- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Thursday, 14 July 2022 08:04
- Hits: 2234
ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.สยามแม็คโคร’ ที่’A+’ แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘A+’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นบริษัทในเครือซึ่งมีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระดับสูง (Highly Strategically Important Affiliate) ของ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (ได้รับการจัดอันดับเครดิต ‘A+/Stable’ จากทริสเรทติ้ง)
และผลการประเมินอันดับเครดิตเฉพาะ (Stand-alone Credit Profile -- SACP) ที่ระดับ ‘a+’ ในการนี้ สถานะของบริษัทแม็คโครที่มีต่อกลุ่ม ซีพี ออลล์ สะท้อนถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของบริษัทในการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่ง และธุรกิจค้าปลีก ตลอดจนการมีสัดส่วนกำไรที่มีนัยสำคัญต่อกลุ่ม
อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท (SACP) สะท้อนถึงสถานะของบริษัทในความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่ง โดยเฉพาะความสำเร็จในด้านการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการคัดเลือกสินค้าได้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการในธุรกิจโรงแรม ภัตตาคารและธุรกิจจัดเลี้ยง (Hotels, Restaurants, and Catering Operators -- HORECA) ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทยังถูกเสริมจากสถานะของบริษัทย่อยในการเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีก และผู้บริหารพื้นที่เช่าในประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาวะการแข่งขันในธุรกิจค้าปลีก การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคต่อการซื้อสินค้าทางออนไลน์ ตลอดจนสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่ง
สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทเกิดจากความเป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่ง ด้วยกลยุทธ์การมุ่งเน้นสินค้าอาหารสด และการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพของบริษัท บริษัทสามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้ค้าปลีกด้านอาหาร และ HORECA ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทได้อย่างดี รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.3 แสนล้านบาทในปี 2564 จากระดับ 1.1 แสนล้านบาทในปี 2555 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้น (Cumulative Annual Growth Rate -- CAGR) ที่ 7.8%
นอกจากนี้ บริษัทยังเสนอสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทเอง เพื่อนำเสนอสินค้าคุณภาพในราคาที่เหมาะสมแก่ผู้บริโภค ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทเท่ากับ 14% ของรายได้รวมของบริษัท โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้จากแบรนด์ของบริษัทมาอยู่ที่ระดับ 20% ของรายได้รวมในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ
นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยแล้ว บริษัทได้ขยายสาขาไปยังต่างประเทศตั้งแต่ปี 2560 ปัจจุบันบริษัทมี 2 สาขาในประเทศกัมพูชา 3 สาขาในประเทศอินดีย 1 สาขาในประเทศจีน และ 1 สาขาในเมียนมา
สัดส่วนรายได้จากสาขาต่างประเทศเมื่อเทียบกับรายได้รวมของบริษัทยังอยู่ในระดับต่ำคิดเป็น 3% ของรายได้รวมจากธุรกิจค้าส่งของบริษัท อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงมองเห็นโอกาสการเติบโตและตั้งเป้าการเปิดสาขาในต่างประเทศจำนวน 3-8 สาขาต่อปี
การขยายตลาดไปยังธุรกิจค้าปลีกด้วยการซื้อกิจการ Lotus’s
บริษัทขยายฐานรายได้และฐานลูกค้าไปยังธุรกิจค้าปลีกด้วยการซื้อกิจการ C.P. Retail Development Co., Ltd. (CPRD) ซึ่งถือหุ้นทั้งหมดในบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด และ Lotus’s Stores (Malaysia) Sdn. Bhd. ที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจร้านค้าปลีกสมัยใหม่ขนาดใหญ่หรือไฮเปอร์มาร์เก็ตภายใต้ชื่อ ‘Lotus’s’ ในประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย ในเดือนตุลาคม 2564
Lotus’s เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกและเป็นผู้บริหารพื้นที่เช่าในประเทศไทยและมาเลเซีย การรวมกิจการกับ Lotus’s จะช่วยให้บริษัทขยายฐานลูกค้าผ่านทางร้านค้า Lotus’s ซึ่งมีสาขาทั่วประเทศ และขยายฐานไปยังธุรกิจ Business-to-Consumer (B2C) ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าหลักคือผู้บริโภครายย่อย บริษัทจะได้รับประโยชน์ร่วมจากการมีฐานลูกค้าร่วมกับ Lotus’s
การเติบโตจากช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย (Omnichannel)
ด้วยรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและความชำนาญในธุรกิจ Business-to-Business (B2B) กอปรกับการลงทุนในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศจำนวนมาก บริษัทคาดว่าช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลายและแอปพลิเคชั่นใหม่จะช่วยเป็นปัจจัยเร่งการเติบโตของยอดขายของบริษัทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทได้พัฒนา ‘maknet’ ออนไลน์แอปพลิเคชั่น เพื่อเสริมสถานะความแข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจ B2B ปัจจุบันรายได้จากช่องทางออนไลน์ของบริษัทคิดเป็น 13% ของรายได้รวม บริษัทตั้งเป้าการเติบโตและเพิ่มสัดส่วนเป็น 15% ของรายได้รวมในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
ผลการดำเนินงานมีเสถียรภาพและคาดว่าจะเติบโตมากขึ้นในอนาคต
บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีและมีเสถียรภาพที่มั่นคงท่ามกลางผลกระทบที่เกิดจากการระบาดของโรคโควิด 19 และเศรษฐกิจที่ซบเซา ทริสเรทติ้ง คาดว่าผลการดำเนินงานของธุรกิจค้าส่งจะยังคงดีอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกของ Lotus’s จะฟื้นตัวอย่างมีนัยยะตามภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังการระบาดของโรคโควิด 19
รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 3%-4% ในปี 2563-2564
ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต่อรายได้ (EBITDA Margin) อยู่ที่ระดับ 5%-6% แม้ว่า ยอดขายและกำไรจากกลุ่มผู้ประกอบการทางด้านอาหารจะลดลง แต่บริษัทก็ได้รับอานิสงส์จากการกักตุนอาหาร และความนิยมในการประกอบอาหารเองที่บ้านในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรค
การซื้อกิจการ Lotus’s จะช่วยเสริมในการขยายขนาดธุรกิจ ฐานรายได้ และกำไร ให้แก่บริษัทอย่างมาก ภายหลังการซื้อกิจการ รายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวมาอยู่ที่ระดับ 4.6 แสนล้านบาทในปี 2565 จากระดับ 2.2 แสนล้านบาท ในขณะที่ทริสเรทติ้ง คาดว่า EBITDA จะอยู่ที่ระดับ 3.3 หมื่นล้านบาทในปี 2565 จากระดับ 1.2 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่า รายได้รวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 73% ในปี 2565 จากการรวมงบการเงินเต็มปี และรายได้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 7%-9% ต่อปีในปี 2566-2567 โดยเพิ่มขึ้นจากช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย การเปิดสาขาใหม่ๆ และการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้ค่าเช่า
แม้ว่าบริษัทจะเผชิญความท้าทายหลากหลายประการ ทั้งจาก อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบรนด์ และการลงทุนในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศจำนวนมาก ทริสเรทติ้ง คาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นได้จากกลยุทธ์ของบริษัทในการมุ่งเน้นสินค้าอาหารสด ตลอดจนการมีช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย เราคาดว่า อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 7%-8% และ EBITDA คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.3-4.3 หมื่นล้านบาทในปี 2565-2567
ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อกิจการ Lotus’s
ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการรวมงบการเงินของ CPRD และธุรกิจ Lotus’s ในประเทศไทยและประเทศมาเลเซียในปี 2564
หนี้สินทางการเงินของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.2 แสนล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2565 จากระดับ 6.7 พันล้านบาทในปี 2563 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5.7 เท่า (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) ในไตรมาสแรกของปี 2565 เทียบกับระดับ 0.5 เท่าในปี 2563
ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 1-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีสำหรับธุรกิจค้าส่งแม็คโคร และ 1.1-1.3 หมื่นล้านบาทต่อปีสำหรับธุรกิจ Lotus’s ในประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย แม้ว่าจะมีขนาดการลงทุนขนาดใหญ่
แต่ทริสเรทติ้ง ก็คาดว่า อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 3-4 เท่าในปี 2565-2567 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 30%-32% จากฐานธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และการได้รับประโยชน์จากการซื้อกิจการ
มีสถานะสภาพคล่องที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทจะมีเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 แหล่งเงินทุนของบริษัท ประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 5.7 หมื่นล้านบาทและคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทในปี 2565 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า เงินสดในมือและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทมีเพียงพอสำหรับใช้ในการชำระหนี้ที่จะครบกำหนดและเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายตามแผนลงทุนรวมประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาท
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 73% ในปี 2565 จากการรวมงบการเงินของ Lotus’s และจะเติบโตที่ระดับ 7%-9% ต่อปีในช่วงปี 2566-2567
- EBITDA Margin ที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ที่ระดับประมาณ 7%-8% ในระหว่างปี 2565-2567
- ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.3-2.6 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะความเป็นผู้นำและผลการดำเนินงานที่ดีไว้ได้ แม้ว่าจะเผชิญความท้าทายทางธุรกิจหลากหลายประการ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาระดับหนี้ที่เหมาะสมไว้ได้แม้ว่าจะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องก็ตาม
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
ด้วยสถานะที่เป็นบริษัทในเครือที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ระดับสูงของบริษัทแม่คือบริษัท ซีพี ออลล์ อันดับเครดิตของบริษัทจะถูกจำกัดด้วยอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท ซีพี ออลล์ อย่างไรก็ตาม หากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท (SACP) ลดลงต่ำกว่าอันดับเครดิตของบริษัทแม่ อันดับเครดิตของบริษัทก็อาจจะมีระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรของแม่ 1 ขั้น ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่มีต่ออันดับเครดิตของบริษัท ซีพี ออลล์ ก็จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน
อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงกว่าระดับที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ หรือบริษัทมีการก่อหนี้เพื่อขยายการลงทุนจำนวนมากจนส่งผลกระทบทำให้โครงสร้างเงินทุนและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมาก ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่า 8 เท่าเป็นระยะเวลานาน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) (MAKRO)
อันดับเครดิตองค์กร: |
A+ |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html