- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 29 May 2022 21:18
- Hits: 4594
ทริสเรทติ้ง ประกาศเครดิตพินิจ’Positive’ อันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ ‘บ.ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น’
ทริสเรทติ้งประกาศ ‘เครดิตพินิจ’ แนวโน้ม ‘Positive’ หรือ ‘บวก’ สำหรับอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด โดยปัจจุบันอันดับเครดิตดังกล่าวอยู่ที่ระดับ ‘BBB+’
ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นบริษัทย่อยหลักของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) โดยอันดับเครดิตของบริษัทมีระดับเท่ากับอันดับเครดิตของ TRUE ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้งที่ระดับ ‘BBB+’ และมี ‘เครดิตพินิจ’ แนวโน้ม ‘Positive’ หรือ ‘บวก’
การประกาศ ‘เครดิตพินิจ’ ดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากความคืบหน้าของการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC) ซึ่งทั้ง 2 บริษัทเพิ่งได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นของบริษัทแต่ละแห่งในการควบรวมกิจการในครั้งนี้ โดยขณะนี้การควบรวมอยู่ระหว่างรอการอนุมัติด้านกฎระเบียบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงเงื่อนไขอื่นๆ เพื่อการดำเนินการควบรวมให้แล้วเสร็จ
ในการนี้ เมื่อการควบรวมแล้วเสร็จ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะกลายมาเป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทใหม่ที่จะเกิดจากการควบรวมในครั้งนี้ (NEWCO) ซึ่งอันดับเครดิตของบริษัทก็จะมีระดับเท่ากับอันดับเครดิตที่จัดให้แก่ NEWCO
‘เครดิตพินิจ’ แนวโน้ม ‘Positive’ หรือ ‘บวก’ สะท้อนถึงความเห็นของทริสเรทติ้งว่า NEWCO ที่เกิดจากการควบรวมกิจการจะมีสถานะเครดิตที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสถานะเครดิตของ TRUE โดยทริสเรทติ้งคาดว่าการควบรวมจะทำให้เกิดการผสานพลังทางธุรกิจ รวมทั้งการขยายขนาดของธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน
และเมื่อพิจารณาในเชิงตัวเลขแล้ว การควบรวมกิจการจะทำให้ NEWCO ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดในด้านรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ อีกทั้ง สถานะทางการเงินของ NEWCO น่าจะแข็งแกร่งกว่าสถานะทางการเงินของ TRUE ในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ โดยทริส เรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ NEWCO หลังจากการควบรวมแล้วจะอยู่ที่ระดับ 5-5.5 เท่าซึ่งต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนของ TRUE ซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 7 เท่า
ทริสเรทติ้ง มีมุมมองว่า ความท้าทายในการได้รับการอนุมัติด้านกฎระเบียบจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นั้นถือว่าเป็นความเสี่ยงสำคัญสำหรับการควบรวมกิจการดังกล่าว และมีความเป็นไปได้ว่ากำหนดเวลาในการควบรวมกิจการให้แล้วเสร็จนั้นอาจมีการขยายออกไป ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งจะทบทวน’เครดิตพินิจ’ ของบริษัทอีกครั้งเมื่อธุรกรรมดังกล่าวเสร็จสิ้น
และทริสเรทติ้ง ได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบที่จะมีต่อสถานะเครดิตของบริษัทจากการทำธุรกรรมดังกล่าวอย่างถี่ถ้วนแล้ว ซึ่งทั้ง TRUE และ DTAC คาดว่าการควบรวมจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 ในการนี้ ทริสเรทติ้งจะติดตามความคืบหน้าในการควบรวมกิจการอย่างใกล้ชิดและจะดำเนินการทบทวนอันดับเครดิตตามความเหมาะสมต่อไป
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นบริษัทย่อยหลักของ TRUE
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า บริษัทเป็นบริษัทย่อยหลักของ TRUE ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่มีอำนาจควบคุมการตัดสินใจด้านกลยุทธ์และนโยบายทางการเงินของบริษัทโดยตรง โดย TRUE เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทได้รับการก่อตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ให้บริการสื่อสารแบบไร้สายภายใต้ใบอนุญาตและเป็นบริษัทหลักในการให้บริการสื่อสารแบบไร้สายขนาดใหญ่ของกลุ่ม TRUE
บริษัทมีบูรณาการทั้งในด้านการดำเนินธุรกิจและกลยุทธ์ทางการเงินในระดับสูงร่วมกับบริษัทแม่ บริษัทเป็นผู้ถือครองสินทรัพย์ในการดำเนินหลัก ๆ เช่น สถานีฐานและอุปกรณ์สำหรับธุรกิจสื่อสารแบบไร้สายของกลุ่ม TRUE นอกจากนี้ ทั้งกลยุทธ์การบริหารจัดการและกลยุทธ์กลุ่มของทั้งสองบริษัทยังมีการบูรณาการและพึ่งพาซึ่งกันและกันเป็นอย่างมากอีกด้วย
