- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 20 March 2022 17:22
- Hits: 5876
ทริสเรทติ้ง เพิ่มอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.ซิงเกอร์ประเทศไทย’ เป็น ‘BBB’ จาก ‘BBB-‘ แนวโน้ม ‘Stable’
ริสเรทติ้ง ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ ‘BBB’ จาก’BBB-‘ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยการปรับเพิ่มอันดับเครดิตนั้นสะท้อนถึงฐานทุนที่มีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายหลังจากได้รับเงินเพิ่มทุนเข้ามาในเดือนธันวาคม 2564
ในขณะที่อันดับเครดิตของบริษัทนั้นยังคงสะท้อนถึงสถานะทางการตลาด ตลอดจนผลการดำเนินงาน และคุณภาพสินทรัพย์ของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคและบริโภคของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเป็นการขยายสินเชื่อผ่านบริษัทย่อยคือ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (SGC)
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากการแข่งขันอย่างรุนแรงในธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการอุปโภคและบริโภคและสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน รวมทั้งภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่อ่อนแออันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ซึ่งยังคงเป็นความท้าทายของบริษัทในการรักษาผลการดำเนินงานและคงคุณภาพสินทรัพย์เอาไว้ให้ได้
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ฐานทุนที่แข็งแกร่ง
ฐานทุนของบริษัทที่แข็งแกร่งนั้นเป็นปัจจัยบวกสำหรับอันดับเครดิต ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยง (RAC) เพิ่มขึ้นเป็น 56.4% จาก 27.3% ณ สิ้นปี 2563 โดยสถานะเงินทุนที่เข้มแข็งขึ้นเป็นผลมาจากการเพิ่มทุนใหม่จำนวน 1.01 หมื่นล้านบาทในเดือนธันวาคม 2564
โดยบริษัทได้รับเงินเพิ่มทุนโดยเฉพาะเจาะจงจาก บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) และโดยการใช้สิทธิตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ผู้ถือหุ้นเดิมแต่ละรายถืออยู่ (Rights Offering) จาก บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) และผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ โดยสถานะเงินทุนของบริษัทนั้นเพียงพอที่จะสนับสนุนแผนการขยายสินเชื่อของบริษัทได้ในระยะกลาง
ทริสเรทติ้ง คาดว่า ระดับฐานทุนของบริษัทจะยังคงแข็งแกร่งในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าโดยประมาณการว่าบริษัทจะมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงอยู่ในช่วง 47%-56% ในระหว่างปี 2565-2567 แม้ประมาณการของทริสเรทติ้งมองว่าอัตราการขยายตัวของสินเชื่อของบริษัทจะอยู่ในระดับสูงและอัตราการจ่ายเงินปันผลตามนโยบายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 60% แต่ทริสเรทติ้ง ก็ยังเชื่อว่า ฐานทุนของบริษัทที่เกิดจากการสะสมผลกำไรอย่างต่อเนื่องน่าจะช่วยสนับสนุนสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งของบริษัทได้
ในด้านของภาระหนี้นั้น บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงเป็น 0.6 เท่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 จาก 2.3 เท่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวยังต่ำกว่าข้อกำหนดทางการเงินที่บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้เกิน 3 เท่า
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะรักษาฐานทุนให้มีความแข็งแกร่งและจะยังคงรักษาอัตราส่วนภาระหนี้ในระดับต่ำได้ในระยะยาวถึงแม้เป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อจะขยายตัวอย่างมากและมีนโยบายจ่ายเงินปันผลที่ค่อนข้างสูง แต่บริษัทก็มีความสามารถในการทำกำไรที่สูงด้วยเช่นกัน
สถานะทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การขยายสินเชื่ออย่างต่อเนื่องซึ่งดำเนินการผ่านบริษัทลูกคือ SGC นั้นช่วยให้สถานะทางการตลาดของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 สินเชื่อคงค้างของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมากจนถึงระดับ 1.1 หมื่นล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 64% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากการเติบโตอย่างมากในปี 2563 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้าที่ระดับ 85% ถึงแม้ต้องเผชิญกับสภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแออันเป็นผลสืบเนื่องมาจากโรคโควิด 19 ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความพยายามในการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องและกลยุทธ์เชิงรุกในการขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน
ทริสเรทติ้ง คาดว่า สินเชื่อของบริษัทจะเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไปโดยคาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ระดับ 40% ในปี 2565 และ 25%-30% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2567 ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 สัดส่วนสินเชื่อของบริษัทประกอบไปด้วยสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน 55% สินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนและเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ 41% และสินเชื่อประเภทอื่นๆ อีก 4%
โดยทริสเรทติ้งคาดว่าสัดส่วนของสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันจะเติบโตถึง 70% ของยอดสินเชื่อรวมของบริษัทในปี 2567 ทริสเรทติ้ง เชื่อว่า จากนโยบายการขายของบริษัทในเข้าหากลุ่มลูกค้าโดยตรงรวมถึงการขยายเครือข่ายตัวแทนขายอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่บริการจะเป็นส่วนที่สนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อรวมต่อไป โดย ณ สิ้นปี 2564 เครือข่ายตัวแทนขายขยายตัวไปถึงประมาณ 3,000 ราย ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายในการขยายเครือข่ายตัวแทนขายให้เป็น 7,000 รายภายในสิ้นปี 2565
คาดว่าบริษัทจะรักษาคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีไว้ได้
บริษัทพัฒนาสถานะความเสี่ยงไปในทางที่ดีขึ้นจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทริสเรทติ้ง คาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีเอาไว้ได้ จากนโยบายการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดและกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ การรุกเข้าสู่ตลาดสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันที่มีอัตราการค้างชำระหนี้ต่ำกว่าสินเชื่อประเภทอื่นที่ให้กับลูกค้าช่วยทำให้คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมแข็งแกร่งขึ้น
โดยอัตราส่วนลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต หรือลูกหนี้ชั้นที่ 3 (NPL) ต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) ลดลงเหลือ 3.9% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 จาก 4.4% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 คุณภาพสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันของบริษัทยังอยู่ในระดับค่อนข้างมีเสถียรภาพในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
โดยมี NPL ratio อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 ในขณะเดียวกันอัตราส่วนลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตที่เกิดขึ้นใหม่ (NPL Formation) ก็ลดลงเป็น 3.4% ในปี 2564 จากระดับ 5.6% ในปี 2563 และอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ยลดลงเป็น 1.7% ในปี 2564 จากระดับ 3.8% ในปี 2563
ทั้งนี้ การอนุมัติสินเชื่อที่มีความระมัดระวัง ตลอดจนกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการตั้งสำรองสำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพียงพอนั้นทำให้ทริสเรทติ้งเชื่อว่าคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทน่าจะยังคงจัดการได้ภายใต้สภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทริสเรทติ้งคาดว่า NPL ratio จะอยู่ระดับต่ำกว่า 3% ในระหว่างปี 2565-2567 จากการขยายตัวอย่างมากของสินเชื่อ
ในขณะที่ NPL Formation อยู่ที่ระดับประมาณ 2.5%-3.2% ทริสเรทติ้ง ประมาณการการอย่างระมัดระวังว่าอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ยน่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ระดับประมาณ 2.4%-2.6% ในระหว่างปี 2565-2567 ภายใต้สมมติฐานค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นดังกล่าว
ทริสเรทติ้ง คาดว่า อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPL Coverage) ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 76%-78% ในระยะเวลาอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยอัตราส่วนดังกล่าว ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 65%
ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะยังคงมีความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งต่อไปในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิเติบโตที่ระดับ 58% มาอยู่ที่ระดับ 701 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากยอดสินเชื่อที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนอัตรากำไรขั้นต้นและอัตราดอกเบี้ยรับที่อยู่ในระดับสูง การลดลงของค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ
โดยความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ย (EBT/ARWA) นั้นอยู่ที่ระดับ 5.6% ในปี 2564 ดีขึ้นจาก 5.3% ในปี 2563 ทริสเรทติ้งประมาณการว่า EBT/ARWA จะยังคงอยู่ที่ระดับประมาณ 6.1%-7.0% ในระหว่างปี 2565-2567 ซึ่งประมาณการดังกล่าวอยู่บนสมมติฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ประมาณ 46%
