 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแล้ว ว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2/2565 มีรายได้จากการขายรวม 196,397 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากไตรมาส 1/2565 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 76 จากไตรมาส 2/2564
โดยรายได้จากการขายรวมปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามราคาน้ำมันดิบ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์การใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสนี้ ภายหลังจากที่หลายประเทศทั่วโลกผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
รวมถึงอุปทานที่ตึงตัวจากการที่หลายประเทศคว่ำบาตรการใช้น้ำมันและพลังงานจากประเทศรัสเซีย เช่นเดียวกับราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางราคาวัตถุดิบ รวมถึงยังมีปัจจัยสนับสนุนด้านอุปทานที่ตึงตัวจากการหยุดซ่อมบำรุง และการปรับลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตบางรายในภูมิภาคเนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงทำให้ไม่คุ้มค่าในการผลิต อย่างไรก็ตาม ปริมาณขายรวมของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับลดลงในไตรมาสนี้ เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 3 โรงอะโรเมติกส์หน่วยที่ 1 รวมถึงโรง LDPE และ LLDPE ท าให้ใน
ไตรมาสนี้ บริษัทฯ มีAdjusted EBITDA อยู่ที่ 21,029 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งจากไตรมาส 1/2565 และไตรมาส 2/2564 ร้อยละ 47 และร้อยละ 29 ตามลำดับ โดยบริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมผลกำไรจากสต๊อกน้ำมัน และรายการขาดทุนจากรายการมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง รายการพิเศษอื่นๆ)อยู่ที่ 13,703 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งจากไตรมาส 1/2565และไตรมาส 2/2564 ร้อยละ 120 และร้อยละ 31 ตามลำดับ
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณารวมถึงผลจากการที่บริษัทฯ รับรู้ผลกำไรจากสต๊อกน้ำมัน และรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Gain Net NRV) เป็นกำไรรวม 3,085 ล้านบาท ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 12,734 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่าราคาที่ทำประกันความเสี่ยงไว้โดยเป็นการรับรู้ ที่เกิดขึ้นแล้ว (realized) จำนวน 11,598 ล้านบาท และที่ยังไม่เกิดขึ้น (unrealized) จำนวน 1,136 ล้านบาท ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน 4,378 ล้านบาท กำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน 1,712 ล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาส 2/2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 1,388 ล้านบาท (0.31 บาท/หุ้น) ปรับตัวลดลงร้อยละ 67 จากไตรมาส 1/2565
ในไตรมาสนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟิ นส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีผลประกอบการอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยถึงแม้ราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (PE) เฉลี่ยในไตรมาสนี้ปรับตัวสูงขึ้น แต่บริษัทฯ มีการหยุดซ่อมบำรุง ตามแผนของโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 3 ซึ่งใช้อีเทนเป็นวัตถุดิบหลัก ส่งผลให้มีปริมาณขายปรับตัวลดลง และมีสัดส่วนการใช้วัตถุดิบแนฟทาเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 28 นอกจากนี้ ยังมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรง LDPE และ LLDPE ทำให้ปริมาณขาย PE ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ส่งผลให้กลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมี Adjusted EBITDA Margin ในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 9 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า
ผลประกอบการในกลุ่มธุรกิจ Performance Materials and Chemicals ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีสาเหตุจากการอ่อนตัวลงของธุรกิจฟี นอลเป็นหลักเนื่องจากราคาวัตถุดิบเบนซีนปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ allnex ยังคงรักษาระดับได้ต่อเนื่องในไตรมาสนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์มีผลประกอบการดีขึ้นในไตรมาสนี้ โดยมีส่วนต่างผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ (BTX P2F) อยู่ที่ 117 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2565 แต่ปรับตัวลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์หลักทั้งผลิตภัณฑ์พาราไซลีน และผลิตภัณฑ์เบนซีนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาสนี้
รวมถึงส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์พลอยได้ (byproducts) โดยเฉพาะคอนเดนเสทเรซิดิวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ธุรกิจโรงกลั่นมีผลประกอบการที่ดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสนี้ โดยมีค่าการกลั่น (GRM)อยู่ที่ 21.09 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากทั้งไตรมาสก่อนหน้าและไตรมาส 2/2564 เนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์หลักปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากตามอุปสงค์ที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการเปิดประเทศ รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั่วโลก รวมถึงยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ อาทิเช่น มาตรการของหลายประเทศในการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อประเทศรัสเซียซึ่งเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและน้ำมันดิบรายใหญ่ของโลก
รวมถึงการส่งออกที่ลดลงของประเทศจีน ทั้งนี้ บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่บริษัทฯ รับรู้จำนวน 1,833 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2565 โดยมีสาเหตุหลักจากการรับรู้กำไรที่เพิ่มขึ้นภายหลังจากที่บริษัทฯ เพิ่มสัดส่วนในการถือหุ้นในบริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน)จากร้อยละ 24.98 เป็นร้อยละ 37.82 ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) ในปลายไตรมาส 1/2565 และผลประกอบการที่ดีขึ้นจากธุรกิจไบโอพลาสติกและธุรกิจอะคริโลไนไตรล์
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 792,656 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 จำนวน 38,540 ล้านบาท หรือร้อยละ 5 โดยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เงินลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียน รวมถึงเงินสดได้รับมาจากการออกหุ้นกู้ทั้งสกุลเงินบาท และสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ชุดใหม่ ลูกหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้น และสินค้าคงเหลือที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมรวมถึงปิโตรเคมีปรับตัวเพิ่มขึ้น
ในขณะที่บริษัทฯ มีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 475,803 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 จำนวน 49,291 ล้านบาท หรือร้อยละ 12 โดยหลักจากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้ดังกล่าว และเจ้าหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นมากและเจ้าหนี้การค้าของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Coating Resins (allnex) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทฯ มีส่วนของผู้ถือหุ้น 316,853 ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 จำนวน 10,750 ล้านบาท ประกอบด้วยกำไรสุทธิสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 จำนวน 5,600 ล้านบาท
ในขณะที่มีการจ่ายเงินปันผล สำหรับ ผลประกอบการปี 2564 จำนวน 7,890 ล้านบาท และจากการเปลี่ยนแปลงในองค์ประกอบอื่นของผู้ถือหุ้นลดลง 8,871 ล้านบาท ประกอบด้วยขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเงินลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน 5,686 ล้านบาท จากการวัดมูลค่ายุติธรรมเงินลงทุนในบริษัท GPSC เป็นสำคัญ