- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 07 August 2022 23:05
- Hits: 1775
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.ไพร์ม โรด เพาเวอร์’ ที่ ‘BBB-‘ แนวโน้ม’Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘BBB-‘ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงประสบการณ์ของบริษัทในการพัฒนาและดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในประเทศไทยและกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ในระดับสูงจากการที่บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวก็ถูกลดทอนจากการที่ธุรกิจของบริษัทมีขนาดเล็กและจากความเสี่ยงในการดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ ๆ ในต่างประเทศ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่ระดับหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงของการขยายธุรกิจ
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีประสบการณ์ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์
ความแข็งแกร่งของบริษัทเกิดจากผลงานที่ยาวนานในการพัฒนาและดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์หลายแห่งในประเทศไทย โดยบริษัทเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากการเริ่มพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในปี 2554 ซึ่งมีกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวม 72 เมกกะวัตต์ บริษัทได้ขยายธุรกิจไปยังประเทศอื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเติบโตของบริษัท
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 กำลังการผลิตรวมตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 255 เมกะวัตต์ ในจำนวนนี้ประมาณ 143 เมกะวัตต์ได้ดำเนินการผลิตแล้ว ทั้งนี้ หากนับตามสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าแล้ว บริษัทจะมีกำลังการผลิตรวมตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าทั้งสิ้นประมาณ 187 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ในประเทศไทย (69 เมกะวัตต์) ประเทศกัมพูชา (60 เมกะวัตต์) ไต้หวัน (53 เมกะวัตต์) และประเทศญี่ปุ่น (4.6 เมกะวัตต์)
กระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ในระดับสูงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า
แม้บริษัทเพิ่งจะขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ อันประกอบด้วยการจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ด้านไฟฟ้า การรับเหมาติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคา และนวัตกรรมใหม่ๆ แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าน่าจะยังสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในสัดส่วนมากกว่า 3 ใน 4 ของทั้งหมดในระยะ 3 ปีข้างหน้า
อันดับเครดิตพิจารณาถึงความเสี่ยงในระดับต่ำซึ่งเป็นธรรมชาติของธุรกิจผลิตไฟฟ้าซึ่งเกิดจากความเสี่ยงในการดำเนินงานและความเสี่ยงในการได้รับชำระเงินจากผู้รับซื้อไฟฟ้าที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว
โดยพลังแสงอาทิตย์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ในปริมาณที่คาดการณ์และสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอน ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ปริมาณไฟฟ้ารวมต่อปีที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ของบริษัทนั้นถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจและมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ที่ระดับ 70%-80%
ธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีความเสี่ยงในการได้รับชำระเงินจากผู้รับซื้อไฟฟ้าในระดับต่ำเพราะโรงไฟฟ้าของบริษัทส่วนใหญ่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับหน่วยงานด้านไฟฟ้าของภาครัฐ โดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าวมีระยะเวลาที่ยาวนานสูงสุดถึง 25 ปี นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายไปสู่การจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ภาคเอกชน
ซึ่งสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาคเอกชนโดยทั่วไปนั้นมีความเสี่ยงในการได้รับชำระเงินจากผู้รับซื้อไฟฟ้าที่สูงกว่า อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตภายใต้รูปแบบสัญญาดังกล่าวน่าจะยังคงเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่า 5% ของกำลังการผลิตทั้งหมดของบริษัท
ความเสี่ยงจากการจัดการโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ในต่างประเทศ
บริษัทยังคงขยายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในไต้หวันและกัมพูชาซึ่งทำให้ความเสี่ยงในการดำเนินการโครงการใหม่ๆ ที่อยู่ระหว่างพัฒนาเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองว่าบริษัทน่าจะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการเหล่านี้ได้ และโครงการใหม่ๆ น่าจะสร้างผลกำไรที่น่าพอใจ
บริษัทประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ขนาด 6 เมกะวัตต์แห่งแรกในไต้หวันในปี 2562 อีกทั้งยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์กำลังการผลิตรวม 47 เมกะวัตต์ในไต้หวันที่ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา
ทั้งนี้ โครงการเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) และการขาดแคลนชิป โดยเกิดความล่าช้าในการผลิตและการขนส่งแผงโซล่าร์ ในขณะที่การก่อสร้างและการติดตั้งอุปกรณ์ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการของรัฐบาลไต้หวันในการจำกัดการเดินทางและการปิดเมือง (Lockdown) ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไต้หวันได้ขยายกำหนดเวลาสิ้นสุดการก่อสร้างโครงการออกไป แม้ความเสี่ยงของการก่อสร้างจะยังคงมีอยู่แต่ทริสเรทติ้งก็เชื่อว่าบริษัทจะสามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จได้ตามกำหนด
โครงการในต่างประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัทคือโครงการ ‘National Solar Park’ เฟสแรกในประเทศกัมพูชา โดยโครงการพลังแสงอาทิตย์ขนาด 60 เมกะวัตต์ดังกล่าวมีกำหนดการจ่ายไฟฟ้าในช่วงปลายปี 2565 ทริสเรทติ้งเห็นว่าการลงทุนในประเทศกัมพูชามีความเสี่ยงสูงกว่าในประเทศไทย โดยปัจจัยเสี่ยงหนึ่งก็คือความเสี่ยงของคู่สัญญาซึ่งทริสเรทติ้งมองว่าสถานะเครดิตของการไฟฟ้ากัมพูชา (Electricity of Cambodia – EDC) ที่เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าภาครัฐนั้นไม่เข้มแข็งเท่ากับของผู้รับซื้อไฟฟ้าภาครัฐในประเทศไทย
ในขณะที่ประวัติผลงานในการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ในประเทศกัมพูชาก็ยังมีจำกัดอีกด้วยเนื่องจากยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา แต่การเข้ามามีบทบาทของธนาคารพัฒนาเอเชียซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาโครงการและผู้สนับสนุนทางการเงินหลักก็ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการพัฒนาลงได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การควบคุมต้นทุนจะเป็นสิ่งท้าทายเนื่องจากโครงการดังกล่าวมีอัตรารับซื้อไฟฟ้าในระดับต่ำที่ 3.877 เซ็นต์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ทั้งนี้ บริษัทได้ทำสัญญาจ้างดำเนินการปฏิบัติงานและบำรุงรักษาในราคาที่ตกลงกันไว้แล้วเพื่อควบคุมต้นทุนในการดำเนินงาน เนื่องจากกำลังการผลิตของโครงการนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมที่คิดตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท ผลการดำเนินงานของโครงการนี้จะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงหลายปีข้างหน้า
ธุรกิจมีขนาดเล็กแต่กำลังเติบโต
บริษัทมีขนาดธุรกิจค่อนข้างเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทผลิตไฟฟ้าอื่นๆ ที่ได้รับการจัดอันดับโดยทริสเรทติ้ง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าและรายได้จากธุรกิจใหม่ 3 ธุรกิจจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในระยะ 3 ปีข้างหน้า
โดยรายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันล้านบาทในปี 2567 ภายใต้สมมติฐานว่าบริษัทจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ปีละ 30 เมกะวัตต์ในช่วงปี 2565-2567 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังไม่รวมโครงการขนาดใหญ่ 2 โครงการในไต้หวันไว้ในประมาณการเนื่องจากยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา ซึ่งตามสมมติฐานดังกล่าว รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 พันล้านบาท ในปี 2567 จาก 368 ล้านบาท ในปี 2564 ส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่ 3 ธุรกิจน่าจะอยู่ที่ประมาณ 300-400 ล้านบาทต่อปีในระยะ 3 ปีข้างหน้า
ทริสเรทติ้ง คาดว่า EBITDA ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงประมาณ 900 ล้านบาทในปี 2567 จาก 577 ล้านบาทในปี 2564 ในขณะที่ EBITDA Margin ของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับ 55%-75% ในระยะ 3 ปีข้างหน้าเมื่อเทียบกับระดับ 76.1% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 การลดลงดังกล่าวสะท้อนถึงสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจใหม่ 3 ธุรกิจที่มีอัตรากำไรต่ำกว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้า
