- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Wednesday, 02 March 2022 22:30
- Hits: 4820
‘ออริจิ้น’ เปิดแผน ‘Origin Multiverse’ เติบโตแบบพหุจักรวาลสู่อาณาจักรแสนล้าน
เล็งนำบริษัทย่อยเข้า IPO สร้าง Multiverse of Happiness
“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” เปิดแผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล “Origin Multiverse” กับ 3 ขั้นตอน Expanding-Growing-Connecting ขยายอาณาจักรจากธุรกิจอสังหาฯสู่ 4 กลุ่มจักรวาลธุรกิจควบหลากธุรกิจใหม่ ทั้งโลจิสติกส์-เฮลท์แคร์-ประกันภัย-พลังงาน-การเงิน-ร้านอาหาร-กัญชง จัดทัพมืออาชีพกุมบังเหียนการเติบโตจักรวาลย่อย วางแผนปั้นบริษัทในเครือเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่ม นำร่องด้วย พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น-วัน ออริจิ้น-แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น หวังเกิด Multiverse of Happiness เชื่อมทุกจักรวาลสู่อาณาจักร Market Cap รวมแสนล้านภายในปี 2568 สร้างอีโคซิสเท็มที่ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภคได้แบบครบวงจร ด้านจักรวาลที่อยู่อาศัยปี 2565 ตั้งเป้าทุกด้าน All Time High เปิดตัวโครงการใหม่เฉียด 42,000 ล้าน ตั้งเป้ายอดขายที่ 35,000 ล้าน พร้อมลุยเมกะโปรเจกต์แห่งปี “ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์”
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า หลังจากก่อตั้งบริษัทมาได้กว่า 12 ปี บริษัทได้พัฒนา ปรับตัว และเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับทุกสถานการณ์ ตลอดจนเมกะเทรนด์ระยะยาวของโลก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค จากวันแรกที่มีเพียงธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียม สู่ปัจจุบันที่มีอาณาจักรธุรกิจใหม่ๆ แตกแขนงออกมาจำนวนมาก ในปี 2565 นี้ จึงเตรียมแผนการดำเนินงานใหม่ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญภายใต้แนวคิด “ORIGIN MULTIVERSE” หรือแผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล
ภายใต้แผน ORIGIN MULTIVERSE ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ 1.ขยายสู่จักรวาลใหม่ (Expanding to the new universe) จากเดิมที่ออริจิ้นมีจักรวาลหลักคือจักรวาลพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ขยายตัวเองเข้าสู่จักรวาลใหม่ๆ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มจักรวาล ได้แก่ 1.กลุ่มจักรวาลที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential for Sales) 2.กลุ่มจักรวาลธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) 3.กลุ่มจักรวาลธุรกิจบริการ (Service Business) 4.กลุ่มจักรวาลเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends Business) โดยทั้ง 4 กลุ่มจักรวาล ยังคงประกอบด้วยจักรวาลธุรกิจย่อยๆ ที่ทยอยเกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เช่น โลจิสติกส์ เฮลท์แคร์ ประกันภัย พลังงาน การเงิน ร้านอาหาร กัญชง และยังอาจมีจักรวาลย่อยๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต
2.แยกกันเติบโตแบบคู่ขนาน (Growing in the separated timeline) ให้ทุกบริษัทย่อยมีเส้นทางการเติบโตแบบคู่ขนานในจักรวาลของตัวเอง ผ่านการจัดทัพผู้บริหารมืออาชีพในธุรกิจนั้นๆ เข้าไปช่วยดูแลทิศทางการเติบโต สร้างจุดแข็งให้แก่ทุกกลุ่มธุรกิจ โดยจะมีบริษัทย่อยที่มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (IPO) เพิ่มเติม นำโดย บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ผู้นำธุรกิจบริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เช่น โรงแรม ออฟฟิศ ค้าปลีก บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด บริษัทร่วมทุนกับบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม เช่น คลังสินค้า โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ครบวงจร หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ส่งบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) เข้า IPO ไปแล้วในช่วงปลายปี 2564 คาดว่าภายในปี 2568 ออริจิ้นและทุกบริษัทที่เข้าจดทะเบียนจะกลายเป็นอาณาจักรที่มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) รวมกันมากกว่า 1 แสนล้านบาท
3.เชื่อมโยงอีโคซิสเท็ม (Connecting the ecosystem) เชื่อมโยงทุกจักรวาลที่แยกย้ายกันไปเติบโต กลับมาดูแลผู้บริโภคร่วมกันเป็นอีโคซิสเท็ม สร้าง Multiverse of Happiness ที่ครอบคลุมการดูแลและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร
“เมื่อก่อนทุกคนรู้จักออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เฉพาะจากจักรวาลหลักอย่างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ วันนี้ เรามีผู้บริหารที่เปรียบเสมือนตัวผมในอีกหลากหลายจักรวาล หลากหลายธุรกิจ ที่จะช่วยกันพาแบรนด์ใหม่ๆ ธุรกิจใหม่ๆ พาทุก Multiverse ให้เติบโต เป็นที่รู้จัก และกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญในธุรกิจเหล่านั้น และทุกธุรกิจเหล่านั้นจะเชื่อมโยง รวมพลังกันกลับมาเป็น Multiverse of Happiness เป็นอีโคซิสเท็มที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนทุกช่วงวัย ทุกเจเนอเรชั่น และทุกจังหวะการใช้ชีวิต” นายพีระพงศ์ กล่าว
นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า แม้จะมีการเติบโตไปยังจักรวาลใหม่ๆ แต่บริษัทจะยังคงรักษาระดับการเติบโตในจักรวาลอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 นี้ ตั้งเป้าทุกด้านแบบ All Time High เริ่มต้นจากเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 31 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 42,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 137% แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 13,400 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 19 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,600 ล้านบาท โดยในฝั่งคอนโดมิเนียมจะเติบโตไปในทุกเซ็กเมนท์ มีแบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น แบรนด์ ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play) ออริจิ้น เพลส (Origin Place) และบุกทำเลใหม่ๆ เช่น ฝั่งธนบุรี ทั้งนี้ จะมีโครงการใหม่ที่เป็นเมกะโปรเจกต์ย่านทองหล่อ ภายใต้ชื่อ “ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์” (Origin Thonglor World) ที่มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 15,000 ล้านบาท โดยจะมีการทยอยเปิดตัวโครงการอีกครั้งเร็วๆ นี้
ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 35,000 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้รวม 17,500 ล้านบาท หลังจากปี 2564 ทำผลงานทุกด้านเติบโตได้อย่างยอดเยี่ยม สร้าง New High ยอดโอนรวมโครงการกิจการร่วมค้ากว่า 16,157 ล้านบาท มีรายได้รวม 15,943 ล้านบาท และเติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2563 กว่า 43% อีกทั้ง มีกำไรสุทธิ 3,194 ล้านบาท เติบโตจากปี 2563 กว่า 20% ส่งผลให้บริษัทเตรียมจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นงวดสิ้นปี 2564 ในอัตรา 0.42 บาท ต่อหุ้น
ด้านนางสาวจตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า ในฐานะบริษัทที่ดูแลบริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร อาทิ บริการที่ปรึกษาและตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ บริการบริหารจัดการนิติบุคคล บริการตกแต่งภายใน บริการขนย้าย บริการด้านความสะอาดและความปลอดภัย บริการบริหารโรงแรมและที่อยู่อาศัย (Hotel & Residence Management Operator) บริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจบริการใหม่ๆ เพื่อขยายขอบเขตการดูแลผู้บริโภค รวมถึงมีหลากกลยุทธ์ที่จะชิงส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) ในธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างรายได้ได้ถึง 490 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่ค่อนข้างสูงในธุรกิจนี้ คาดว่าบริษัทจะเป็นบริษัทแรกในเครือนับจากนี้ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในช่วงปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566 และมีเป้ารายได้ ณ ปี 2566 ที่ 750 ล้านบาท โดยมีที่ปรึกษาทางการเงินคือบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด
ด้านนายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้ทยอยปรับโครงสร้างภายในอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า ธุรกิจค้าปลีก แต่จะมีธุรกิจอื่นๆ ภายใต้การบริหาร เช่น ธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในแถบเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และหัวเมืองสำคัญต่างจังหวัด ธุรกิจร้านอาหาร โดยภายในช่วง 5 ปีจากนี้ จะได้เห็นโครงการภายใต้การพัฒนาของวัน ออริจิ้น คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 49,100 ล้านบาท สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีที่ปรึกษาทางการเงินคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)
ด้านนายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า หลังจากเปิดตัวบริษัทเมื่อช่วงปลายไตรมาส 3/2564 บริษัทเดินหน้าแผนการเติบโตได้เร็วกว่าแผนงาน โดย ณ สิ้นปี 2564 มีที่ดินเพื่อใช้พัฒนาพื้นที่เช่าทางอุตสาหกรรมกว่า 155,000 ตร.ม. จากแผนเดิมประมาณ 40,000 ตร.ม. สำหรับการพัฒนาโครงการแรกในย่านบางนา กม.22 ภายใต้ชื่อ แอลฟา บางนา กม.22 คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในไตรมาส 2/2565 และเริ่มรับรู้รายได้ได้ภายในปีนี้ ขณะเดียวกัน ยังมีอีกหลากหลายโปรเจกต์ภายใต้แผนงาน ทั้งผ่านการซื้อกิจการ และการพัฒนาเอง เพื่อไปสู่เป้าหมายพื้นที่ภายใต้บริหารจัดการกว่า 1 ล้าน ตร.ม. ภายในปี 2568 สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีที่ปรึกษาทางการเงินคือ บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 98 โครงการ (ณ สิ้นปี 2564) เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN), ดิ ออริจิ้น (The Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 143,800 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจเฮลท์แคร์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร โดยปัจจุบัน มีมูลค่าบริษัท (Market Capitalization) อยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท
A3073