ในอดีตที่ผ่านมา TRUE ให้การสนับสนุนบริษัทในด้านการเงินในรูปของการเพิ่มทุนและให้เงินกู้ยืมจากผู้ถือหุ้นในยามที่จำเป็น ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัทสร้างรายได้คิดเป็นสัดส่วน 77% ของรายได้รวมของ TRUE และสร้าง EBITDA ในสัดส่วนเกือบ 60% ของกลุ่ม ในการนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงเป็นบริษัทย่อยหลักรายสำคัญของกลยุทธ์การให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรของกลุ่มในระยะยาวต่อไป
มีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง
บริษัทยังคงมีสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งโดยเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่อันดับ 2 ในธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยทั้งในด้านจำนวนลูกค้าและรายได้ ซึ่งสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทมีปัจจัยสนับสนุนจากการมีโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ครอบคลุมกว้างขวางและมีคุณภาพ รวมทั้งการมีคลื่นความถี่ (Spectrum Portfolio) ที่หลากหลายจำนวนมากและตราสัญลักษณ์ที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี
โดยความแข็งแกร่งเหล่านี้ช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีจำนวนลูกค้าทั้งในระบบแบบเติมเงินและระบบรายเดือนที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีลูกค้าทั้งสิ้นจำนวน 32.6 ล้านรายหรือคิดเป็นสัดส่วน 33.6% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมดในอุตสาหกรรม ในขณะที่รายได้จากการให้บริการที่ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (Interconnection Charge – IC) ในปี 2564 นั้นอยู่ที่ระดับ 7.98 หมื่นล้านบาทและ 1.97 หมื่นล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2565 ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดในด้านรายได้ที่ระดับประมาณ 32%
รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ที่ลดลงส่งผลกดดันรายได้ของบริษัท
รายได้จากการให้บริการรวมของอุตสาหกรรมสื่อสารแบบไร้สายของไทยลดลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยืดเยื้อ โดยในปี 2564 มูลค่าตลาดโดยรวมอยู่ที่ระดับ 2.53 แสนล้านบาท ลดลง 1.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเมื่อเทียบกับการเติบโตเฉลี่ยที่ระดับ 2% ต่อปีในช่วงปี 2561-2562 แม้ว่าจำนวนลูกค้าโดยรวมของทั้งอุตสาหกรรมจะฟื้นตัว
แต่รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ (Average Revenue per User -- ARPU) ของทั้งอุตสาหกรรมในปี 2564 กลับลดลงเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง รวมถึงการที่ภาครัฐนำมาตรการปิดเมือง (Lockdown) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดกลับมาใช้อีกครั้ง ตลอดจนการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 มูลค่าตลาดยังคงหดตัวต่อไปที่ระดับ 1.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
บริษัทมีรายได้จากการให้บริการที่ไม่รวม IC ในปี 2564 อยู่ที่ระดับ 7.98 หมื่นล้านบาท ลดลงเล็กน้อยที่ระดับ 0.5% จากปี 2563 ส่วนในไตรมาสแรกของปี 2565 รายได้จากการให้บริการของบริษัทยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ การแข่งขันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านราคาในกลุ่มลูกค้าแบบเติมเงินนั้นยังคงมีความรุนแรง อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงขยายโครงข่าย 5G และ 4G (5th and 4th Generation) อย่างต่อเนื่องไปพร้อมๆ กับนำเสนอเนื้อหาดิจิทัลและประสบการณ์ด้านดิจิทัลแบบพิเศษแก่ลูกค้าเพื่อที่จะรักษาฐานลูกค้าและเสริมสถานะทางการตลาดของบริษัทให้แข็งแกร่งเอาไว้ ส่งผลทำให้บริษัทมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 1.94 ล้านราย ในระหว่างปี 2564 จนถึงเดือนมีนาคม 2565 และทำให้จำนวนลูกค้ารวมอยู่ที่ 32.6 ล้านราย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้า 5G ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีการใช้ข้อมูลสูง อยู่จำนวน 2.6 ล้านราย
เป็นบริษัทหลักที่สร้างรายได้และกำไรให้แก่กลุ่ม
บริษัทเป็นบริษัทหลักที่สร้างรายได้และกำไรให้แก่กลุ่ม TRUE โดยสร้างรายได้อยู่ที่ระดับ 1.11-1.17 แสนล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 75%-77% ของรายได้รวมของ TRUE ในขณะที่ EBITDA ของบริษัทคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 53%-59% ของ EBITDA รวมของ TRUE ในช่วงเวลาเดียวกัน
ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงนั้น
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะยังคงเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่เข้ามาได้อย่างต่อเนื่องโดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการบูรณาการธุรกิจแบบครบวงจรและการผนึกกำลังทางธุรกิจในช่องทางออนไลน์ของกลุ่ม TRUE ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาโดยจะอยู่ในช่วง 1.17-1.20 แสนล้านบาทต่อปีซึ่งน่าจะยังคงคิดเป็นสัดส่วนหลักที่ระดับประมาณ 75% ของรายได้รวมของบริษัทแม่
ในขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทจะได้แรงหนุนจากอุปสงค์ในการใช้บริการข้อมูลที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการที่ลูกค้าเปลี่ยนจากการใช้งานระบบเติมเงินไปสู่ระบบรายเดือนและสภาพเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฟื้นตัว
ความสามารถในการทำไรของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากผลของมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ
โดยในปี 2564 EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้น 9.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 3.68 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีอัตรา EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 31.6% ในปี 2564 จากระดับ 30% ในปี 2563 บริษัทมีการดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและควบคุมค่าใช้จ่ายซึ่งรวมถึงการลดค่าใช้จ่ายในการขายและการส่งเสริมการตลาดส่วนบุคคลโดยผ่านช่องทางออนไลน์ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ทริสเรทติ้ง คาดว่ากำไรของบริษัทจะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของรายได้และความพยายามในการควบคุมต้นทุนของบริษัท โดยมาตรการลดต้นทุนคาดว่าจะให้ผลในเชิงบวกต่ออัตรากำไร ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะมี EBITDA อยู่ในช่วง 3.6-3.7 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 และจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานปีละ 2.2-2.3 หมื่นล้านบาท อีกทั้ง บริษัทจะยังคงมีบทบาทสำคัญในการสร้างกำไรให้แก่กลุ่ม TRUE โดยจะสร้าง EBITDA คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 60% ของ EBITDA รวมของกลุ่ม
สถานะด้านการเงินมีภาระหนี้สินอยู่ในระดับสูง
บริษัทมีภาระหนี้สินอยู่ในระดับสูง กล่าวคือ ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีหนี้สินปรับปรุงสุทธิอยู่ที่จำนวน 2.76 แสนล้านบาท เนื่องจากบริษัทมี EBITDA ที่ปรับตัวดีขึ้นจึงทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 7.4 เท่า ณ เดือนมีนาคม 2565 จากระดับ 8 เท่าในช่วงระหว่างปี 2562-2563 รวมทั้งมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ที่ระดับ 8.7% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ระดับประมาณ 81%
ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าหนี้สินของบริษัทน่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเมื่อพิจารณาจากเงินลงทุนสำหรับขยายโครงข่ายและภาระในการชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่รวมถึงภาระดอกเบี้ยจ่ายจำนวนมาก
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2.3-2.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 และจะมีภาระที่ต้องจ่ายชำระค่าใบอนุญาตอีกปีละประมาณ 9.4 พันล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งทำให้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินปรับปรุงสุทธิต่อ EBITDA ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 8 เท่าในช่วง 3 ปีข้างหน้าในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินปรับปรุงสุทธิจะอยู่ที่ระดับประมาณ 8%
ความจำเป็นในการกู้ยืมใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิม
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า สภาพคล่องของบริษัทจะตึงตัวแต่ก็อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2565 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 9.9 พันล้านบาท ในขณะที่มีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วงเวลา 12 เดือนข้างหน้าจำนวนประมาณ 2.38 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังมีภาระหนี้สินตามสัญญาเช่าในส่วนที่จะถึงกำหนดชำระภายใน 1 ปีอีกจำนวน 7.4 พันล้านบาทอีกด้วย เมื่อพิจารณาความต้องการใช้เงินทุนในการขยายโครงข่ายและเงินทุนจากการดำเนินงานแล้ว ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทมีความจำเป็นจะต้องกู้เงินใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิมส่วนใหญ่ที่จะครบกำหนด
สถานะเครดิตของ TRUE
ทริสเรทติ้ง ประกาศ ‘เครดิตพินิจ’ แนวโน้ม ‘Positive’ หรือ ‘บวก’ สำหรับอันดับเครดิตองค์กรของ TRUE ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ ‘BBB+’ เนื่องจากมีความคืบหน้าในการควบรวมกิจการระหว่าง TRUE และ DTAC โดยอันดับเครดิตองค์กรของ TRUE ยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในฐานะผู้นำในธุรกิจให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรในประเทศไทย
