- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 15 May 2022 14:48
- Hits: 4559
PTTGC รายได้ Q1/65 รวม 175,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% เติบโตตามราคาน้ำมัน Q1/65 กำไร 4,211 ล้านบาท
PTTGC 'พีทีที โกลบอล เคมิคอล' เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 กำไรสุทธิ 4,211.66 ล้านบาท หรือ 0.93 บาท/หุ้น ลดลง 57% จากงวดเดียวกันปี 64 ที่มีกำไร 9,694.86 ล้านบาท หรือ 2.16 บาท/หุ้นและมีรายได้จากการขายรวม 175,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% ยังเติบโตตามราคาน้ำมัน
นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ไตรมาส 1 ปี 2565 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2565 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ซึ่งผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทฯ แล้ว อีกทั้งคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทฯ ได้เห็นชอบให้บริษัทฯ เผยแพร่งบการเงินและรายงานการวิเคราะห์งบการเงิน สำหรับ ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ
ผลประกอบการในไตรมาส 1/2565 PTTGC มีรายได้จากการขายรวม 175,554 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากไตรมาส 4/2564 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 72 จากไตรมาส 1/2564 โดยรายได้จากการขายรวมปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามราคาน้ามันดิบ ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากทั้งอุปสงค์ที่ฟื้นตัวภายหลังจากที่หลายประเทศทั่วโลกเริ่มผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
และความตึงเครียดทางการเมืองจากสงครามระหว่างประเทศรัสเซียและประเทศยูเครนซึ่งนาไปสู่การที่หลายประเทศคว่าบาตรการใช้น้ามันและพลังงานจากประเทศรัสเซีย เช่นเดียวกับราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทางราคาวัตถุดิบ
รวมถึงยังมีปัจจัยสนับสนุนด้านอุปทานที่ตึงตัวจากการหยุดซ่อมบารุงและการปรับลดกาลังการผลิตของผู้ผลิตบางรายในภูมิภาค ในขณะที่ปริมาณขายรวมของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้หลังจากที่บริษัทฯ ได้เริ่มรับรู้ผลประกอบการของบริษัท allnex ภายหลังจากเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการในช่วงปลายไตรมาส 4/2564 ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2565
บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ (ไม่รวมผลกำไรจากสต๊อกน้ำมันและรายการขาดทุนจากรายการมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับผลกำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยนและกาไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง รายการพิเศษอื่นๆ) อยู่ที่ 6,236 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากในไตรมาส 4/2564 ร้อยละ 80 แต่ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 1/2564 ร้อยละ 29 โดยมี Adjusted EBITDA
ในไตรมาสนี้ อยู่ที่ 14,273 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 จากไตรมาส 4/2564 และใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2564 ซึ่งเมื่อพิจารณารวมถึงผลจากการที่บริษัทฯ รับรู้ผลกำไรจากสต๊อกน้ามัน และรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Gain Net NRV) เป็นกำไรรวม 4,884 ล้านบาท ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 8,568 ล้านบาท
โดยเป็นการรับรู้ที่เกิดขึ้นแล้ว (realized)จำนวน 2,573 ล้านบาท และที่ยังไม่เกิดขึ้น (unrealized)จำนวน 5,996 ล้านบาท ผลกำไรทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน 595 ล้านบาท กำไรจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน 1,066 ล้านบาท รวมถึงการที่ในไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีการทบทวนอายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์ ซึ่งประเมินโดยวิศวกรของกลุ่มบริษัท ซึ่งทำให้ค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ของบริษัทฯ
ในไตรมาสนี้ ไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากถึงแม้จะมีการรวมผลประกอบการของ allnex เข้ามาในไตรมาสนี้ ส่งผลให้ในไตรมาส 1/2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 4,212 ล้านบาท (0.93 บาท/หุ้น) ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จากไตรมาส 4/2564 ในไตรมาสนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีผลประกอบการทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า โดยราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (PE) เฉลี่ยในไตรมาสนี้ปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ต้นทุนวัตถุดิบปรับสูงขึ้นตามราคาแนฟทาที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ามันดิบ ส่งผลให้กลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมี Adjusted EBITDA Margin ในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 11 คงที่จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ปรับลดลงจากร้อยละ 26 ในไตรมาส 1/2564 กลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์มีผลประกอบการลดลง
