- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 19 June 2022 20:01
- Hits: 4338
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.สหกลอิควิปเมนท์’ที่ ‘BBB-‘ แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘BBB-’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความแข็งแกร่งด้านการแข่งขันในการเป็นผู้รับเหมาทำเหมืองแร่ และกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากการมีสัญญาจ้างงานระยะยาวกับเจ้าของงานที่มีความน่าเชื่อถือ
ทว่าอันดับเครดิตถูกลดทอนบางส่วนจากภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงและขอบเขตธุรกิจที่จำกัดของบริษัทซึ่งต้องพึ่งพาโครงการขนาดใหญ่เพียงไม่กี่โครงการ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับสถานการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งผลักดันให้ต้นทุนวัสดุก่อสร้างและค่าแรงเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีผลงานเป็นที่ยอมรับอย่างยาวนานและมีจุดแข็งในการรับเหมาทำเหมืองแร่
บริษัทให้บริการรับเหมาทำเหมืองแร่ที่ครอบคลุมโดยมีผลงานเป็นที่ยอมรับมาอย่างยาวนานในการทำเหมืองแร่ทั้งในรูปแบบผู้รับเหมาหลักหรือในรูปแบบผู้ปฏิบัติการร่วมในโครงการขุดขนดินและถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มาแล้วหลายโครงการ โดยตลอดระยะเวลามากกว่า 30 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีความแข็งแกร่งด้านการแข่งขันที่สั่งสมมาจากการมีทีมวิศวกรเหมืองแร่ที่มีประสบการณ์สูงและเครื่องจักรเฉพาะที่ใช้ในงานเหมืองแร่ที่มีความพร้อม
บริษัทได้ขยายงานโครงการเหมืองแร่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ตั้งแต่ปี 2558 โดยล่าสุดบริษัทถือสัญญาให้บริการทำเหมืองถ่านหินลิกไนต์กับ Hongsa Power Co., Ltd. (HPC) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้าระดับแนวหน้าใน สปป. ลาว โครงการนี้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นในการขยายงานในต่างประเทศของบริษัท ปัจจุบัน HPC ยังคงมีการป้อนงานที่เกี่ยวข้องกับเหมืองหงสาให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง
กระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากสัญญาระยะยาว
บริษัทมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากการมีสัญญาจ้างงานระยะยาวและการมีผู้ว่าจ้างที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตในระดับต่ำ ได้แก่ กฟผ. และ HPC ทั้งนี้ บริษัทมีมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบจำนวนมากพอสมควรซึ่งจะช่วยรักษาระดับรายได้ในระยะปานกลาง โดย ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีมูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบจำนวน 2.26 หมื่นล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยโครงการขุดขนดินและถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะ ระยะที่ 8 มูลค่า 8.9 พันล้านบาท
รวมถึงโครงการจากเหมืองหงสาใน สปป. ลาว ซึ่งประกอบด้วยโครงการเหมืองหงสามูลค่า 6.7 พันล้านบาท โครงการบริหารจัดการและซ่อมบำรุงระบบสายพานลำเลียงมูลค่า 1.7 พันล้านบาท โครงการขยายขอบบ่อขุดทางทิศเหนือมูลค่า 0.8 พันล้านบาท โครงการก่อสร้างระบบสายพานเพื่อส่งมอบผู้ว่าจ้าง (Build Lease & Transfer -- BLT) มูลค่า 2.2 พันล้านบาท และโครงการบริหารจัดการและซ่อมบำรุงระบบสายพานลำเลียงระยะต่อขยายมูลค่า 2.3 พันล้านบาท โดยประมาณ 80% ของมูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบมีกำหนดจะแล้วเสร็จในช่วงปี 2568-2570 และส่วนที่เหลือจะแล้วเสร็จในปี 2576
อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเนื่องจากต้นทุนค่าก่อสร้างที่สูงขึ้นและรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการ BLT
ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี 2564 และไตรมาสแรกของปี 2565 ใกล้เคียงกับประมาณการของทริสเรทติ้ง กล่าวคือ รายได้ของบริษัทในปี 2564 และในไตรมาสแรกของปี 2565 อยู่ที่ระดับ 4.8 พันล้านบาทและ 1.2 พันล้านบาทตามลำดับ ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 21.5% ในปี 2564 และ 27.0% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลมูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบของบริษัทแล้ว ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีรายได้อยู่ที่ระดับประมาณ 5.3 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566 และจะลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 4.5 พันล้านบาทในปี 2567 ในกรณีที่ไม่มีสัญญางานใหม่เข้ามาเพิ่ม
ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะลดลงเล็กน้อยเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงรวมทั้งรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการ BLT ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่า อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับ 20%-21% ในปีนี้และหลังจากนั้นจะลดลงไปอยู่ที่ระดับ 16%-17% ในระหว่างปี 2566-2567
อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ของบริษัทอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปีนี้เนื่องจากไม่มีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพิเศษในโครงการเมืองก๊ก (Mai Kot Project) ทั้งนี้ ภายใต้ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA Margin ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 30%-35% ตลอดช่วงเวลาประมาณการโดย EBITDA จะอยู่ที่ระดับ 1.5-1.8 พันล้านบาทต่อปี
มีขอบเขตธุรกิจที่จำกัดและโครงการมีการกระจุกตัวสูง
ทริสเรทติ้ง มองว่า ธุรกิจของบริษัทมีขอบเขตที่จำกัดและกระจุกตัวสูงโดยบริษัทเน้นดำเนินธุรกิจเฉพาะงานเหมืองแร่ ยิ่งไปกว่านั้น งานที่ยังไม่ส่งมอบก็เป็นโครงการขนาดใหญ่เพียง 2 โครงการที่ได้รับงานจาก กฟผ. และ HPC เท่านั้น ปัจจุบันโครงการที่มีมูลค่าสูงสุดคือโครงการขุดขนดินและถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะ ระยะที่ 8 ซึ่งคิดเป็น 39% ของมูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบทั้งหมดและส่วนที่เหลือเป็นโครงการของเหมืองหงสา ในปัจจุบันโครงการเหมืองแม่เมาะเป็นแหล่งรายได้หลักที่คิดเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 70%-75% ของรายได้ของบริษัท