โดยทริสเรทติ้ง คาดว่า รายได้จากการจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าจะเติบโตที่ระดับ 5%-8% และสินเชื่อจะเติบโตที่ระดับ 25%-41% ต่อปีในระหว่างปี 2565-2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการทำการตลาดเชิงรุกในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างเช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก
รวมถึงการขยายพื้นที่การทำตลาดที่ครอบคลุมมากขึ้นจากการเพิ่มจำนวนตัวแทนขาย ถึงแม้ว่าการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยและการแข่งขันที่รุนแรงของสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันจะทำให้อัตราดอกเบี้ยรับลดลงก็ตาม
ทริสเรทติ้ง ประมาณการว่า อัตราดอกเบี้ยรับโดยรวมในพอร์ตสินเชื่อของบริษัทจะปรับลดลงมาเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 16% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจากระดับปัจจุบันที่ 17% ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการขยายตัวของสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันจะช่วยพยุงผลกำไรของบริษัทให้มีเสถียรภาพมากขึ้น ถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยรับของสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันจะน้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยรับได้ที่ได้จากสินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินเชื่ออื่นๆ แต่ก็มีปริมาณสินเชื่อที่มากกว่า
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้อยู่ที่ระดับ 32% ของรายได้รวมได้ในระหว่างปี 2565–2567 จากนโยบายของบริษัทในการขยายเครือข่ายผ่านตัวแทนขายซึ่งใช้เงินลงทุนที่ต่ำกว่าการเปิดสาขา
สถานะแหล่งเงินทุนที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องมีเพียงพอ
การได้รับเงินเพิ่มทุนที่ผ่านมาไม่นานนี้ รวมทั้งวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินนั้นช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สถานะเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัท ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทน่าจะมีสถานะของแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ที่เพียงพอในระยะ 12 เดือนข้างหน้า
โดยบริษัทมีอัตราส่วนแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพอยู่ที่ระดับ 312% ณ สิ้นปี 2564 เมื่อเปรียบเทียบกับที่ระดับ 160% ณ สิ้นปี 2563 เนื่องมาจากบริษัทมีเงินสดและเงินลงทุนในหลักทรัพย์ระยะสั้นจำนวนมากภายหลังจากได้รับเงินเพิ่มทุน นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับเงินจากการชำระคืนสินเชื่อของลูกหนี้อีกด้วย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินซึ่งเป็นวงเงินกู้ระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้คิดเป็นมูลค่า 1.59 พันล้านบาท
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2565-2567 มีดังนี้
- สินเชื่อคงค้างรวมเติบโตที่ระดับ 40% ในปี 2565 และที่ระดับ 25%-31% ต่อปีในช่วงปี 2566-2567
- อัตราดอกเบี้ยรับอยู่ที่ระดับประมาณ 16%
- ค่าใช้จ่ายตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอยู่ในช่วง 2.4%-2.6% ต่อปี
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะรักษาสถานะฐานทุนที่แข็งแกร่งภายหลังจากที่บริษัทได้รับเงินเพิ่มทุนซึ่งจะช่วยสนับสนุนการขยายธุรกิจที่มีค่อนข้างมากของบริษัทได้ในระยะปานกลาง ทริสเรทติ้ง ยังคาดว่า บริษัทจะยังคงรักษาคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งและผลประกอบการทางการเงินที่ดีเอาไว้ได้ด้วยอีกเช่นกัน
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
ทริสเรทติ้ง อาจปรับเพิ่มอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตในกรณีที่บริษัทสามารถพัฒนาสถานะทางการตลาดให้ดีขึ้นอย่างมีเสถียรภาพในขณะที่ยังคงสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์และรักษาผลการดำเนินงานพร้อมทั้งฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้
ทริสเรทติ้ง อาจปรับลดอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตลงหากคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเสื่อมถอยลงและค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับที่ทำให้ EBT/ARWA ของบริษัทจะลดต่ำกว่าระดับ 3.5% หรือมีการก่อหนี้เพิ่มอย่างมากเพื่อการขยายธุรกิจ จนกระทั่งทำให้ฐานทุนเสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563 |
บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (SINGER)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html