โดยมีส่วนต่างผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ (BTX P2F) อยู่ที่ 48 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับตัวลดลงจากทั้งไตรมาสก่อนหน้าและไตรมาส 1/2564 โดยสาเหตุหลักเนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์พลอยได้ (By products)โดยเฉพาะแอลพีจีปรับตัวลดลง ประกอบกับราคาวัตถุดิบในส่วนของคอนเดนเสทพรีเมี่ยมปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในทิศทางเดียวกันกับราคาน้ามันดิบ
ถึงแม้ส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีน จะปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากปัจจัยสนับสนุนจากอุปทานที่ลดลงในตลาดจากการลดกาลังการผลิตของผู้ผลิตหลายรายในภูมิภาคในไตรมาสนี้ก็ตาม ผลประกอบการในกลุ่มธุรกิจ Performance Materials and Chemicals ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการเริ่มรับรู้ผลประกอบการของ allnex เข้ามาในไตรมาสนี้ และธุรกิจฟีนอลที่ยังคงมีผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง แม้ว่าราคาผลิตภัณฑ์บีพีเอจะมีการปรับตัวลดลงจากอุปทานในตลาดที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ธุรกิจโรงกลั่นมีผลประกอบการที่ดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสนี้ โดยมีค่าการกลั่น (GRM)อยู่ที่ 7.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากทั้งไตรมาสก่อนหน้าและไตรมาส 1/2564 เนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์หลักปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากตามอุปสงค์ที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการเปิดประเทศรวมถึงการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทั่วโลก
รวมถึงยังมีปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ อาทิเช่น มาตรการของหลายประเทศในการคว่าบาตรทางเศรษฐกิจต่อประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและน้ามันดิบรายใหญ่ของโลก การส่งออกที่ลดลงของประเทศจีน และอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าในกลุ่มประเทศทวีปเอเซียตอนเหนือเพื่อใช้น้ามันเตากามะถันต่ำทดแทนก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่บริษัทฯ รับรู้จำนวน 1,150 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 4/2564 เนื่องจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่อ่อนตัวลงในธุรกิจปิโตรเคมีในไตรมาสนี้
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 781,338 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 จานวน 27,222 ล้านบาทหรือร้อยละ 4 โดยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เงินลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียน
รวมถึงเงินสดได้รับมาจากการออกหุ้นกู้ทั้งสกุลเงินบาท และสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ชุดใหม่ ลูกหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้น และสินค้าคงเหลือที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมรวมถึงปิโตรเคมีปรับตัวเพิ่มขึ้น
ในขณะที่บริษัทฯ มีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 455,184 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 จำนวน 28,672 ล้านบาท หรือร้อยละ 7 โดยหลักจากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้ดังกล่าว และเจ้าหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 บริษัทฯ มีส่วนของผู้ถือหุ้น 326,153 ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 จำนวน 1,450 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2565 จำนวน 4,212 ล้านบาท การเปลี่ยนแปลงในองค์ประกอบอื่นของผู้ถือหุ้นลดลง 6,096 ล้านบาท ประกอบด้วยขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมเงินลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน 3,896 ล้านบาท จากการวัดมูลค่ายุติธรรมเงินลงทุนในบริษัท GPSC และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการแปลงค่างบการเงิน 2,068 ล้านบาทเนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เป็นสำคัญ
ส่วนความคืบหน้าโครงการสำคัญ โดยโครงการพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (Recycle Plant) กำลังการผลิต 45,000 ตันต่อปี จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2/65 โครงการพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง กำลังการผลิต 29,000 ตันต่อปี เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4/65 โครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/66
สำหรับ ครึ่งปีหลัง 2565 บริษัทฯ คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยที่ 95-103 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม คาดว่า สถานการณ์ราคาและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์จะยังอยู่ในระดับสูง ทั้งอุปสงค์ที่เติบโตจากการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์และการเปิดประเทศ รวมถึงอุปทานที่ตึงตัวจากโควต้าการส่งออกที่ลดลงของประเทศจีน และการควบคุมอุปทานจากกลุ่ม OPEC