ดังนั้น หากโครงการใดโครงการหนึ่งของบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญก็จะส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินโดยรวมของบริษัทโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น หากบริษัทไม่สามารถหางานใหม่มาทดแทนงานโครงการในปัจจุบันที่กำลังจะแล้วเสร็จได้ก็จะส่งผลกระทบต่ออนาคตทางธุรกิจของบริษัทในระยะยาวอีกด้วย
จากการที่โครงการเหมืองแร่ภายในประเทศมีการประมูลใหม่น้อย
บริษัทจึงมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ได้ส่งผลทำให้แผนในการขยายไปสู่ธุรกิจอื่นของบริษัทต้องล่าช้าออกไป ซึ่งในปัจจุบันบริษัทยังไม่มีแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่ชัดเจนแต่อย่างใด
คาดว่าภาระหนี้จะลดลง
ทริสเรทติ้ง คาดหวังว่า ภาระหนี้ของบริษัทจะค่อยๆ ลดลงในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีภาระหนี้จำนวนมากในช่วงเริ่มต้นของแต่ละโครงการ เนื่องจากค่าใช้จ่ายลงทุนสำหรับอุปกรณ์และเครื่องจักรหนักชุดใหม่นั้นสูงมาก แต่หลังจากนั้นภาระหนี้จะค่อยๆ ลดลงตลอดช่วงอายุสัญญาของโครงการ ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2565 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 65.6% ลดลงอย่างต่อเนื่องจากระดับ 68.1% ในปี 2564 และระดับ 73.4%
ในปี 2563 จากประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่า อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 60% ในปี 2567 จากระดับ 65% ในปี 2565 ส่วนอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA นั้นคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.0-3.5 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินคาดว่าจะอยู่ที่ระดับเกินกว่า 20%
เงื่อนไขทางการเงินของเงินกู้ยืมที่บริษัทมีกับธนาคารกำหนดให้บริษัทจะต้องรักษาอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ให้เกินกว่า 1.2 เท่า อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อ EBITDA ให้ต่ำกว่า 4 เท่า ส่วนเงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้ก็กำหนดให้บริษัทจะต้องรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3.5 เท่า
ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทยังคงสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินดังกล่าวได้ ซึ่งจากการคาดการณ์ที่ภาระหนี้ของบริษัทจะลดลง ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขทางการเงินดังกล่าวในช่วง 12 เดือนข้างหน้าได้
ในขณะที่หนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นหนี้ที่มีหลักประกัน ดังนั้น ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 บริษัทจึงมีอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ระดับ 70% ซึ่งเกินกว่า 50% ตาม ‘เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้’ ของทริสเรทติ้ง ดังนั้น เจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทจะมีความด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาจากลำดับความสำคัญในการเรียกร้องสินทรัพย์ของบริษัท
สภาพคล่องที่ตึงตัว
บริษัทมีสภาพคล่องที่ตึงตัว โดย ณ เดือนมีนาคม 2565 แหล่งสภาพคล่องของบริษัทประกอบไปด้วยเงินสดในมือจำนวน 223 ล้านบาทและวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 300 ล้านบาท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.3-1.5 พันล้านบาท
ในขณะที่เงินทุนที่บริษัทจะต้องใช้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประกอบด้วยภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวนราวๆ 2.7 พันล้านบาท ค่าใช้จ่ายลงทุนจำนวนราวๆ 1.1 พันล้านบาท และเงินปันผลจ่ายอีกประมาณ 0.1 พันล้านบาท โดยภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าประกอบด้วยเงินกู้ยืมโครงการจำนวน 2 พันล้านบาทและหุ้นกู้อีกจำนวน 0.7 พันล้านบาท ในการนี้ บริษัทจะชำระคืนเงินกู้ยืมโครงการด้วยเงินสดที่ได้รับตามความก้าวหน้าของโครงการ ส่วนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระนั้น บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาทดแทน
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- • รายได้ของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 4.5-5.3 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า
- • EBITDA Margin คาดว่าจะอยู่ในช่วง 30%-35%
- • เงินลงทุนรวมคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.5 พันล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความแข็งแกร่งในด้านการแข่งขันในฐานะผู้รับเหมางานเหมืองแร่เอาไว้ได้ อีกทั้งบริษัทจะสามารถดำเนินโครงการได้ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างงานและสร้างกระแสเงินสดในระดับที่เหมาะสมจนจบงานตามแผน ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งก็คาดหวังว่าบริษัทจะมี EBITDA Margin คงอยู่ที่ระดับ 30%-35% ได้ ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ระดับเกินกว่า 20% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทลดต่ำกว่าที่คาดไว้อย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น อันดับเครดิตอาจได้รับผลกระทบในด้านลบหากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 20% อย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่การปรับเพิ่มอันดับเครดิตมีค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทประสบความสำเร็จในการกระจายแหล่งรายได้พร้อมทั้งลดภาระหนี้ลงได้อย่างมีสาระสำคัญ
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
บริษัท สหกลอิควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (SQ)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html