- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Tuesday, 05 April 2022 10:10
- Hits: 2973
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน’บ.ซีพีเอฟ (ประเทศไทย)’ ที่ ‘A+’ แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘A+’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยหลักของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (ได้รับอันดับเครดิต ‘A+/Stable’ จากทริสเรทติ้ง) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ทั้งนี้ การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการดำเนินงานของบริษัทที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับการดำเนินงานของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารและการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ที่บริษัทได้รับจากบริษัทแม่ด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
มีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า บริษัทเป็นบริษัทย่อยหลักของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารโดยพิจารณาจากการดำเนินงานของบริษัทที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับของบริษัทแม่ทั้งในแง่ของกลยุทธ์ทางธุรกิจและการเงิน
บริษัทซีพีเอฟ (ประเทศไทย) ได้รับการก่อตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจสัตว์บกในประเทศไทยให้แก่บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทสะท้อนถึงการดำเนินงานที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกันกับของบริษัทแม่ ตลอดจนการได้รับการสนับสนุนในด้านต่างๆ จากบริษัทแม่ ทั้งนี้ จากการที่บริษัทแม่ถือหุ้นเกือบทั้งหมดในบริษัท บริษัทแม่จึงมีส่วนในการกำหนดทิศทางและการดำเนินธุรกิจทั้งหมดของบริษัท
ในขณะเดียวกัน บริษัทแม่ยังช่วยในเรื่องการจัดจำหน่ายสินค้าในช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าภายในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังช่วยในเรื่องการจัดหาวัตถุดิบต่างๆ ให้แก่บริษัทอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากบริษัทแม่ในรูปของการเพิ่มทุนหรือเงินกู้ในเวลาที่จำเป็นอีกด้วยเช่นกัน
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมารายได้ของบริษัทคิดเป็นสัดส่วน 25%-27% ของรายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทแม่ ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายคิดเป็นสัดส่วน 10%-17% ของบริษัทแม่
ผลกระทบจากการปรับโครงสร้างกลุ่มซีพีเอฟ
ในเดือนธันวาคม 2563 บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารได้ดำเนินการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจเพื่อลดการถือหุ้นไขว้กันระหว่างบริษัทในเครือและรวมกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอาหารและการจัดจำหน่ายมาอยู่ภายใต้ บริษัท ซี.พี. เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด การดำเนินการดังกล่าวทำให้บริษัทซีพีเอฟ (ประเทศไทย) ต้องขายกิจการของบริษัทลูกจำนวน 3 แห่งออกไปเพื่อแลกกับเงินลงทุนในสัดส่วน 12.5% ในบริษัท ซี.พี. เมอร์แชนไดซิ่ง ทั้งนี้ บริษัทลูกทั้ง 3 แห่งดังกล่าวประกอบด้วย บริษัท ซีพีเอฟ เทรดดิ้ง จำกัด บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จำกัด และ บริษัท ซีพีเอฟ เรสเทอรองท์ แอนด์ ฟู้ดเชน จำกัด
การปรับโครงสร้างดังกล่าวได้ส่งผลให้รายได้และกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลงจากการนำผลการดำเนินงานของบริษัทลูกทั้ง 3 แห่งดังกล่าวออกไปจากงบการเงินรวม ในการนี้ รายได้รวมของบริษัทลดลงประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อปี และกำไรจากการดำเนินงานลดลงประมาณ 1 พันล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม การลดลงของรายได้ และกำไรจะถูกทดแทนด้วยกำไรและเงินปันผลจากการถือหุ้น 12.5% ในบริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง โดยในปี 2564 บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท ซี.พี. เมอร์แชนไดซิ่ง จำนวน 1.6 พันล้านบาท
ทริสเรทติ้ง เห็นว่า รายได้และกำไรของบริษัทจะมีความผันผวนมากขึ้นหลังจากการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจเนื่องจากบริษัทจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจฟาร์มที่สูงขึ้นในขณะที่สัดส่วนรายได้จากธุรกิจอาหารลดลง อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดหวังว่า จะได้รับประโยชน์จากศักยภาพในการเติบโตที่สูงขึ้นของบริษัท ซี.พี. เมอร์แชนไดซิ่ง ซึ่งดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั้งด้านอาหาร ช่องทางการจัดจำหน่าย และการค้าปลีก
ผลการดำเนินงานอ่อนกว่าคาด
บริษัทมีผลการดำเนินงานอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งเคยคาดการณ์ไว้อันเนื่องมาจากผลการดำเนินงานที่ตกต่ำลงอย่างมากของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จากสถานการณ์โรคโควิด 19 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นตลอดจนมาตรการปิดเมือง (Lockdown) รวมถึงราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับตัวขึ้นสูงเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานจากผลกระทบของโรคโควิด 19 ที่ระบาดในโรงงานแปรรูปอาหารหลายๆ แห่งและอุปสงค์ที่ลดลงของผู้บริโภคก็เป็นสาเหตุที่ส่งผลให้ราคาสัตว์บกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีค่าใช้จ่ายพิเศษอีกประมาณ 1 พันล้านบาทที่เกิดจากมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 ในปี 2564 อีกด้วย จากสาเหตุดังกล่าวจึงส่งผลทำให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทลดลง 65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 5.1 พันล้านบาท ในปี 2564 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.9% ในปึ 2564 เทียบกับระดับ 9.6% ในปี 2563
ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ที่อ่อนตัวลง
การลงทุนจำนวนมากกอปรกับความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นได้ส่งผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 59.1% ในปี 2564 จากระดับ 57.5% ในปี 2563 กระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทก็อ่อนแอลงตามอัตรากำไรที่ลดลง อัตราส่วน EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.6 เท่าในปี 2564 จากระดับ 4.6 เท่าในปี 2563 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยมาอยู่ที่ระดับ 18.4 เท่าในปี 2564 จากระดับ 6.3 เท่าในปี 2563 ในขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.9% ในปี 2564 จากระดับ 12% ในปี 2563
ณ เดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่จำนวน 9.3 หมื่นล้านบาท โดยจำนวนเกือบ 90% เป็นหุ้นกู้และเงินกู้ยืมระยะยาว ส่วนที่เหลือเป็นเงินกู้ระยะสั้นสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า บริษัทมีเงินกู้ที่จะครบกำหนดชำระในปี 2565 ประมาณ 2 พันล้านบาทซึ่งคาดว่าแหล่งที่มาของเงินสดเพื่อการชำระหนี้จะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นหลัก นอกจากนี้ บริษัทยังมีสภาพคล่องจำนวนมากจากเงินสดในมือจำนวนประมาณ 1 หมื่นล้านบาทและวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินอีกหลายแห่งด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิตและปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่า บริษัทจะยังคงดำรงสถานะบริษัทย่อยหลักที่รับผิดชอบดำเนินธุรกิจสัตว์บกแบบครบวงจรในประเทศไทยของกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์อาหารต่อไป
โดยที่อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทขึ้นอยู่กับสถานะเครดิตของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารเป็นสำคัญ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับอันดับเครดิตของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารก็จะส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (CPFTH)
อันดับเครดิตองค์กร: |
A+ |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
CPFTH231A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,150 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
A+ |
CPFTH235A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
A+ |
CPFTH237A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
A+ |
CPFTH245A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
A+ |
CPFTH252A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 13,445 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
A+ |
CPFTH255A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
A+ |
CPFTH261A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,350 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
A+ |
CPFTH267A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
A+ |
CPFTH275A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
A+ |
CPFTH278A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,359.1 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
A+ |
CPFTH279A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,470 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
A+ |
CPFTH281A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,050 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 |
A+ |
CPFTH287A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 |
A+ |
CPFTH295A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 |
A+ |
CPFTH299A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,010 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 |
A+ |
CPFTH305A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 |
A+ |
CPFTH308A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 806.1 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 |
A+ |
CPFTH315A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 |
A+ |
CPFTH317A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 |
A+ |
CPFTH328A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 872.6 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 |
A+ |
CPFTH335A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2576 |
A+ |
CPFTH339A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,520 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2576 |
A+ |
CPFTH358A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,517.2 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2578 |
A+ |
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 35,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 15 ปี |
A+ |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html