การก่อหนี้จะเพิ่มสูงขึ้น
อันดับเครดิตมีปัจจัยลดทอนจากแนวโน้มที่ระดับหนี้สินจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงการขยายธุรกิจของบริษัท โดยทริสเรทติ้งคาดว่างบลงทุนของบริษัทจะอยู่ในช่วง 1.5-4 พันล้านบาทต่อปีในระยะ 3 ปีข้างหน้า ส่วนเงินทุนจากการดำเนินงาน ซึ่งคาดว่า น่าจะอยู่ที่ 350-650 ล้านบาทต่อปีนั้นไม่น่าจะครอบคลุมงบลงทุนได้ทั้งหมด และจะทำให้บริษัทต้องหาแหล่งเงินทุนจากภายนอกเพื่อนำมาสนับสนุนการลงทุนใหม่ๆ
ทั้งนี้ ในกรณีที่ไม่มีการเพิ่มทุน ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6%-10% ในช่วงปี 2565-2567 จากระดับที่สูงกว่า 15% ในปีก่อนๆ และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 7-10 เท่าในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อเทียบกับระดับ 4.5 เท่าในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2565 กรณีหากรวมโครงการขนาดใหญ่ 2 โครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาในไต้หวันเข้าไปด้วยระดับหนี้สินก็จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะจัดการแรงกดดันของระดับหนี้สินได้อย่างเหมาะสมเมื่อพิจารณาถึงแผนเพิ่มทุนของบริษัทเพื่อรองรับการเติบโต
ณ เดือนมีนาคม 2565 หนี้สินรวมของบริษัทไม่นับหนี้สินตามสัญญาเช่ามีจำนวน 3.7 พันล้านบาท โดยเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) ซึ่งประกอบด้วยหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทและหนี้ทั้งหมดของบริษัทย่อยจำนวนประมาณ 2.3 พันล้านบาท ทำให้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับ
ในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ 60% เนื่องจากสัดส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์ของทริสเรทติ้งที่ 50% ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันจะด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญ
สภาพคล่องน่าจะบริหารจัดการได้
บริษัทน่าจะบริหารจัดการสภาพคล่องได้อย่างเพียงพอ โดยในระยะ 12 เดือนข้างหน้าบริษัทมีหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวน 662 ล้านบาทซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ระยะสั้นสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 51 ล้านบาทและเงินกู้ระยะยาวจากธนาคารอีกจำนวน 611 ล้านบาท
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดจำนวน 986 ล้านบาท เงินทุนจากการดำเนินงานในระยะ 12 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 465 ล้านบาท ทั้งนี้ สินทรัพย์สภาพคล่องและเงินจากการดำเนินงานรวมกันจำนวน 1.5 พันล้านบาทดังกล่าวน่าจะเพียงพอในการใช้ชำระหนี้ที่จะครบกำหนด นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 189 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 สำหรับเป็นแหล่งสภาพคล่องอีกด้วย
บริษัทมีข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ที่ต้องดำรงอัตราส่วนเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนไม่เกิน 3 เท่า ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.9 เท่า ณ เดือนมีนาคม 2565 ทริสเรทติ้ง เชื่อว่า บริษัทจะสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดระยะเวลา 12-18 เดือนข้างหน้า
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- บริษัทจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 30 เมกะวัตต์ในช่วงระหว่างปี 2565-2567
- รายได้จากการดำเนินงานรวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันล้านบาทในปี 2567
- EBITDA Margin จะอยู่ระหว่าง 55%-75%
- เงินลงทุนรวมจะอยู่ในช่วง 1.5-4 พันล้านบาทต่อปี
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’หรือ ‘คงที่’สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะยังคงสร้างผลการดำเนินงานให้แก่บริษัทเป็นหลัก อีกทั้ง โรงไฟฟ้าของบริษัทจะยังคงมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจและสร้างกระแสเงินสดที่เชื่อถือได้ต่อไป นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาและมีผลตอบแทนที่น่าพอใจ
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีจำกัดในช่วงที่บริษัทมีการขยายการลงทุนจำนวนมาก แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มฐานกระแสเงินสดในขณะที่ยังรักษาโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าต่างๆ ต่ำกว่าการคาดการณ์หรือเป้าหมายที่วางไว้อย่างมาก หรือหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (PRIME)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html