ตลอดจนความแข็งแกร่งในการแข่งขันทั้งในธุรกิจให้บริการสื่อสารแบบไร้สายและธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ในขณะเดียวกัน อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่น่าพอใจของ TRUE และความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่า TRUE จะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือกลุ่มซีพีและพันธมิตรเชิง
กลยุทธ์ คือ China Mobile International Holdings Ltd. (China Mobile) อีกด้วย ในทางกลับกัน อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนจากภาระหนี้สินในระดับสูงและการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- ทริสเรทติ้ง มีสมมติฐานกรณีพื้นฐานว่าบริษัทจะยังคงสถานะในการเป็นบริษัทย่อยหลักของ TRUE ต่อไปจนกว่าการควบรวมกิจการจะแล้วเสร็จ
- เมื่อการควบรวมกิจการเสร็จสิ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเป็นบริษัทย่อยหลักของ NEWCO
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
หมายเหตุ ‘เครดิตพินิจ’
‘เครดิตพินิจ’ เป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการทบทวนผลอันดับเครดิตของตราสารหนี้หรือองค์กรที่ทริสเรทติ้งได้ประกาศผลอันดับเครดิตไปแล้ว ซึ่งโดยปกติการทบทวนดังกล่าวจะกระทำตลอดอายุของตราสารหรือสัญญาและสรุปผลเมื่อครบรอบปี ในระหว่างเวลานั้นหากมีกรณีที่มีเหตุการณ์สำคัญ
ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของหน่วยงานแต่ข้อมูลผลกระทบยังไม่เพียงพอต่อการพิจารณาทบทวน ทริสเรทติ้งจะประกาศ ‘เครดิตพินิจ’ เพื่อแจ้งให้สาธารณชนทราบถึงผลดังกล่าวโดยมีแนวโน้ม 3 รูปแบบ คือ ‘Positive’ (บวก) ‘Negative’ (ลบ) และ ‘Developing’ (ยังไม่ชัดเจน) ตามลักษณะของผลกระทบนั้นๆ ซึ่งจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงผลอันดับเครดิตแต่อย่างใด
บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TUC)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB+ |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
TUC228A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 |
BBB+ |
TUC22DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,772.90 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 |
BBB+ |
TUC238A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 8,001.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
BBB+ |
TUC23DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,545.10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
BBB+ |
TUC241A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 11,190.40 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
BBB+ |
TUC243A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,182.90 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
BBB+ |
TUC245A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,789.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
BBB+ |
TUC245B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,888.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
BBB+ |
TUC246A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
BBB+ |
TUC24NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
BBB+ |
TUC255A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,306.10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
BBB+ |
TUC256A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 18,544.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
BBB+ |
TUC25NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,838.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
BBB+ |
TUC265A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,653.30 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
BBB+ |
TUC26DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,480.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
BBB+ |
TUC275A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,376.40 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
BBB+ |
TUC27NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,643.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
BBB+ |
TUC295A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,575.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 |
BBB+ |
แนวโน้มเครดิตพินิจ: |
Positive |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html